วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ลิเวอร์พูล 4 - 1 เวสต์บรอมวิชอัลเบี้ยน


...แฮททริค...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 3-5-2

----------------สเตอริดจ์-------ซัวเรส------------------
ซิสโซโก้---เฮนเดอร์สัน--ลูคัส---เจอราร์ด-----จอห์นสัน
---------ซาโก้---------สเคอเทล-----------ตูเร่---------
------------------------มินโยเล่-------------------------

_______ ลิเวอร์พูลเปิดบ้านรับ WBA ทีมที่ยิงน้อย ไม่ค่อยชนะ แต่ยังไม่แพ้ใครนอกบ้าน โดย 11 ตัวจริงนัดนี้เปลี่ยนแค่คนเดียวคือลูคัสกลับมาจากภารกิจรับใช้ครอบครัวลงแทน โมเสสที่หลุดจากทีมไป นอกนั้นยังใช้ผู้เล่นชุดเดิม
-------------------------------------------------------

_______ เริ่มเกมมาทางฝ่าย WBA ยืนคุมพื้นที่แน่นในแดนตัวตัวเอง ส่วนทางลิเวอร์พูลดันแผงหลังขึ้นสูงและไล่บอลกันเร็วตั้งแต่แดนหน้า พยายามผ่านบอลเล่นกันเต็มสนามสุดเส้นข้างทั้งสองฝั่ง เจอราร์ดกับเฮนเดอร์สันวิ่งช่วยเชื่อมเกมในแดนกลางกันหน้าเยอะกว่าเกมก่อนๆ และคู่กองหน้าสลับกันลงมาช่วยเชื่อมเกมด้วย ทำให้ครองบอลได้มากกว่า แต่ WBA ยังไม่ได้เพลี่ยงพล้ำ รูปเกมค่อนข้างสูสี

_______ แต่แล้วนาที 12 ซัวเรสก็แสดงอภินิหารจากจังหวะที่ไม่น่าจะมีอะไร เจ้าตัวรับบอลหน้าเขตโทษพลิกเข้าหาประตู ก่อนจะเลี้ยงฝ่าเข้าไปดื้อๆ แตะบอลลอดขากองหลังยิงเข้าไปให้ทีมขึ้นนำ 1-0 หลังจากนั้นเกมรุกลิเวอร์พูลยิงไหลลื่นมากกว่าเดิมโดยเฉพาะทางฝั่งซ้ายที่ซิสโซโก้เติมได้เร็วและมีพื้นที่เล่น รวมไปถึงคู่กองหน้าที่วิ่งหาช่องรับบอลกันอยู่ตลอด ทางฝั่ง WBA แม้จะหาจังหวะครองบอลได้บ้าง แต่หาโอกาสเข้าทำแทบไม่ได้

_______ ลิเวอร์พูลมาหนีห่างได้สำเร็จในนาที 17 สเตอริดจ์รับบอลหน้าเขตโทษแล้วโดนรวบ กรรมการไม่ได้เป่าฟาลว์และซัวเรสจ่ายออกด้านซ้ายให้ซิสโซโก้ทันที ซิสโซโก้รีบเปิดเข้ากลางเร็วแล้วก็เป็นซัวเรสที่เข้าถึงบอล วิ่งโหม่งจากระยะไกลเกือบถึงเส้นเขตโทษเสียบสามเหลี่ยมเสาแรกเข้าไปได้ 2-0

_______ ถึงตรงนี้ลิเวอร์พูลคุมเกมได้เนื่องกว่าชัดเจน ไล่บอลคืนมาได้เร็วและช่วยกันไล่ทุกคน กองหลังไม่โดนกดดัน กองกลางเอาชนะได้ และสามารถหาโอกาสลุ้นประตูเพิ่มได้อีกแต่ยังทำไม่สำเร็จ จนกระทั่งช่วงท้ายครึ่งแรกก่อนหมดเวลาไม่นาน WBA ถึงได้โอกาสลุ้นตีตื้นติดๆ กัน 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะโอกาสของอเนลก้าที่เข้าถึงบอลที่เพื่อนวางยาวลึกเข้ามาได้ก่อนมิ นโยเล่ย์แต่แปบอลไม่เต็ม สเคอเทล(ที่โหม่งวืดจังหวะแรกทำให้อเนลก้าเข้าถึงบอล)วิ่งตามไปสกัดทิ้งไป ได้ ทำให้จบครึ่งแรกลิเวอร์พูลยังนำ 2-0

_______ เข้าครึ่งหลัง WBA เติมกันขึ้นมาและเปิดเกมรุกมากขึ้น แต่รูปเกมโดยรวมไม่ได้ต่างจากครึ่งแรกมากนัก ส่วนลิเวอร์พูลแผงหลังยืนต่ำลง, เน้นจังหวะโต้เร็วและการพาบอลเลี้ยงจี้มากขึ้น ได้ฟาลว์เป็นระยะ และเป็นฝ่ายกดดันแนวรับได้ดีกว่า ไม่นานนัก นาที 55 ลิเวอร์พูลก็หนีห่างได้อีกครั้งจากลูกฟรีคิก เจอราร์ดเปิดบอลเข้าเขตโทษแถมเข้าหัวซัวเรสที่วิ่งหนีตัวประกบมาได้ สะบัดโหม่งเข้าประตูไปไม่พลาด 3-0 และเป็นแฮททริคของเจ้าตัวด้วย

_______ เกมทำท่าว่าจะขาดเมื่อลิเวอร์พูลยังคงครองเกมได้และ WBA แม้จะพยายามรุกและได้ครองบอลมากขึ้น แต่หาโอกาสเปิดบอลเข้าทำได้ไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก็จะได้ลุ้นจากลูกตั้งเตะที่ลิเวอร์พูลสกัดกันไม่ค่อยขาดแต่ถึง อย่างนั้น WBA ก็เข้าถึงบอลจนได้ยิงไม่มากนัก นาที 62 เคลลี่ได้ลงมาแทนจอห์นสันที่มีอาการบาดเจ็บตั้งแต่ครึ่งแรก

_______ เกมไม่น่าจะมีอะไรแล้ว แต่ผู้กำกับเส้นอาจจะกลัวเกมมันน่าเบื่อ เลยสะบัดธงเรียกร้องให้กรรมการเป่าจุดโทษในนาที 65 ในจังหวะที่บิลลี่ โจนส์พาบอลเข้าเขตโทษท่ามกลางวงล้อมของกองหลัง 3 คนแล้วล้มลง กรรมการที่ไม่ได้คิดจะเป่าในจังหวะแรกเห็นผู้กำกับเส้นสะบัดธงเลยตัดสินใจ เป่า มอริสันรับหน้าที่ยิงจุดโทษไม่พลาด WBA ไล่มาเป็น 3-1

_______ หลังจากไล่ตามมาได้ WBA ตัดสินใจเปลี่ยนอีกสองตัวเพิ่มตัวรุกลงมา เร่งเกมรุกมากขึ้นและเน้นการขึ้นบอลทางริมเส้นโดยเฉพาะฝั่งซ้าย(เคลลี่) เกมรุกของ WBA ไหลลื่นขึ้นทันทีและสามารถเปิดบอลเข้าทำได้ต่อเนื่องแต่จังหวะสุดท้ายยัง เป็นกองหลังลิเวอร์พูลที่ยังทำได้ดีสกัดเอาไว้ได้เกือบหมด กลับกันในเกมรุกลิเวอร์พูลก็ยังพาบอลทะลุไปถึงพื้นที่สุดท้ายได้ ทำให้เกมช่วงนี้เปิดแลกกันมากขึ้น

_______ WBA ทำท่าจะบดได้สำเร็จเมื่อลิเวอร์พูลเริ่มไล่ถึงบอลน้อยลงเหมือนจะขึงเกมไว้ ได้แล้ว แต่นาที 77 สเตอริดจ์ก็มาตีเหยี่ยวที่ทำท่าจะฟื้นตัวนี้ให้ตายสนิทไม่ต้องชักต่อ เมื่อรับบอลกระฉอกจากการปะทะกันในแดนกลางได้ก่อนตัดสินใจชิพจากหน้าเขตโทษ บอลข้ามผู้รักษาประตูเข้าสองเสาไปอย่างแฮททริคของซัวเรสต้องหมองลงไปพอสมควร เป็น 4-1

_______ เข้า 10 นาทีสุดท้าย ลิเวอร์พูลเน้นเก็บบอลมากขึ้น แต่ถ้าเห็นช่องก็ยังทำเกมรุกต่อไม่ได้ถอยลงมาเล่นพินบอลกันในแดนตัวเอง ส่วนทางฝั่ง WBA หลังโดนลูกที่ 4 เกมรุกก็สะดุดไป โอกาสที่ลิเวอร์พูลจะได้ลูกที่ 5 มีมากกว่าเสียลูกที่ 2 นาที 86 อัลเลนได้ลงแทนเจอราร์ด และนาที 89 อัลแบร์โต้ได้ลงแทนซัวเรส ก่อนที่จะทำอะไรเพิ่มกันไม่ได้ จบเกมไปด้วยสกอร์ 4-1
-----------------------------------------

_______ วันนี้เป็นผู้เล่นที่ตัดสินเกมมากกว่าที่จะเป็นเรื่องแทคติคครับ

_______ คล๊ากไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดในการวางแทคติคเริ่มเกมเช่นเดียวกันกับร็อดเจอร์ ลิเวอร์พูลได้บอลมากกว่าจริงแต่ไม่ใช่เกมที่ได้เปรียบอะไร ถึงอย่างนั้นผู้เล่นอย่างซัวเรสก็แสดงให้เห็นถึงระดับที่แตกต่างจากกองหน้า คนอื่น ทั้งลูก 1-0 ที่ฉายเดี่ยวไม่เอี่ยวใคร และลูกที่สองให้แล้วไปแถมโหม่งแม่นอีกต่างหาก ทำให้เกมที่มันควรจะสูสีกลายเป็นลิเวอร์พูลได้เปรียบเต็มที่และชนะได้ในท้าย ที่สุด

_______ สำหรับ WBA แล้วการต้องเสียอัลมานฟิตาโน่(ชื่อเรียกย้าก~ยาก)ไปทำให้เกมรุกของพวกเขามี ปัญหาพอสมควรเพราะหมอนี้เป็นแนวรุกตัวทำเกมที่กำลังเล่นได้ดี แถมทีมของพวกเขายังขาดศูนย์หน้าที่ค้ำกับกองหลังได้ดีด้วย โดยสเคอเทลกิน(เกือบ)เรียบเลยบุกลำบากหน่อย คริส บรันท์ที่ลงมาเด่นแต่เฉพาะลูกตั้งเตะและเชน ลองอาจจะเล่นลูกฉาบฉวยดีแต่โดนคุมพื้นที่แน่นก็ทำอะไรไม่ได้ จบข่าว

_______ มองทางฝั่งลิเวอร์พูล วันนี้ปรับแค่คนเดียวคือลูคัสแทนโมเสส แต่วิธีเล่นเปลี่ยนไปมาก ร็อดเจอร์ไม่ได้ส่งใครลงไปเล่นหน้าต่ำแทนโมเสสแต่เลือกใช้ทั้งเจอราร์ดและเฮ นเดอร์สันเคลื่อนที่ช่วยเกมในแดนกลางไปหน้า ทั้งยังดึงกองหน้าลงมาช่วยเื่ชื่อมเกมมากขึ้นถ้าเทียบกับเกมนัดก่อนๆ ที่คู่กองหน้าจะวิ่งถ่างไปรับบอลแถวเส้นข้างเป็นหลัก พอไปรวมกับการเล่นเกมรับที่ทุกคนช่วยกันวิ่งไล่ (ซึ่งไม่ได้เห็นมาหลายนัดแล้ว) ทำให้เกมนี้ลิเวอร์พูลเล่นได้คงเส้นคงวาขึ้น และค่อนข้างต่อเนื่องตลอด 90 นาที

_______ เกมนี้ลิเวอร์พูลต้องมาเครียดนิดๆ หลังจากที่เสียลูกจุดโทษ...ซึ่งไม่น่าเสีย ลูกนี้เป็นจังหวะปะทะธรรมดามาก จะให้ก็ได้ก็จริง แต่ถ้าให้จังหวะแบบนี้พรีเมียร์ลีคสงสัยได้มีจุดโทษกันแทบทุกนัด แล้วลิเวอร์พูลที่แม้จะเสียประตูแล้วแต่การที่นำอยู่อีกถึง 2 ลูก กลับดูกดดันมากกว่าที่ควรจะเป็น แดนกลางที่เคยจัดการคู่ต่อสู้ได้หมดจดในช่วงก่อนหน้าเริ่มมีช่องว่างให้เห็น ประกอบกับริมเส้นขวาที่เคลลี่ลงมาแทนจอห์นสัน(เพราะคิดว่าเกมขาดไปแล้ว) โดนเจาะอย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่ได้สเตอริดจ์ิยิงลูกที่ 4 แม้ผมคิดว่าลิเวอร์พูลจะชนะอยู่ดี แต่คงถูกกดดันมากกว่านี้และอาจเสียเพิ่มอีกสักประตูก็ได้

_______ จุดอ่อนที่ถูกแก้ไขขึ้นมาบ้างแต่ยังไม่ดีซะทีเดียวยังคงอยู่ที่ลูกตั้งเตะ (พ่วงลูกเปิดจากด้านข้างเข้าไปด้วยก็ได้) แนวรับสกัดได้ก็จริงอยู่แต่สกัดกันไม่ค่อยขาด พอบวกกับมินโยเล่ย์ขึ้นตัดบอลโด่งไม่ค่อยถึงทำให้ลูกคลุกคลิกอยู่ใน-หน้าเขต โทษบ่อยมาก แต่มองในแง่ดีมันก็ดีขึ้นบ้างแล้วล่ะครับ

_______ นัดหน้าออกไปเยือนอาร์เซนอล ต้องขอให้เล่นในฟอร์มของวันนี้เป็นอย่างน้อยละครับ
 -------------------------------

นัดนี้เล่นกันได้ดี

ร็อดเจอร์ - ไปซ้อมหรือกระตุ้นลูกทีมมายังไงไม่รู้ล่ะ แต่ความขยันของลูกทีมมันดีขึ้นชัดเจนจริง ควรได้เครดิตไม่น้อยกับการปรับวิธีการตั้งเกมรุกที่ดันทั้งเฮนเดอร์สันและ เจอราร์ดขึ้นมาเล่นทั้งคู่ ส่วนการเปลี่ยนตัวอัลเลนกับอัลแบร์โต้น่าจะให้เวลามากกว่านั้นสัก 5 นาที ... แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ส่งผลกับเกมหรือกับทีมมากนักหรอก

มินโยเล่ - ที่หลุดมาให้เซฟครั้งสองครั้งก็ทำได้ดี ที่ดูแย่คือการตัดบอลกลางอากาศที่วืดก็หลายลูก ปัดไม่ไปไหนก็อีกหลายลูก

ซิสโซโก้ - เล่นเกมรับได้ดี พลาดน้อย มีความเร็วและขยัน เกมรุกวิ่งขึ้นวิ่งลงดีและได้โอกาสเปิดหลายครั้ง บอลส่วนใหญ่เปิดได้ไม่ดีนักแต่วันนี้ก็ทำได้ 1 แอสซิส

ซาโก้ - เกมรับทำได้ดีเช่นกันโดยเฉพาะการทิ้งตัวสไลด์บอลที่แม่นยำ ผ่านบอลได้ดีขึ้น

สเคอเทล - เข้าวืดครั้งสองครั้งในครึ่งแรก เกือบทำเสียประตูตอนท้ายครึ่งแรกที่อ่านจังหวะบอลผิดด้วย และครึ่งหลังก็ปล่อยให้คู่ต่อสู้พักบอลได้เยอะขึ้น แต่วันนี้เด่นมากเรื่องการสกัดลูกโด่งที่โยนเข้ามาให้กองหน้า และการวิ่งเข้าไปซ้อนเพื่อนที่ทำได้เร็วและแม่นตลอดเกม

ตูเร่ - เกมรับแผ่่วลงไปเล็กน้อย ถ่างออกไปช่วยเกมรับริมเส้นได้น้อยลง แต่โดยรวมก็ยังเล่นได้ดีอยู่ (ก่อนหน้านี้ดันเล่นไว้ดีมาก)

จอห์นสัน - เจ็บช่วงกลางครึ่งแรกและดูเหมือนจะเล่นได้ไม่ค่อยเต็มที่ มีจังหวะที่เติมขึ้นไปเล่นได้ดีอยู่บ้างแต่ไม่เยอะนัก เกมรับเล่นได้ดี ... โดยเฉพาะถ้าเทียบกับเคลลี่

เฮนเดอร์สัน - เคลื่อนที่ได้ดีมาก ชลอเกมโต้กลับได้ดี เข้าบอลละเอียด ทั้งไม่ฟาลว์และคู่ต่อสู้พลิกหนีลำบาก วิ่งรับบอลเชื่อเกมได้ดีด้วย แย่หน่อยก็จังหวะทีเด็ดทีขาดที่ลูกจ่ายคมๆ ทำไม่ได้ และยิงได้ไม่ดีพอจะเป็นประตู

เจอราร์ด - เป็นกองกลางที่ออกบอลได้ดีที่สุดของทีมในวันนี้ หาพื้นที่ว่างวางบอลได้ดีและคุมจังหวะเกมรุกได้ยอดเียี่ยม วิ่งมากขึ้นด้วย

ลูคัส - เล่นเกมรับได้เยี่ยม วิ่งมากขึ้นและถึงบอลเยอะ เข้าสกัดได้เด็ดขาดหยุดเกมคู่ต่อสู้ได้ อย่างไรก็ตาม เขากับเฮนเดอร์สันเล่นหลุดๆ ไปราว 10 นาที ช่วงที่เสียลูก 3-1 ก่อนได้ 4-1 แต่ช่วงอื่นเล่นได้ดีแล้ว

ซัวเรส -

สเตอริดจ์ - ปกติสเตอริดจ์จะเด่นครึ่งแรกแต่ยิ่งเล่นยิ่งหาย แต่นัดนี้ครึ่งแรกหายหลังจากนั้นยิ่งเล่นยิ่งเด่น ครึ่งแรกเล่นผิดจังหวะเยอะ จับบอลพลาด หาจังหวะยิงไม่ได้ วิ่งทำทางไม่ดีนัก แต่ครึ่งหลังพาบอลเลี้ยงจี้ก็ดี วิ่งทำทางก็ดีขึ้น ที่ทำได้ดีเกือบทั้งเกมคือการลงมาช่วยเชื่อมเกมที่ทำได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเวลาทีเ่กมดำเนินไป ยิงลูกปิดท้ายได้โหดมาก

ตัวสำรอง

เคลลี่ - ต้องเคาะสนิมกันสักพัก

อัลเลน & อัลแบร์โต้ - ได้เวลาน้อยไปนิด

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : ...หลุยส์ ซัวเรส...
------------------------------------------------------------

ป.ล. สำหรับซัวเรสนี่ผมไม่ได้ลืมพิมพ์นะ

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments. 

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556

นิวคาสเซิล 2 - 2 ลิเวอร์พูล (พรีเมียร์ลีค)


...หลุดมือไปซะงั้น...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 3-4-1-2

---------------สเตอริดจ์-------ซัวเรส------------------
-------------------------โมเสส-------------------------
ซิสโซโก้----เฮนเดอร์สัน-------เจอราร์ด-------จอห์นสัน
---------ซาโก้---------สเคอเทล-----------ตูเร่---------
------------------------มินโยเล่-------------------------

_______ ลิเวอร์พูลออกไปเยือนนิวคาสเซิลที่ขาดแนวรับทั้งโคลอชชินี่และกูตีเรซ แต่ลิเวอร์พูลเองก็ต้องขาดเอนริเก้กับลูคัสไปเช่นกัน โดยได้ซิสโซโก็กับจอห์นสันฟิตสวนทางกันกลับมาพอดี ทำให้เฮนเดอร์สันยังคงได้โอกาสเล่นตรงกลางต่อไป ส่วนตำแหน่งอื่นยังคงใช้ชุดเดิม
-------------------------------------------------------

_______ เริ่มเกมมาทั้งสองฝ่ายก็ดันแผงหลังขึ้นเพื่อบีบแดนกลางให้แคบกันทั้งคู่ แคบชนิดที่เรียกว่าดูทีวีแล้วเห็นผู้เล่นในสนามครบ 20 คนได้เลยทีเดียว โดยเป็นนิวคาสเซิลทำได้ดีกว่า ได้บอลมากกว่า ส่วนลิเวอร์พูลแม้จะครองบอลไม่ถึงกับน้อยแต่เวลทั้งหมดได้บอลแทบจะอยู่ในตัวเองเท่านั้น

_______ นิวคาสเซิลเน้นการยิงไกลเป็นการเข้าทำหลัก ส่วนลิเวอร์พูลได้โอกาสจากลูกฉาบฉวยบ้างแต่น้อย แล้วก็เป็นนิวคาสเซิลที่ทำได้ก่อนในนาที 23 กาบายยิงไกลบอลไซร้หนีมือมินโยเล่้ย์พุ่งเสียบหน้าต่างเข้าไปได้ 1-0 หลังจากนั้นก็ยังเป็นนิวคาสเซิลที่ทำได้ดีกว่า

_______ นิวคาสเซิลใช้แนวรุกทุกคนลงมาช่วยไล่และวิ่งทำทางในแดนกลางกันเยอะทำให้มี ผู้เล่นมากกว่า เอาชนะแดนกลางลิเวอร์พูลได้หมด ส่วนทางลิเวอร์พูลเอง sms โดนบีบพื้นที่จนแทบจะกลายเป็นแหนมป้าย่นกันอยู่กลางสนาม แถมวิงแบ็คสองข้างก็เติมกันขึ้นมาค่อนข้างน้อย ทำให้หาช่องหาพื้นที่เล่นกันไม่ได้ ถ่างแนวรับนิวคาสเซิลไม่ได้

_______ แต่แล้วด้วยความที่หลังนิวคาสเซิลดันกันขึ้นมาบีบแดนกลางสูงทำให้ลิเวอร์พู ลได้โอกาส นาที 40 เจอราร์ด(ไม่แน่ใจว่าใช่มั้ยดูไม่ทัน)วางยาวเข้าเขตโทษให้ซัวเรสแตะบอลได้ แล้วแต่โดนเอมบิว่าเหนี่ยวล้ม ผู้ตัดสินให้จุดโทษและให้ใบแดงเอมบิว่าในฐานะที่เป็นตัวสุดท้ายด้วย เจอราร์ดรับหน้าที่ยิงจุดโทษไม่พลาด ตีเสมอเป็น 1-1 หลังจากนั้นลิเวอร์พูลพยายามจะเร่งเกมมากขึ้นแต่นิวคาสเซิลก็ยังประคองทีมเอาตัวรอดไปได้จนจบครึ่งแรกที่สกอร์ดังกล่าว

_______ เข้าครึ่งหลัง ตามสูตร นิวคาสเซิลถอยลงไปรับในแดนตัวเองมากขึ้น เน้นโต้ด้วยบอลยาว ส่วนลิเวอร์พูลดันแบ็คสองข้างเติมเกมเต็มที่ เน้นเกมริมเส้นมากกว่าในครึ่งแรก แต่เกมก็ยังขึ้นได้แค่ข้างเดียวคือทางขวาด้วยจอห์นสัน ส่วนทางซ้ายหนักไปทางคืนบอลให้คู่ต่อสู้ อย่างไรก็ตาม รูปเกมของลิเวอร์พูลเริ่มดูดีกว่าในครึ่งแรกอย่างเห็นได้ชัด

_______ อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลก็มาแผลเก่าอย่างลูกฟรีคิกมากำเริบอีกครั้ง ในนาที 57 จากลูกฟรีคิกเกือบครึ่งสนาม นิวคาสเซิลวางลึกเข้ามาในเขตโทษ แนวรับลิเวอร์พูลขึ้นโหม่งไม่ถึงบอล บอลทะลักไปถึงเสาสองและเป็นดัมเมตที่เปลี่ยนตัวลงมาเล่นแทนเอมบิว่าหนีตัวประกบเข้าชาร์จได้สำเร็จ 2-1

_______ เมื่อสกอร์ขยับเข้าทางนิวคาสเซิลอีกครั้งทำให้เจ้าบ้านเล่นได้มั่นใจขึ้นและ รับมือกับลิเวอร์พูลได้ดีกว่าช่วงต้นครึ่งหลัง จนกระทั่งนาที 63 อัลแบร์โต้ได้ลงแทนซาโก้ ลิเวอร์พูลปรับมาเล่น 4-4-2 ถ่างโมเสสไปเล่นริมซ้าย แดนกลางไม่ได้ขยับเฮนเดอร์สันออกไปแต่เล่นร่วมกันเป็น 3 คน เจอราร์ด-อัลแบร์โต้-เฮนเดอร์สัน ส่วนเกมริมเส้นขวาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจอห์นสันไป รูปเกมของลิเวอร์พูลจึงค่อยๆ กระเตื้องดีขึ้นมาอีกครั้ง

_______ นิวคาสเซิลยังคงโต้พอได้ลุ้นเป็นระยะ แต่ลิเวอร์พูลกดดันแนวรับได้มากขึ้นและหาโอกาสจบสกอร์ได้มากขึ้น ในที่สุดก็ทำสำเร็จในนาที 72 ซัวเรสฝากบอลไปที่โมเสสก่อนวิ่งเติมไปรับบอลเองแล้วพาเข้าเขตโทษ ก่อนจะผ่านเข้ากลาง-กลางหัวสเตอริดจ์วิ่งเข้าชาร์จง่ายๆ แบบไม่ต้องดีไซน์ท่ายิง ลิเวอร์พูลตีเสมอได้สำเร็จ 2-2

_______ เกมลิเวอร์พูลยังดีต่อเนื่อง หาโอกาสจบสกอร์ได้บ่อยครั้งแต่ทำกันไม่สำเร็จ ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้แนวรับนิวคาสเซิลที่เล่นได้ดี บีบทุกจังหวะและเข้าสกัดได้แม่นยำ ทั้งยังโต้ได้บ้าง ทำให้ไม่ได้โดนพับสนามบุกอยู่ตลอดเวลา นาที 83 สเตอริ่งได้ลงมาแทนจอห์นสัน รูปเกมยังคงเหมือนเดิม ลิเวอร์พูลได้ลุ้นจนนาทีสุดท้ายจากฟรีคิกของซัวเรสแต่โดนครูลเซฟออกไปได้ ทำให้จบเกมที่สกอร์ 2-2 พลาดโอกาสเก็บ 3 แต้มอย่างน่าเสียดาย
-----------------------------------------

_______ วันนี้ผู้จัดการทีมทั้งสองฝ่ายสู้กันด้วยแทคติคสนุกครับ และเป็นสิ่งที่ตัดสินทั้งรูปเกมและผลลัพธ์ด้วย โดยเป็นฝ่ายพาร์ดิวที่ดูจะทำได้ดีกว่าพอสมควร ถึงจะออกปากว่าเสียดาย 3 แต้มเมื่อดูจากการที่คู่ต่อสู้เหลือ 10 คนตั้งเกือบชั่วโมง แต่รูปเกมนัดนี้สมควรเสมอจริงๆ ครับ

_______ ช่วง 40 นาทีแรก พาร์ดิวทำได้ดีกว่าเมื่อนิวคาสเซิลเลือกบีบแดนกลางแคบรวมไปถึงการ ให้แนวรุกลงมาช่วยเล่นแดนกลางกันทุกคนทำให้เอาในแดนกลางได้อย่างเด็ดขาดและ เป็นฝ่ายคุมเกม ส่วนทางลิเวอร์พูลนั้นการไม่ดันแบ็คขึ้นไปช่วยเกมรุกเป็นความผิดพลาดไม่้ น้อยเพราะตัวรุกไม่มีพื้นที่เล่นและเล่นไม่ออก แต่กลับกันถ้าดูจากเกมรับที่หยุดนิวคาสเซิลได้ดี แทบไม่มีไม่มีโอกาสเปิดบอลเข้าเขตโทษเลยก็ถือว่าทำได้ดีในเรื่องนั้น แถมการดันหลังสูงของนิวคาสเซิลยังทำให้ลิเวอร์พูลมีโอกาสในการวางยาวข้ามกอง หลังอยู่ตลอดด้วยเพียงแต่ว่าช่วงต้นเกมยังทำไม่ได้เท่านั้นเอง ทำให้ช่วงนี้วัดกันแค่ว่าบอลยิงไกล(เพราะยิงใกล้ๆ ไม่ได้)ของนิวคาสเซิลจะได้ก่อน หรือว่าจังหวะฉาบฉวยของลิเวอร์พูลจะทำได้ก่อน ซึ่งกลายเป็นนิวคาสเซิลทำสำเร็จไปก่อนเท่านั้นเอง แม้จะเป็นฝ่ายตามในเรื่องแทคติค แต่ถ้ากาบายไม่ยิงได้สุดยอดขนาดนั้นแล้วเป็นลิเวอร์พูลที่ได้ลูกโทษก่อน เจ้าบ้านบรรลัยเละเทะไปแล้วครับ

_______ แต่สิ่งที่ลิเวอร์พูลทำได้ไม่ดีคือการปรับเกมหลังจากเสียประตูแรกไปแล้ว แบ็คยังขึ้นน้อยมากและทำให้เกมรุกไปกระจุกอยู่ตรงกลางทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่มีลูกโทษมาช่วยและยังเป็นฝ่ายตามหลังอยู่ยังไม่รู้ว่าร็อดเจอร์จะดัน แบ็คขึ้นมาเมื่อไหร่ ทั้งๆ ที่เกมรุกโดนบีบให้กระจุกกันอยู่ตรงกลางและทำอะไรไม่ได้

_______ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ร็อดเจอร์ทำได้ดีมากๆ และเป็นจุดเปลี่ยนของเกมด้วยคือการส่งอัลแบร์โต้ลงไปแทนซาโก้และยังปรับมา เล่น 4-4-2 ทำให้สามารถถ่างแนวรับนิวคาสเซิลออกไปได้โดยเฉพาะการเล่นของโมเสสที่พอไป อยู่ริมเส้นมีพื้นที่มากขึ้นแล้วเล่นได้เล่นออก รวมไปถึงแดนกลางที่มีอัลแบร์โต้มาช่วยเจอราร์ด-เฮนเดอร์สันเล่น ทำให้มีทางเลือกผ่านบอลได้มากขึ้น ถ้าจังหวะได้โอกาสยิงคมกว่านี้อีกสักนิดลิเวอร์พูลพลิกกลับมาชนะได้ไม่ยาก เลย ซึ่งช่วงนี้พาร์ดิวไม่มีไพ่ในมือเหลือมาช่วยลูกทีมแล้ว ไม่สามารถปิดเกมรุกได้ดีเท่าช่วงก่อนหน้า

_______ ...แต่พี่แกก็ยังรอด...น่าเสียดายมั้ยล่ะ
 -------------------------------

นัดนี้เล่นกันได้ดีบ้างไม่ดีบ้าง (ไม่นับจังหวะเซตพีซนะ)

ร็อดเจอร์ - ต้นเกมตก เป็นรองอย่างเห็นได้ชัด พักครึ่งแก้เกมให้แบ็คขึ้นมามากขึ้นทำได้ดีพอสมควร แต่มาทำได้ดีมากตอนปรับเล่น 4-4-2...ไม่ใช่ 4-4-2 ดีกว่านะครับ แต่สถานการณ์ตอนนั้นมันพาไป

มินโยเล่ - ทั้งสองลูกที่เสียไปเกินความสามารถจริงๆ ลูกที่พอเซฟได้ก็ไม่พลาด 

ซิสโซโก้ - เกมรับใช้ได้ แต่การผ่านบอลขึ้นหน้าหลังจากเก็บบอลได้แล้วทำได้ไม่ดีเอามากๆ รวมไปถึงการเล่นเกมรุกที่ทำพลาดเยอะ

ซาโก้ - ซ้อนได้ดี ผ่านบอลใช้ได้ เข้าสกัดได้แม่นยำ อ่านเกมไม่ถึงกับดีนักหลายครั้งน่าจะดันขึ้นไปช่วยปิดหน้าเขตโทษดีกว่านี้

สเคอเทล - ลูกกลางอากาศและการเข้าสกัดทำได้ดี ไม่ดีอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องบล็อคลูกยิงที่ยืนห่างหลายครั้ง

ตูเร่ - อ่านเกมได้ดี เลือกจังหวะการเล่นได้ดีมาก พยายามจะหาจังหวะขึ้นมาช่วยตรงกลางแต่ยังทำไม่ดีเท่าไหร่

เฮนเดอร์สัน - ดับสนิท วิ่งไม่ถึงบอล เคลื่อนที่รับบอลยังใช้ได้อยู่แต่ผ่านบอลในเกมรุกไม่ดีนัก

เจอราร์ด - กลายเป็นต้องวิ่งเชื่อมเกมมากกว่าเฮนเดอร์สัน เชื่อมเกมและพยายามผ่านบอลไปที่ว่างได้ดีแล้ว ส่วนในเกมรับวิ่งไม่ทันบอลที่เคลื่อนที่เร็วของคู่ต่อสู้เช่นกัน

จอห์นสัน - เล่นเกมรุกได้ดีพอประมาณ (ซึ่งแปลว่าดีกว่าซิสโซโก้เยอะ) เชื่อมเกมได้ แต่เกมรับน่าจะวิ่งลงไปช่วยมากกว่านี้หน่อย

โมเสส - หนึ่งชั่วโมงแรกดับสนิท ทำอะไรไม่ได้เลย พอถ่างมาเล่นริมเส้นทำได้ดีขึ้นหน้ามือเป็นหลังมือ

ซัวเรส - ช่วยทีมได้ในเวลาวิกฤติ ทั้งการเรียกจุดโทษและการลงไปช่วยทำเกมช่วงที่คนอื่นคิดอะไรไม่ออก การเคลื่อนที่ทำได้ดีกว่าตัวรุกคนอื่น

สเตอริดจ์ - นี่ก็พอกับโมเสส ชั่วโมงแรกแทบไม่รู้ว่าอยู่ในสนาม ช่วงครึ่งชั่วโมงหลังหาช่องจบสกอร์ได้เยอะกว่าเพื่อน ยิงได้ 1 ลูกเซฟแต้มไว้ได้ แต่ก็พลาดโอกาสที่มีไปพอสมควร

ตัวสำรอง 

อัลแบร์โต้ - ฟอร์มส่วนตัวค่อนข้างดี แม้จะไม่ได้ถึงขั้นปีกงอก,ส่องแสงหรือมีวงแหวนบนหัวแต่ที่แน่ๆ เล่นในพื้นที่หน้าเขตโทษได้ดีกว่าทั้งโมเสสและเฮนเดอร์สันในนัดนี้

สเตอริ่ง - ไม่ค่อยได้ทำอะไรและทำอะไรไม่ค่อยได้

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ :
...หลุยส์ ซัวเรส...เรียก 1 จุดโทษและทำอีก 1 แอสซิส แถมช่วยทำเกมได้ด้วย
------------------------------------------------------------

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments. 

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หงส์แก้แห, 3-4-1-2 และคูตินโย่


_______หลังจากอาการบาดเจ็บของคูตินโย่, จอห์นสัน และการได้ซัวเรสพ้นโทษแบนกลับมา ร็อดเจอร์ตัดสินใจปรับแผนการเล่นของทีมจากแนวรับ 4 คนเป็น 3 คน หันมาใช้วิงแบ็คสองข้าง โดยผลงานก็อย่างที่ได้เห็นกันไป 3 นัด นัดแรกยังจูนกันไม่ติดและแพ้แมนฯยูฯไป 1-0, นัดต่อมาผู้เล่นเริ่มเข้าใจแทคติคและบทบาทของตัวเองดีขึ้นและชนะซันเดอร์ แลนด์ไป 3-1 ก่อนที่นัดล่าสุดการเข้าทำจะมาลงตัวและชัดเจนสุดๆ จนเกมขาดตั้งแต่ครึ่งแรกและชนะพาเลซไป 3-1 เราได้เห็นอะไรจากการเปลี่ยนแปลงการเล่นครั้งนี้บ้าง?

_______ ทีมเสียประตูทุกนัด นัดละ 1 ลูก แต่ยิงได้ 6 เฉลี่ยนัดละ 2 ลูก ดูเฉพาะตัวเลขเพียวๆ เกมรับไม่ได้แย่ลงเพราะยังเสียไม่เกิน 1 ลูก แต่เกมรุกดูดีขึ้นมากเพราะยิงได้ 3 ลูกสองนัดติดเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่ 6 นัด (5 นัดในพรีเมียร์ลีค 1 นัดในลีคคัพ) ยิงได้แค่ 8 ลูก ถ้าอย่างนั้นทีมควรเล่น 3-4-1-2 ต่อไปหรือปล่าว?

_______ ก่อนอื่นต้องขอย้อนไปถึงสาเหตุที่ร็อดเจอร์ตัดสินใจปรับมาเล่นแผนนี้ก่อน สาเหตุก็เหมือนอย่างนี้ที่เคยพูดไปว่าร็อดเจอร์เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่ผู้ เล่นคนสำคัญที่ขับเคลื่อนเกมแดนกลางอย่างคูตินโย่เจ็บ แบ็คขวาตัวจริงอย่างจอห์นสันที่เคยช่วยเกมริมเส้นได้ดีก็เจ็บ แดนกลางของทีมเอาชนะหรือแม้แต่เล่นให้สู้สีกับคู่ต่อสู้ไม่ได้ นับตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงหลังของเกมกับสวอนซี และมาเห็นชัดที่สุดกับนัดเซาท์แธมป์ตัน ในทางกลับกันแดนหน้ากลับได้ซัวเรสกับมา, แผงหลังมีเซ็นเตอร์ให้เลือกใช้ถึง 4 คน เลยทำให้ร็อดเจอร์ตัดสินเลือก 3-4-1-2 เพื่อแก้ปัญหาในทีม ใช้กองหน้ากับวิงแบ็คทำเกมมากขึ้น

_______การแก้ปัญหาในครั้งนี้ ทำให้ทีมเอาตัวรอดไปได้เปลาะหนึ่ง คือเกมรุกกลับมาดุดันและมีสีสันอีกครั้ง สามารถใช้งานกองหน้าที่มีได้เต็มประสิทธิภาพ หล่อลื่นเกมริมเส้นให้กลับมาเดินหน้าได้อีกครั้งเพราะวิงแบ็คสามารถเติมขึ้น ไปได้สะดวกกว่าเพราะมีเซ็นเตอร์ช่วยซ้อนอยู่ตลอด ไม่ต้องพะวงกับตำแหน่งเหมือนตอนเล่นหลัง 4 ที่เซ็นเตอร์จะถ่างออกมาบ่อยๆ ไม่ได้

_______อย่างไรก็ตาม เมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย พอเปลี่ยนแผนการเล่น เกมแดนกลางของลิเวอร์พูลจากที่ดูไม่ดีเท่าไหร่อยู่้แล้วยิ่งแย่หนักเข้าไป อีก 3 นัดล่าสุดเมื่อไหร่ก็ตามที่คู่ต่อสู้ต้องการครองบอลหรือเน้นเกมบุก พวกเขาทำได้ทันทีเพราะแดนกลางของลิเวอร์พูลเข้าขั้น "โบ๋ววว" ถ้าอยากเห็นภาพชัดก็ลองย้อนนึกไปถึงช่วง 6 นัดแรกที่แม้เกมรุกจะดูอึดอัดไปบ้างแต่คู่ต่อสู้ก็ไม่สามารถครองเกมได้สะดวก นัก รวมไปถึงการเปิดบอลเข้าทำของคู่ต่อสู้ที่มีน้อยบางนัดถึงขั้นน้อยมาก ตอนนี้ภาระหนักไปตกอยู่กับแนวรับที่ต้องโดนกดดันจากบอลเข้าทำมากขึ้น โชคดีในโชคร้ายที่ 3 นัดล่าสุด คู่ต่อสู้จ่ายบอลจังหวะกันไม่ค่อยเด็ดขาด ทีมเลยรอดรักษาตัวรอดมาได้

_______ยิ่งไปกว่านั้น 3-4-1-2 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ความสำเร็จกับความพินาศไว้มีเพียงเส้นด้ายบางๆ กั้นไว้ซึ่งพร้อมจะขาดผึงลงได้ทุกเมื่อ ดังที่ได้เห็นเค้าลางกันไปบ้างแล้วจาก 3 นัดที่ผ่านมา ถ้ามองในภาพรวม ทีมชุดนี้ไม่ได้มีผู้เล่นที่เหมาะสมกับแผนการเล่นนี้สักเท่าไหร่ ตำแหน่งสำคัญอย่างวิงแบ็คสองข้างนั้นมีเพียงแค่เอนริเก้กับจอห์นสันเท่านั้น ที่พอจะเล่นได้ แถมตอนนี้ยังขาดจอห์นสันไปอีก ในบทบาทนี้ เฮนเดอร์สันเล่นแล้วช่วยทำเกมไม่ได้ ในขณะที่สเตอริ่งช่วยเกมรับและเชื่อมเกมได้ไม่ดีเอามากๆ นี่ถ้าเอนริเก้เป็นอะไรไปอีกคน วิงแบ็คสองข้างแทนที่จะเป็นจุดเด่นอาจกลายเป็นจุดอ่อนไปได้ในทันที...จากที่ ตอนนี้ก็ปีกหักไปข้างอยู่แล้ว

_______ในขณะเดียวกัน สามประสานข้อความสั้น sms ในแดนหน้าแม้จะเป็นจุดเด่นและเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ร็อดเจอร์กล้าตัดสินใจ ปรับมาเล่นแผนนี้ ก็ถือว่าเป็นตำแหน่งเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง คนที่เล่นต่ำและลงมาเชื่อมเกมบ่อยสุดอย่างโมเสส แม้จะขับเคลื่อนเกมได้ดี แต่ช่วยไล่บีบพื้นที่ได้แย่มาก แถมด้วยคู่กองหน้าซึ่งไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะช่วยไล่บอลอะไรได้มากนักหาก เทียบกับ 4-2-3-1 ที่ใช้อยู่ก่อนหน้า อันเป็นสาเหตุสำคัุญที่ทำให้แดนกลางโบ๋ที่ได้บอกตอนต้น ทำให้ทีมขาดสมดุลในเกมรุกเกมรับ ส่วนคู่หูซอกเกอร์ซัคก็พร้อมจะติสต์แตกเห็นพื้นหญ้าเป็นฟลอร์โชว์สเต็ปกัน ได้ทุกนาที ตามที่ได้เห็นกันไปแล้วจากสองนัดล่าสุดที่เมื่อทีมนำเมื่อไหร่ คนนึงก็แตะเข้ามุมแคบไปยิงเองอย่างเดียว อีกคนก็ตั้งหน้าตั้งตามุดๆๆ จนแทบจะไปโผล่เมืองจีนอยู่แล้ว ในวันที่ไม่ได้ประตูนำเร็ว หรืออะไรๆ ไม่เป็นใจ (เช่นการตัดสินสินของผู้ตัดสิน) คงจะพลิกเกมกลับมายาก

_______ ที่สำคัญคือถ้าใครสักคนใน sms เจ็บหรือแบนไป ทีมแทบไม่มีผู้เล่นทดแทนที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับพวกเขาเลย ตำแหน่งเดียวที่น่าอุ่นใจสุดคือคนวิ่งหาช่องจบสกอร์แบบสเตอริดจ์ที่อัส ปาส,สเตอริ่งหรือไอบ์น่าจะพอเล่นแทนได้ (ดูจากสไตล์การเล่นที่คล้ายกัน) แต่คนที่เชื่อมเกมรุกอย่างโมเสส อัสปาสก็แสดงให้เห็นว่าไม่ถนัดตั้งแต่นัดเซาท์แธมป์ตัน, เจอราร์ดจะเคลื่อนที่ได้มากเท่าโมเสสหรือปล่าว, เฮนเดอร์สันจะวิ่งเบียดไปพลางหาช่องจ่ายไปพลางได้มั้ยเพราะเจ้าตัวถนัดจ่าย บอลหนีตัวที่วิ่งบีบเข้ามาเร็วมากกว่า ตัวที่น่าลุ้นที่สุดในตำแหน่งนี้(เท่าที่ฟิตอยู่ตอนนี้)อย่างอัลแบร์โต้ก็ เป็นคนที่ยังไม่ได้โอกาสลงเล่นสักเท่าไหร่ ส่วนกองหน้าที่จะช่วยทำเกมได้อย่างซัวเรสนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง ลิเวอร์พูลไม่มีตัวแทนของเขาอยู่แล้ว

_______ทั้งหมดทั้ง มวลที่ว่ามา ทำให้ผมมองว่าทีมทำได้ดีพอสมควรในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่เมื่อได้ผู้เล่นคนสำคัญอย่างคูตินโย่กลับมา (อันที่จริงแค่อัลเลนฟิตร็อดเจอร์ก็อาจลองปรับแล้ว) ผมแน่ใจว่าทีมจะกลับมาเล่นแผงหลัง 4 คนอีกครั้งในแบบ 4-2-3-1 ขยับเอา s คนสักคนมาเล่นริมเส้นขวา (น่าจะเป็นซัวเรสมากกว่าสเตอริดจ์) แล้วเน้นการเข้าทำด้วยการเจาะตรงกลางมากขึ้น เพราะทีมชุดนี้มีผู้เล่นที่ถนัดการเจาะตรงกลางด้วยบอลชิ่งและบอลทะลุอยู่ เพียบ แถมแดนกลางก็ยังมีผู้เล่นสารพัดประโยชน์ที่เล่นได้หลายบทบาทอย่างเฮนเดอร์ สันกับอัลเลนอยู่ในทีม ซึ่งมันน่าจะทำให้ทีมเล่นได้อย่างมีสมดุลย์มากกว่าและเป็นแนวโน้มที่ ร็อดเจอร์น่าจะต้องการมากกว่า เมื่อดูจากการเตรียมทีมในช่วงพรีซีซั่น ทั้งวิธีการเล่นและการเลือกซื้อตัวผู้เล่นเข้ามาร่วมทีม

_______แต่ช่วงนี้่ก็ดูหงส์แก้แหไปพลางๆ ก่อนครับ 

ป.ล. ลิเวอร์พูลไม่มีแข่งตั้งสองอาทิตย์ เหงามือสุดๆ ว่าแต่ยาวไปรึปล่าวฟระ? แล้วทำไมประโยคคำถามมันเยอะจัง?

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.   

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ลิเวอร์พูล 3 - 1 คริสตัล พาเลซ (พรีเมียร์ลีค)


...เปิดก่อนได้เปรียบ...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 3-4-1-2

---------------สเตอริดจ์-------ซัวเรส------------------
-------------------------โมเสส-------------------------
เอนริเก้------เฮนเดอร์สัน--------เจอราร์ด------สเตอริ่ง
---------ซาโก้---------สเคอเทล-----------ตูเร่---------
------------------------มินโยเล่-------------------------

_______ ลิเวอร์พูลเปิดบ้านรับมือทีมในโซนหนีตกชั้นอย่างคริสตัลพาเลซ นัดนี้ลูคัสติดโทษแบน โดยเป็นสเตอริ่งที่ได้ลงตัวจริงในตำแหน่งริมเส้นขวา เฮนเดอร์สันหุบเข้ามาเล่นตรงกลางคู่กับเจอราร์ด นอกนั้นยังใช้ชุดเดิมตำแหน่งเดิม
-------------------------------------------------------

_______ เริ่มเกมมาก็เป็นลิเวอร์พูลที่กดดันก่อนด้วยการดาหน้าดันแผงกลางแผงหลังขึ้น สูง เน้นการขึ้นเกมทางริมเส้นทั้งสองฝั่ง แผงกลางตัดบอลกลับมาได้เร็วและเป็นฝ่ายหาโอกาสลุ้นประตูได้เรื่อยๆ ส่วนทางฝั่งพาเลซเน้นวางบอลยาวให้กองหน้าเล่น ได้ลุ้นบ้างนิดหน่อยเพราะกองกลางลิเวอร์พูล(รวมริมเส้นสองข้างที่ขึ้นสูง ด้วย) ลงกันไม่ค่อยทัน แต่หาความต่อเนื่องและความเด็ดขาดไม่ได้ หนักไปทางจ่ายกลับไปให้ลิเวอร์พูลเอากลับมาบุกต่อมากกว่า

_______ ลิเวอร์พูลทำได้สำเร็จในนาที 13 ซัวเรสทำชิ่งกับเอนริเก้ก่อนจะลื่นแต่ล้มตัวยิงย้อนทางเข้าไปได้ 1-0 เท่านั้นยังไม่พอ นาที 17 สเตอริดจ์มาฉายเดี่ยวด้วยการพาบอลเข้าไปในเขตโทษก่อนแตะเข้ามุมแคบยิงไป เสียบโคนเสาสองได้อย่างสุดสวยเป็น 2-0

_______ ผ่าน 20 นาีทีของเกมไป รูปเกมยังคล้ายย่อหน้าแรก แต่เป็นพาเลซที่ทำได้ดีขึ้นเล็กน้อย สามารถใช้พื้นที่แถวมุมธงทำเกมได้เยอะขึ้น แต่ยังคงไม่เด็ดขาดและไม่ต่อเนื่อง ส่วนลิเวอร์พูลแม้จะผ่อนเกมลงไปบ้างแต่จังหวะตัดบอลแดนกลางได้ก็จะทำเร็วและ ดันขึ้นไปช่วยกันอยู่ตลอด ได้ลุ้นอยู่เป็นระยะ

_______ ลิเวอร์พูลมาทำประตูหนีห่างได้อีกครั้งในนาที 37 สเตอริ่งทำชิ่งกับซัวเรสแล้ววิ่งทำทางเข้าเขตโทษแต่โดนดึง ผู้ตัดสินเป่าให้จุดโทษ เจอราร์ดรับหน้าที่ยิงไม่พลาด 3-0 ก่อนจะจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ดังกล่าว

_______เข้าครึ่งหลัง พาเลซเปลี่ยนกองหน้าลงมาเพิ่มอีกคน ดันกันขึ้นมาเล่นเกมรุกมากขึ้น ส่วนทางลิเวอร์พูลหันมาเน้นครองบอลให้นานกว่าในครึ่งแรก ไม่ยืนกันสูงมากเหมือนในครึ่งแรก เล่นกันไปตามช่องสลับกับหาจังหวะโต้ยาว ทำกันได้ดีพอสมควรแต่ยิ่งเล่นยิ่งกลายเป็นพาเลซที่เริ่มครองบอลบุกได้ต่อ เนื่องมากขึ้น

_______ พาเลซได้โอกาสทำเกมมากขึ้นจากการที่ลิเวอร์พูลถอยลงไปรับแต่ก็จ่ายบอลเข้าทำ กันได้ไม่ดีพอและหาโอกาสจบได้น้อย นาที 66 อัลแบร์โต้กับแอกเกอร์ได้ลงมาแทนโมเสสกับซาโก้ รูปเกมโดยรวมลิเวอร์พูลยิ่งเล่นยิ่งเหนือยลงไป ตัวรุกประสานงานกันน้อยลง(เริ่มเป็นตั้งแต่นำห่าง 3-0) แต่ในเกมรับก็ไม่ได้มีอะไรใกล้เคียงกับคำว่าโดนกดดัน

_______ อย่างไรก็ตาม แม้พาเลซจะหาแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ไม่เจอในเกมเปิด แต่ยังได้คืนมา 1 ประตูจากลูกตั้งเตะ นาที 77 จากการเปิดฟรีคิกมาจากสุดเส้นหลัง ดไวท์ เกล ขึ้นโหม่งเช็ดจากเสาแรกข้ามไปเข้าเสาสองได้เป็น 3-1 พอเสียประตูลิเวอร์พูลก็ดูจะมีแรงกระตุ้นขึ้นมาเล็กน้อย หันมาเล่นเกมรุกกันได้ต่อเนื่องขึ้นแต่ก็ทำอะไรเพิ่มไม่ได้ ส่วนพาเลซนั้นทำอะไรไม่ได้อยู่นานแล้ว นาที 88 อัสปาสได้ลงแทนสเตอริดจ์อีกคนแต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จบเกมลิเวอร์พูลชนะไปสบายๆ 3-1
-----------------------------------------

_______ เกมจบตั้งแต่นาที 38 แล้วครับวันนี้

_______ การเปลี่ยนตำแหน่งการเล่นของเฮนเดอร์สันกับการลงมาของสเตอริ่งมีผลกับเกมพอ สมควร แต่วันนี้สิ่งที่ส่งผลต่อรูปเกมตลอด 90 นาทีคือแทคติคตอนช่วงต้นเกมของลิเวอร์พูล นัดนี้ลิเวอร์พูลเร่งตั้งแต่ต้น และอันที่จริงแล้วนับเป็นการเน้นเกมรุกเต็มที่มากที่สุดตั้งแต่เปิดฤดูกาล นี้มาเลย แดนกลางและวิงแบ็คอีกสองตัวดันกันขึ้นไปทั้งแผง และกองหลังยืนอยู่กลางสนาม ทำให้เกมรุกในแดนหน้ามีทางเลือกเพียบ จังหวะจะจ่ายบอลเข้าทำบ้างครั้งมีคนวิ่งทำทางใน-หน้าเขตโทษถึง 4-5 คนเลยทีเดียว อีกทั้งยังสามารถตัดบอลกลับมาเล่นเกมรุกต่อได้เร็วเอามากๆ ด้วย ผลคือทำได้ 2 ประตูตั้งแต่ยังไม่ 20 นาที และปิดเกมนี้ไปได้ตั้งแต่นาที 38

_______ มันไม่ใช่ว่าแทคติคการเล่นแบบนี้มันจะยอดเยี่ยมไร้ช่องโหว่ ในช่วงครึ่งแรกจังหวะที่พาเลซโต้เร็วด้วยบอลโด่ง แดนกลางของลิเวอร์พูลลงกันไม่ทันกลายเป็นกองหลัง 3 ตัวรับเละกันไปเอง ทั้งพื้นที่หน้าเขตโทษและพื้นที่มุมธงเปิดไว้ว่างโล่งและโดนพาเลซทำเกมจาก ทั้งสองจุดนี้อยู่ไม่น้อย แต่ด้วยความที่พาเลซเองเล่นกันไม่เด็ดขาด รวมไปถึงกองหลังและผู้รักษาประตูยังรักษาฟอร์มการเล่นได้ เลยทำให้พาเลซได้ลุ้นน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งพอเห็นเกมรุกพาเลซทำได้แค่นั้นก็ต้องยกประโยชน์ให้ร็อดเจอร์ละครับที่ เน้นเกมบุกตั้งแต่ต้น ลุ้นเอาประตูขึ้นนำเร็วไปเลยและทำได้ตามนั้นด้วย

_______ พอนำห่าง 3 ลูกจะทำอะไรก็สบายไปหมดและรูปเกมในช่วงครึ่งหลังก็เป็นเพียงแค่ผลพวงจากการ นำห่างไปแล้ว ดังนั้นการผ่อนเกมในครึ่งหลังไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องห่วงกังวลอะไรมากนัก ที่ควรห่วงอยู่บ้างก็คงเป็นเรื่องลูกตั้งเตะที่โดนอีกแล้ว และการเล่นฝืนๆ ของคู่กองหน้าที่พอได้ประตูที่ 3 แล้ว คุณน้องทั้งสองจะเล่นบอลชายเดี่ยวกันท่าเดียวเลย ถ้าเน้นการประสานงานกันเหมือนตอนที่เกมยังไม่ขาด นัดนี้ลิเวอร์พูลอาจชนะได้ถึงครึ่งโหลเลยก็เป็นได้

_______ ...แต่โปรดอย่าลืมว่า 3-1 นี่ก็ชนะแล้วครับ แบบหายห่วงเลยด้วย...
 -------------------------------

นัดนี้เล่นกันได้ดีพอสมควร

ร็อดเจอร์ - การเน้นเกมรุกเต็มที่ตั้งแต่ต้นเกมทำได้น่าประทับใจมาก การเลือกครองบอล ผ่อนเกมลงไปในครึ่งหลังว่ากันตามแทคติคก็ดีแล้วเพราะไม่รู้จะเร่งต่อให้ เสี่ยงเจ็บทำไม การเปลี่ยนตัวก็ดูโอเค ที่ติดใจอยู่บ้างคือน่าจะเปลี่ยนสเตอริดจ์หรือซัวเรสคนใดคนหนึ่งออกเร็วกว่า นั้น(เปลี่ยนสเตอริดจ์ออกนาที 88) เพราะดูทั้งคู่จะเน้นเล่นเองจนทีมเสียจังหวะมากไปแล้ว

มินโยเล่ - แทบไม่ได้ทำอะไร โชว์ซูเปอร์เซฟไปหนนึงจากจังหวะที่บอลแฉลบระยะใกล้แต่ยังปัดออกไปได้

เอนริเก้ - ครึ่งแรกเล่นเกมรุกได้สุดยอดมาก วิ่งเติมได้ดีและเปิดบอลเข้าทำได้ลุ้นหลายจังหวะ เข้าครึ่งหลังเล่นเกมรุกน้อยลงและเริ่มพลาดบ้างนิดหน่อย

ซาโก้ - เล่นได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขยับเข้าหาบอลได้เร็วและชิงจังหวะเล่นได้ดี ลูกกลางอากาศค่อนข้างไว้ใจได้

สเคอเทล - วันนี้ขึ้นเบียดโหม่งไม่ค่อยดีนัก กองหน้ายังชงหรือเอาบอลลงได้เยอะพอสมควร แต่ครึ่งหลังพอทีมเล่นเกมรับมากขึ้น มีคนช่วยรองบอลก็เล่นได้สบายขึ้นและทำได้ดีขึ้น

ตูเร่ - ฟอร์มส่วนตัวทำได้ดี แต่วันนี้สเตอริ่งช่วยหางานให้ทำบ่อยเหลือเกิน ต้องพะวงกับการถลาออกไปริมเส้นบ่อยมาก

เฮนเดอร์สัน - มีประโยชน์กับทีมมากในเรื่องของการวิ่งเข้าบีบเร็วและคุมพื้นที่ทำให้เข้า ถึงบอลได้เร็วและบ่อย โดดเด่นมากกับการเข้าไปขวางไม่ให้พาเลซออกบอลเร็วได้ในจังหวะที่เก็บบอลได้ แล้ว เชื่อมเกมก็ค่อนข้างดี

เจอราร์ด - ในครึ่งแรกขึ้นไปช่วยต่อบอลกับตัวรุก 3 คนข้างหน้าได้ดีมาก วางบอลไปพื้นที่ว่างได้ดีกว่าแผงกลางคนอื่น ครึ่งหลังดูจะวิ่งน้อยไปหน่อย ทั้งการวิ่งไล่และวิ่งทำทางเพื่อรับบอลแต่ยังเชื่อมเกมได้ดีอยู่

สเตอริ่ง - ช่วยเกมรุกได้ดีกว่าตอนที่เฮนเดอร์สันยืนในนัดก่อนๆ เติมได้เร็วกว่าและกดดันคู่ต่้อสู้ได้มากกว่า ถ่างแนวรับได้ เรียกจุดโทษได้ด้วย  แต่ในเกมรับออกแนวช่วยคู่ต่อสู้ทำเกมรุกมากกว่าจะช่วยเพื่อนเล่นเกมรับ การเชื่อมเกมในช่วงครึ่งแรกพลาดบ่อยครั้งด้วย แต่เล่นๆ ไปก็ผ่านบอลได้ดีขึ้น ... ยกเว้นบอลเข้าทำที่เล่นมันแบบเดียว คือกระชากไปสุดเส้นแล้วเปิดจังหวะแรก ซึ่งคู่ต่อสู้จัดการได้ไม่ยากนัก

โมเสส - ช่วยเชื่อมเกมจากกลางไปหน้าได้ดี ผ่านบอลเพื่อนได้เปรียบและไม่เก็บบอลไว้กับตัวนานเกินความจำเป็น แถมให้แล้ววิ่งทำทางต่อด้วย ที่ด้อยอยู่บ้างก็คือการจบสกอร์ที่มีจังหวะควรได้ถึง 2 ครั้งแต่พลาดเรียบ และการช่วยไล่บอลที่ทำได้ไม่ดี เพราะแม้แต่ครึ่งหลังที่ทีมเ้น้นรับแล้วก็ยังช่วยไล่บอลได้น้อย

ซัวเรส - วิ่งหาที่ว่างได้ดี เพื่อนจ่ายให้ได้ง่าย ช่วงครึ่งแรกประสานงานกับเพื่อนได้ดีมาก ใครว่างก็ให้ จบสกอร์ได้ดีด้วย แต่พอเข้าครึ่งหลัง แม้จะเก็บบอลได้ดีและช่วยทำเกมรุกให้กับทีมค่อนข้างเยอะ แต่ก็ฝืนเล่นเองพาบอลไปตายแล้วตายอีก

สเตอริดจ์ - ก่อนทีมจะนำห่าง 3 ลูก เล่นได้สุดยอดมากในทุกด้าน แต่พอนำ 3 ลูกแ้ล้ว นอกจากจะหายไปกับพื้นหญ้า จังหวะได้บอลบ้างก็ทำเสียแทบทั้งหมด

ตัวสำรอง 

แอกเกอร์ - ลงมาเล่นได้ดีไม่มีปัญหา

อัลแบร์โต้ - ไล่บอลได้ดีกว่าโมเสสเล็กน้อย เชื่อมเกมได้ดีและหาช่องจ่ายบอลเข้าทำได้สวยๆ หลายครั้ง เสียดายที่หลายจังหวะยังให้ไปคนละทางกับคนวิ่ง

อัสปาส - นึกว่าผู้ตัดสินเป่าหมดเวลาเลยเตะบอลทิ้ง...ใบเหลืองสิครับ

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : ...จอร์แดน เฮนเดอร์สัน...อันที่จริงเฮนเดอร์สันก็ไม่ได้เล่นเด่นหรือยอดเยี่ยมมากกว่า คนอื่น แต่ความสม่ำเสมอตลอด 90 นาทีเป็นสิ่งที่ โมเสส,เอนริเก้,ซาโก้ (3 คนที่ผมคิดว่าอาจจะเลือกในช่วงที่ดูเกม)ไม่มีในวันนี้
------------------------------------------------------------

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.