วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ลิเวอร์พูล 2-2 เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน(พรีเมียรืลีค)


...มันต้องอย่างนี้ดิ ไม่ชนะน่ะไม่เป็นไรหรอก...
___________________________

ลิเวอร์พูลเริ่มเกมด้วย 4-3-2-1

-------------------------เบนเทเก้------------------------
-------------คูตินโย่----------------ลัลลาน่า-----------
-----------มิลเนอร์-------ชาน-----เฮนเดอร์สัน------
โมเรโน่-------ลอฟเรน-------สเคอเทล-------ไคลน์
-------------------------มินโยเล่-------------------------

_______ ลิเวอร์พูลต้องเล่นเกมลีคในสนามที่ไม่ค่อยถนัดอย่างแอนฟิลด์ นัดนี้เบนเทเก้ได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง เช่นเดียวกับคูตินโย่ที่กลับมาแล้ว ส่วนแดนกลางลูคัสหลุดออกจากทีมไป
-------------------------------------------------------

_______ ช่วงต้นเกมลิเวอร์พูลไล่บอลแดนหน้าได้ดี เก็บบอลสองดีและตัดบอลกับมาได้เร็ว ได้เปรียบชัดเจนและหาโอกาสจบสกอร์ได้หลายครั้งในช่วง 15 นาทแรก แต่ก็เหมือนเดิม...เปลี่ยนเป็นสกอร์ไม่ได้

________ ทางด้านเวสต์บรอมวิชเน้นเกมรับเหนียวแน่นในแดนเป็นหลัก ถ้าลิเวอร์พูลเอาบอลขึ้นหน้าช้าจะถอยลงไปรับกันหน้าเขตโทษแน่น ส่วนเกมบุกเน้นโต้ไปทางริมเส้นและพยายามโยนเข้ามากดดันได้บ้าง แต่รูปเกมเป็นรองอย่างชัดเจน

_______ นาที 21 ลิเวอร์พูลขึ้นนำสำเร็จ คูตินโย่วางบอลโด่งเข้าเขตโทษให้ลัลลาน่าโหม่งชงให้เฮนเดอร์สันที่วิ่งสอดเข้าเขตโทษตามไปยิงไม่เหลือ 1-0 หลังสกอร์ขยับเกมของลิเวอร์พูลก็ยังดีต่อเนื่อง เน้นเคาะบอลดึงตัวไล่แล้ววางสวน เกมรุกพื้นที่สุดท้ายยังกดดันได้น้อย แต่การคุมเกมและเก็บบอลทำได้ดี

_______ ในเกมเปิดเวสต์บรอมวิชกดดันได้น้อยมากแต่พวกเขาเล่นได้อย่างมีวินัย ไม่เสียฟาล์วง่ายไม่ปล่อยให้เจาะพื้นที่สุดท้าย จนในที่สุดก็มาตีเสมอได้จากทีเด็ดของพวกเขา ...ลูกเตะมุม นาที 30 เวสต์บรอมวิชเปิดเตะมุมลึกไปทางเสาสองหน้าเขต 6 หลา มินโยเล่กระโดดขึ้นถึงบอล...แต่ชกวืด โดนดอสันยิงสวน 1-1

_______ หลังจากเสียประตู เกมของเวสต์บรอมวิชดีขึ้นผิดหูผิดตา แดนหน้าไล่บอลจังหวะเสียบอลได้ดีขึ้น แดนกลางเข้าถึงบอลได้เร็วขึ้น ลิเวอร์พูลเอาบอลขึ้นหน้าได้ยากกว่า 30 นาทีแรกแล้ว ส่วนมินโยเล่ที่พลาดทำทีมโดนตีเสมอก็เริ่มของขึ้นด้วยการออกไปเล่นนอกเขตโทษแบบไม่ควรเล่นอีกต่างหาก

_______ เข้าช่วง 5 นาทีท้ายก็เป็นเวสต์บรอมวิชที่ยังคงได้บอลเล่นน้อยกว่า แต่ดูจะเป็นฝ่ายคุมเกมเอาไว้ได้มากกว่าแล้ว ช่วงทดเจ็บนาทีแรกมาได้ลูกตั้งเตะก่อนโยนตัดแนวรับเข้าไปให้โอลสันโหม่งเข้าประตูแต่โดนจับล้ำหน้า ซึ่งก็ล้ำจริงๆ แต่กรรมการคิดนานเหลือเกินกว่าจะเป่า จบครึ่งแรกเลยยังเสมอกันอยู่ 1-1

_______ เข้าครึ่งหลัง การขยับวิ่งไล่จังหวะตั้งเกม สลับถอยไปรับต่ำหน้าเขตโทษยามไล่ไม่จนของเวสต์บรอมวิชยังทำได้ดีต่อเนื่อง ส่วนลิเวอร์พูลกลับลงมาเน้นการส่งบอลขึ้นหน้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม แบ็คทั้งสองข้างลอยขึ้นไปช่วยเชื่อมเกมสูง เฮนเดอร์สันกับมิลเนอร์พยายามหาโอกาสออกไปเปิดบอลริมเส้นมากขึ้นด้วย

_______ เกมรุกของลิเวอร์พูลมีลุ้นมากขึ้น เริ่มได้เปิดบอลเข้าไปวืดวาดในเขตโทษแบบเบนเทเก้ถึงบอล ได้บอลเป็นระยะแต่เป็นเบนเทเก้เองที่ยังคุมบอลไม่ได้ จับบอลไม่อยู่ และไปไม่ค่อยถึงบอล ส่วนเวสต์บรอมวิชโดนกดดันมากขึ้นแต่ยังเล่นได้เหมือนเดิมไม่ลนลาน หาจังหวะเก็บบอลได้บ้าง เล่นไปเล่นมาเห็นท่าไม่ดีล้มลงไปนอนเรียกแพทย์(ราวๆ นาที 61) หยุดเกมมันซะเลย..ได้ผลด้วย กลับมาเล่นต่อแล้วลิเวอร์พูลเสียจังหวะไป

_______ นาที 71 ไอบ์ได้ลงมาแทนคูตินโย่ แต่ลงมาปุ๊บทีมโดนปั๊บ นาที 73 ลูกเตะมุมอีกแล้ว คราวนี้เวสต์บรอมวิชโยนมาทางเสาแรก โอลสันวิ่งมาโหม่งเช็ดเข้าไปได้ 2-1 เท่านั้นยังไม่พอ ลอฟเรนยังมาโดนเข้าหนัก ต้องปฐมพยายามในสนามกันอยู่นาน สุดท้ายต้องเปลี่ยนออก...

_______ ...ซึ่งตรงนี้คล็อปเปลี่ยนตัวได้สะใจแฟนบอลมากด้วยการส่งโอริกิลงไปซะเลย ถอยเอาชานไปยืนเซ็นเตอร์แทน แล้วสั่งทีมดาหน้าบุกต่อไป

_______ ลิเวอร์พูลยังคงบุกแบบได้ลุ้นแต่ไม่ได้ประตู ในขณะที่เวสต์บรอมวิชโดนกดดันแต่ไม่ออกอาการยุบให้เห็น ยังคงเล่นได้ตามจังหวะตัวเองที่ว่าด้วยการรับต่ำปิดช่องเข้าทำ, วิ่งไล่จังหวะลิเวอร์พูลตั้งเกมตรงกลาง, เก็บบอลเอาไปเล่นแถวริมเส้นเผื่อเรียกฟรีคิกบ้าง ทุ่มบ้าง ให้เกมของลิเวอร์พูลไม่ต่อเนื่องเข้าไว้

_______ นาที 86 เฟอมิโน่ได้ลงแทนลัลลาน่าเป็นคนสุดท้าย ลิเวอร์พูลเร่งจนได้ลุ้นเยอะมากแต่จบไม่ลงสักที กรรมการขึ้นป้ายเวลาทดเจ็บนานถึง 8 นาทีเพราะมีจังหวะลอฟเรนเจ็บยาว แถมเวสต์บรอมวิชเองก็ดึงช้าด้วยหลายจังหวะ

_______ ลิเวอร์พูลตะบี้ตะบันบุกต่อ เน้นการขึ้นเกมริมเส้นให้สุดแล้วเปิดเข้ากลาง สลับกับจ่ายเรียดย้อนกลับมาให้กองกลาง โดยเฉพาะเฮนเดอร์สันคอยยิงหรือจ่ายสวนตามช่องแถวหน้าเขตโทษ ได้ลุ้นหลายครั้งหลายครา (กว่าจะจบเกมนี่ยิงรวม 25+ ครั้งน่าจะได้) จนในที่สุด

_______ นาที 90+6 เฮนเดอร์สันโดยไล่กลางสนามแต่พลิกหนีมาดี ก่อนจ่ายให้โอริกิโดนเสียบซะลอยแต่รีบลุกมาเล่นต่อ แตะหาจังหวะแล้วยิงไกลมาก บอลไปแฉลบหลังกองหลังเข้าไปประตูไป ตีเสมอให้ทีมได้สำเร็จ 2-2

_______ หลังจากนั้น แม้เวลาจะเหลือไม่มาก แต่ลิเวอร์พูลยังเล่นเหมือนจะเอาอีก วิ่งไล่เต็มที่ เร่งเปิดบอลไปข้างหน้าเต็มที่ แต่ก็แซงนำไม่สำเร็จ จบเกมที่ 2-2 แบบแฟนบอลยังยิ้มออกอยู่
-----------------------------------------

_______ ดูเหมือนว่าทรงบอลแบบ 4-3-3 จะกลายเป็นแทตติคหลักของคล็อปไปซะแล้ว จุดเด่นอยู่ที่แผงกลางที่พร้อมเล่นเกมรุกทุกคน มิลเนอร์กับเฮนเดอร์สันนั้นครอสบอลเข้ากลางได้ดีและได้ยืนในฝั่งที่ควรยืนทั้งคู่ คูตินโย่(หรือเฟอมิโน่)กับลัลลาน่าจะเล่นเจาะตรงกลางเป็นหลัก แล้วริมเส้นถ้าจะเล่นก็ให้แบ็คขึ้นมา ดูเป็นแทคติคที่เข้าท่าเอามากๆ กับนักเตะที่มีอยู่ในทีมตอนนี้ ดูดีกว่าการเล่น 4-2-3-1 ในช่วงก่อนหน้าอีก

_______ ปัญหาคือทรง 4-3-3 ที่เล่นอยู่ตอนนี้ การวิ่งไล่บอลที่เป็นอาวุธหลักของทีมมาตลอดในยุคคล็อปมันถูกลดประสิทธิภาพไปมาก ในช่วงที่ทีมเล่นทรง 4-2-3-1 ตรงกลางมันมี 5 คนตลอด เสียเมื่อไหร่พร้อมไล่และยืนกันครอบคลุมเต็มกลางสนาม แต่พอ 4-3-3(4-3-2-1) ที่ขาดไปเห็นๆ เลยคือพื้นที่ริมเส้น เพราะ 2 คนหลังกองหน้ามากระจุกตรงกลาง แถมจังหวะรับ 2 คนนี้ก็ไม่ได้ถอยลงไปต่ำ เต็มที่ก็แค่วงกลมกลางสนาม เท่ากับกลาง 3 ต้องเล่นรับกันไปเอง เทียบกับตอน 4-2-3-1 ตัวรุกสองฝั่งลงไปช่วยเกมรับริมเส้นด้วย เท่ากับกลางมี 4 คนเล่นเกมรับง่ายกว่ากันเยอะ

_______ แถมกองหน้าตอนนี้ไม่ว่าจะโอริกิหรือเบนเทเก้ช่วยไล่บอลแบบมีประสิทธิภาพไม่ได้อีกด้วย

_______  ที่จริงแทคติคนี้ถ้าเบนเทเก้เล่นได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพในกรอบเขตโทษกว่านี้เรื่องก็จบไปแล้วค้าบบบ แทคติคนี้มันโคตรจะปั้นกองหน้าเพราะไม่ต้องทำอะไรเลยรอจบในเขตโทษอย่างเดียว  อย่างนัดนี้ถ้าเค้าเล่นได้สักครึ่งของตอนที่อยู่วิลล่า แฮททริคไปแล้วมั้ง เพื่อนเปิดเข้าจุดนัดพบตั้งหลายครั้ง

_______ ผมมั่นใจว่าถ้าสเตอริดจ์ฟิต คล็อปจะไม่เล่นแบบนี้ จะหันไปหา 4-2-3-1 ไม่ก็หน้าคู่ไดมอนด์ไปเลยมากกว่า แต่กับตัวที่มีอยู่โดยเฉพาะมีเบนเทเก้ก็เลยคิดวิธีนี้ออกมาก ครั้นจะสลับไปใช้โอริกิ คล็อปก็พยายามแล้วแต่เจ้าตัวตอนเล่นหน้าเป้า ไม่เอาอ่าวกว่าเบนเทเก้เข้าให้อีก

_______ ได้อย่างก็เสียอย่าง ตอนนี้เกมรุกเล่นได้ทั้งริมเส้นและตรงกลาง มีทั้งบอลทะลุช่องและบอลครอสกลางอากาศ แต่การไล่บอลยวบไปเยอะ และเกมรับที่ใช้ชาน(เพราะต้องเอามาช่วยเปิดบอลขึ้นหน้าด้วย) ตัดบอลได้ไม่เยอะเท่าใช้ลูคัส(ซึ่งจะทำให้เอาบอลขึ้นหน้าได้ช้าลง) ก็ต้องมาดูกันต่อว่าจะเลือกอันไหนมาปรับแก้กันต่อไปครับ

_______ เรื่องแทคติคก็ว่ากันไป แต่วันนี้คล็อปแก้เกมได้ใจแฟนบอลมากครับ ต้นเกมก็เน้นเกมรุกอยู่แล้ว พักครึ่งยังเร่งเพิ่มขึ้นอีก ทั้งปรับสปีดบอล ทั้งดันแบ็คช่วย ยิ่งตอนลอฟเรนเจ็บ เวลาก็เหลือไม่ใช่น้อย เป็นผู้จัดการทีมคนอื่นคงเลือกเปลี่ยนเซ็นเตอร์ลงมาก่อนแล้ว แต่คล็อปส่งโอริกิมาวัดเลย แถมเล่นเกมรุกไม่มั่วด้วยเพราะเน้นการครอสจากริมเส้น ซึ่งตัวเล่นริมเส้นมีรอทั้งสองฝั่ง ไม่ได้โยนยัดเข้าไปในเขตโทษอย่างเดียว แถมตีเสมอได้แล้วยังจะเอาต่ออีกต่างหาก

_______ บางทีฟุตบอลมันไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แค่พยายามจะยิงเอาชนะคู่แข่งให้ได้เท่านั้นเอง ซึ่งวันนี้ทั้งผู้จัดการทีม ทั้งคนเล่น แสดงออกมาให้เห็นแล้ว
-----------------------------------------

นัดนี้เล่นกันดีบ้างไม่ดีบ้าง

มินโยเล่ - โหม่งวืดลูกเดียวเสียวทั้งเกม วันนี้เล่นพลาดเยอะทั้งเรื่องการตัดบอลกลางอากาศที่ทั้งออกพลาด ทั้งไม่ออก ออกไปเล่นนอกเขตโทษเป๋อๆ ก็ 2-3 จังหวะ

โมเรโน่ - เติมเกมค่อนข้างน้อยถ้ามองจากแทตติคที่ทีมเล่น (ข้างหน้าไม่มีคนเล่นริมเส้น) เชื่อมเกมได้ไม่ดีนัก เน้นหนักไปทางเล่นเกมรับก็ยังไม่ค่อยเหนียวแน่นเท่าไหร่ จังหวะพลาดแบบจะๆ น่ะไม่ค่อยมีหรอก แต่ฟอร์มโดยรวมก็ไม่ใช่วันที่เล่นได้น่าพอใจเลย

ลอฟเรน - อยู่ในช่วงที่เล่นได้ดี ทั้งประกบ ทั้งซ้อนแบ็ค ทำได้ดีหมด ไม่นับจังหวะลูกตั้งเตะลอฟเรนแทบไม่มีพลาดให้เห็นเลย

สเคอเทล - จับจังหวะบอลตกไม่ค่อยดี แต่นอกนั้นก็ถือว่าเล่นได้ดีไม่แพ้ลอฟเรน เอาบอลขึ้นหน้าได้ดีกว่าด้วย แต่กับลูกตั้งเตะก็พลาดพอกันทั้งคู่

ไคลน์ - ขึ้นไปช่วยเชื่อมเกมได้พอใช้ในครึ่งแรกแต่ก็ขึ้นไม่สุด ครึ่งหลังโดยเฉพาะหลังจากทีมโดน 2-1 ไปแล้วนั่นแหล่ะไคลน์ถึงจะเติมสูง ซึ่งก็ทำได้น่าพอใจ ไปสุด เคาะชิ่งได้ ขยันวิ่งทำทาง เปิดบอลไม่ผ่านแต่ยังกดดันแนวรับได้ ในขณะที่เกมรับก็ยังลงช่วยได้ ฟอร์มช่วง 15 นาทีสุดท้ายถือเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากเห็นจากเจ้าตัว

ชาน - ยืนต่ำเก็บบอลได้ดี มีจังหวะเก็บบอลไว้กับตัวนานให้เห็นบ้างแต่พอรับได้ จ่ายบอลขึ้นหน้าพลาดเยอะไปหน่อย แลกกับการไม่ต้องขวางสนามเยอะนัก ช่วงที่ทำได้ดีกลายเป็นจังหวะที่เติมขึ้นไปเล่นแถวหน้าเขตโทษคู่ต่อสู้ ส่วนช่วงที่เป็นเซ็นเตอร์เก็บบอลเล่นเยอะไปมากแต่ก็ไม่ได้พลาด

มิลเนอร์ - วิ่งรับบอลเชื่อมเกมดี ขยับขึ้นไปเปิดบอลได้น้อยไปหน่อย แถมจ่ายได้แต่บอลสั้นๆ ถ้ามองในแง่เชื่อมเกมกับไล่บอลมิลเนอร์ก็ทำได้ดีกว่าเฮนเดอร์สันกับชานล่ะ แต่ถ้าจะเอาลูกเด็ดขาด ไม่ว่าจะในเกมรุกหรือเกมรับ มิลเนอร์ไม่มีให้

เฮนเดอร์สัน - ยังเล่นติดๆ ขัดๆ อยู่บ้าง จ่ายบอลผิดน้ำหนักหรือเปิดไม่ขึ้นบ่อยมากถ้าเทียบกับช่วงก่อนเจ็บ การวิ่งไล่นัดนี้ถือว่าธรรมดามากเลย แต่ที่ทำได้ดีคือเกมรุก มีส่วนร่วมกับทั้งสองประตู และทั้งเกมการหาที่ว่างรับบอลเล่นแถวหน้าเขตโทษคู่ต่อสู้ทำได้ดีมาก เพื่อนจ่ายมาให้ได้ตลอดและเจ้าตัวก็หาจังหวะยิงเองได้พอควรด้วย

ลัลลาน่า - เล่นบอลจังหวะเดียวได้ดีหลายครั้ง วิ่งไล่บอลได้โอเคถ้ามองในมุมว่ายืนสูงเป็นตัวรุกอ่ะนะ เสียอย่างเดียวลัลลาน่าตั้งใจเชื่อมเกมมากไปหน่อย ไม่ค่อยเห็นจังหวะที่เขาตั้งใจทำเองสักเท่าไหร่ ไม่ได้หมายถึงยิงอย่างเดียวนะ หมายถึงเปิดเอง กระชากเองก็ด้วย

คูตินโย่ - ครึ่งแรกเล่นดีมาก เป็นคนเปิดบอลเข้าทำและสร้างสรรเกมรุกได้ดี แต่พอเข้าครึ่งหลังเริ่มหายไปจากเกม

เบนเทเก้ - เล่นนิ่มไป ไม่แข็งแรงดุดัน ทั้งๆ ที่น่าจะทำได้ โหม่งถึงบอลเยอะแต่เคาะคืนเพื่อนพลาดเยอะมาก ในเขตโทษไม่ค่อยขยับหาที่ว่างรับบอล ที่แย่สุดคือจังหวะเพื่อนโยนมาเบนเทเก้ยืนเฉยๆ รอโหม่งกับที่ ไม่ยอมวิ่งชาร์จตามช่อง กระโดดอยู่กับที่ต่อให้ถึงบอลแล้วมันจะมีน้ำหนักทิศทางอะไรล่ะ


ตัวสำรอง

ไอบ์ - ลงมาช่วยเชื่อมเกมโดยเฉพาะริมเส้นขวาได้ดี ประสานงานกับไคลน์ช่วยให้บอลไปถึงกรอบเขตโทษได้ตลอด แต่ยิงหรือจ่ายก็อย่าได้นำพา

โอริกิ - ทำได้คล้ายไอบ์แต่อยู่ฝั่งซ้าย โอริกิเลี้ยงจี้ไม่ดีเท่าไอบ์แต่เก็บบอลดีกว่า ตีเสมอให้ทีมได้ด้วย

เฟอมิโน่ - ลงมาเชื่อมเกมแดนกลางเป็นหลัก ทำได้ดีแต่ทำได้แค่นั้น

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : ...จอร์แดน เฮนเดอร์สัน… เอ่อ...ด้วยความสัตย์จริง อยากจะเลือกเบนเทเก้นะเพราะนัดนี้พีคจริงๆ แซงหน้ามินโยเล่ด้วย แต่อย่างน้อยนัดนี้ทีมเสมอได้ทั้งๆ ที่ไม่น่ารอดแล้ว และเฮนเดอร์สันในฐานะกัปตันก็ปลุกเร้าเพื่อนตลอด ยิง 1 จ่ายให้โอริกิยิงอีก 1 (แต่อย่าเรียกแอสซิสเลย โอริกิทำเองทั้งนั้น) ดังนั้นเลือกจากความรู้สึกดีๆ ดีกว่า
------------------------------------------------------------
เครดิตภาพจากเวปทางการ

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น