วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ภาคพิเศษ : UCL Final 2012


...ให้เค้าไปเถอะ...
--------------------------------------------------------

บาร์เยิร์นเล่น 4-5-1 (ชไวสไตเกอร์ยืนต่ำกว่าโคลส,รอบเบน)

-----------------------โกเมส-----------------------
ริเบรี่--โคลส--ชไวสไตเกอร์--รอบเบน--มุลเลอร์
คอนเตโต้------บัวเต็ง-------ทีโมชุก--------ลาห์ม
----------------------นอยเออร์----------------------

เชลซีเล่น 4-2-3-1

----------------------ดรอกบา-----------------------
-----เบอร์ทราน-------มาต้า--------คาลู------------
-----------แลมพาร์ด---------มิเกล-----------------
โคล------------ลุยส์---------เคฮิล---------โบซิงวา
-------------------------เชค-------------------------

                นัดชิง UCL บาร์เยิร์นเปิดบ้าน(เพราะได้เล่นในบ้าน) รับเชลซี โดยทางบาร์เยิร์นพึ่งแพ้ "เละ" ต่อดอร์ทมุนต์ในนัดชิงเดเอฟเบ โพคาล 5-2 ส่วนเชลซีแม้จะหลุด Top 4 ในลีคแต่ได้ถ้วยเอฟเอคัพมาก่อนแล้วจากการเฉือนชนะลิเวอร์พูล นัดนี้ทั้งสองทีมขาดตัวหลักโดยเฉพาะแนวรับไปหลายตัวสภาพไม่ 100% กันทั้งคู่ ฝั่งบาร์เยิร์นเดิมพันเกมนี้ด้วยโอกาสเป็นทริปเบิ้ลรองแชมป์ตามรอยเลเวอร์คู เซ่นในอดีต ส่วนทางฝั่งเชลซีเดิมพันด้วยการไปเล่นบอลยูโรป้่า
-------------------------------------------------------

                 เริ่มเกมมาก็เป็นไปตามที่หลายคนคาด เชลซีเน้นกมรับรัดกุมไว้ก่อน ในขณะที่บาร์เยิร์นเล่นเร็วดาหน้าบุกใส่ เน้นการขึ้นเกมทางริมเส้นและยิงไกลทุกครั้งที่มีโอกาส เกมค่อนข้างเร็วเพราะทั้งสองฝ่ายพยายามฉวยโอกาสเปิดเกมรุกเร็วก่อนที่คู่ ต่อสู้จะลงไปแพคเกมรับทัน

                 ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกเป็นบาร์เยิร์นที่ครองบอลมากกว่า, ได้ลุ้นประตูมากกว่า ส่วนทางฝั่งเชลซีแม้ตกเป็นฝ่ายรับเสียมากแต่ก็ไม่ลนลาน(เพราะหนักกว่านี้ใน เกมบาร์ซ่าก็ผ่านมาแล้ว) ไม่สาดบอลทิ้งมั่วซั่ว พยายามเล่นบอลกับพื้นและเปิดเกมรุกเท่าที่โอกาสจะอำนวย

                บาร์เยิร์นบุกได้ต่อเนื่อง ส่งบอลเข้าไปในเขตโทษได้ก็มาก แต่จังหวะยิงโดนไล่ โดนดัก โดนบล็อคตลอดเวลา แม้จะได้ยิงเป็นระยะแต่ก็เป็นจังหวะยิงยากๆ แทบทั้งนั้น จังหวะที่หนีแนวรับเชลซีไปได้มาก็ยิงพลาดกันไปเองหมด แม้ว่าเชลซีจะโต้แทบไม่ขึ้นแต่ก็ยันสกอร์อยู่ที่ 0-0 ได้อยู่ดี

                 ช่วง 10 นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก เกมเปิดมากขึ้นและเชลซีโต้ได้มาก,โต้ได้ดีขึ้นแต่ก็ไม่ถึงกับพลิกมาได้ เปรียบ ก่อนที่เกมจะยังยันอยู่ที่ 0-0 ทำอะไรกันไม่ได้และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ดังกล่าว

                เข้าครึ่งหลังเกมยังคล้ายท้ายครึ่งแรก เชลซีบุกได้ดีขึ้นแต่โดยรวมเกมยังเป็นรองบาร์เยิร์น บาร์เยิร์นนั้นแม้จะทำเกมรุกได้ต่อเนื่องแต่จังหวะสุดท้ายดันทำพลาดกันเยอะ โดยเฉพาะรอบเบนที่ยิงนกตายหมดเมืองมิวนิค, โกเมสที่ดึงจังหวะระดับ UCL แต่ยิงระดับลีควัน รวมไปถึงแถวสองที่สลับกันขึ้นมายิงก็แทบไม่ผ่านบล็อคของแนวรับเลย ส่วนเชลซีนั้นเกมรุกอาจยังไม่ดุดันนัก ไม่ถึงกับกดดันบาร์เยิร์นได้ แต่มีดีตรงแถวสองที่เก็บบอลได้ดี โดนบาร์เยิร์นวิ่งไล่ทุกจังหวะก็เอาตัวรอดกันไปได้เรื่อยๆ เสียบอลในแดนตัวเองค่อนข้างน้อย และปิดพื้นที่หน้าเขตโทษตัวเองได้ดีเอามากๆ

                ผ่าน 1 ชั่วโมงของเกมไป บาร์เยิร์นเริ่มโหมเกมรุกบดหนักได้ต่อเนื่อง นาที 73 มาลูด้าได้ลงมาแทนเบอร์ทราน(ที่ไม่รู้ว่าได้ลงเป็นตัวจริงได้ยังไง)  เกมโดยรวมไม่เปลี่ยนมากนัก มาลูด้าเองก็แทบไม่ได้เล่นเกมรุก อย่างไรก็ตาม บาร์เยิร์นก็ยังทำได้เหมือนย่อหน้าข้างบน จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงท้ายเกม หมัดแย๊ปของบาร์เยิร์นก็ส่งเชลซีลงไปนับได้สักที นาที 83 จากบอลครอสทางมุมเขตโทษด้านซ้าย บอลข้ามมาเสาไกล มุลเลอร์ที่มีส่วนร่วมกับเกมน้อยกว่าตัวรุกคนอื่นๆ โหม่งกดลงพื้นเด้งข้ามเชคเช็ดคานเข้าไปได้ ให้บาร์เยิร์นนำ 1-0

                พอสกอร์ขยับ ตอเรสได้ลงมาแทนคาลูทันทีเช่นเดียวกับ ฟาน บุยเตน ที่ได้ลงมาแทนมุลเลอร์ เชลซีดันเกมรุกสูงขึ้นและเปิดพื้นที่ด้านหลังให้บาร์เยิร์นโต้มากขึ้น แต่เชลซีก็รุกได้ไม่ดุดันนักเช่นเดียวกับบาร์เยิร์นที่ใช้พื้นที่ว่างด้าน หลังแนวรับให้เป็นประโยชน์ไม่ได้ เกมทำท่าจะจบด้วยชัยชนะของบาร์เยิร์นแล้ว แต่นาที 88 เชลซีได้ลูกเตะมุม(ซึ่งได้ไม่กี่ครั้งในเกม) มาต้าเปิดมาเสาแรก ดรอกบาที่แทบไม่ได้ทำอะไรมากนักตลอดเกมโหม่งเสียบเสาแรกเข้าไปได้ ตีเสมอเป็น 1-1 ก่อนจะจบเกม 90 นาทีด้วยสกอร์ดังกล่าว

                ช่วงต่อเวลาครึ่งแรก เชลซีลงมาเปิดเกมรุกใส่ทันที ในขณะที่บาร์เยิร์นดูจะยังเสียขวัญจากการโดนตีเสมออยู่เกมดูช็อตไป แต่แล้วดรอกบาดันมาทำฟาลว์ใส่ริเบรี่เสียจุดโทษ โอกาสชนะของบาร์เยิร์นอยู่แค่เอื้อม(อีกรอบ)แต่รอบเบนดันยิงจุดโทษติดเซฟเชค จากจังหวะดังกล่าวริเบรี่เล่นต่อไ่ม่ไหว(เจ็บเอง ไม่ใช่ดรอกบาเสียบหนักมาก) โอลิชต้องลงมาเล่นแทน

                เข้าครึ่งหลังช่วงต่อเวลา กลายเป็นบาร์เยิร์นที่ลงมาเร่งอีกครั้ง ทำได้ดีเหมือนเดิมด้วย แต่โชคร้ายที่จังหวะสุดท้ายก็ดันเหมือนเดิมไปด้วยเลยต้องยิงจุดโทษตัดสิน บาร์เยิร์นได้ยิงก่อนและยิงทางฝั่งกองเชียร์บาร์เยิร์นเสียด้วย

ลาห์มยิงเข้า มาต้ายิงพลาดโดนเซฟ 1-0
โกเมสยิงเข้า ลุยส์ยิงเข้า 2-1
นอยเออร์(เอาโกลมายิงเลยล่ะ)ยิงเข้า แลมพาร์ดยิงเข้า 3-2
โอลิชยิงติดเซฟ โคลยิงเข้า 3-3
ชไวสไตเกอร์ยิงชนเสา ดรอกบายิงเข้า ทำให้เชลซีพลิกแซงในการดวลจุดโทษ 4-3

                เชลซีได้แชมป์ UCL ตามที่หวัง สมใจเจ้าของทีม, สร้างประวัติศาสตร์(ที่ไม่มีใครอยากได้)ทริปเบิ้ลรองแชมป์ให้กับบาร์เยิร์น รวมไปถึงทำเอาสเปอร์ใจสลายโควต้า UCL หายวับไปกับมือด้วย
 -----------------------------------------

                เป็นเกมนัดชิง UCL ที่มีคุณภาพและดูสนุกอีกนัดหนึ่ง แม้จะไม่ได้เปิดเกมรุกแลกกันบ้าคลั่งแต่ก็มีเกมรุกสวยงามของบาร์เยิร์นให้ ดู, เกมรับที่เหนียวแน่นรัดกุมของเชลซี, ไม่มีข้อผิดพลาดแบบน่าเกลียดทั้งจากนักเตะทั้งสองทีม รวมไปถึงการตัดสินก็ไม่มีอะไรค้านสายตาด้วย

                รูปเกมโดยรวมก็เป็นไปตามแทคติคที่ทั้งสองทีมเตรียมมา ทางฝั่งบาร์เยิร์นเล่นกันได้อย่างมีวินัย วิ่งไล่เพรซซิ่งได้ดีอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงเต็มๆ และหลังจากนั้นก็ไม่ได้เดินเล่น แต่ยังวิ่งไปปิดพื้นที่กันได้อยู่ เกมรุกดูเหมือนพึ่งพาความสามารถเฉพาะตัวของรอบเบนและริเบรี่ไม่น้อย แต่นักเตะคนอื่นๆ ก็สนับสนุนการเล่นของทั้งสองคนอย่างเต็มที่ ไม่ปล่อยให้เล่นไปคนเดียวเหมือนสถานการณ์ที่ดรอกบาหรือคาลูเจอ

                ทางฝั่งเชลซีเองเล่นเกมรับได้รัดกุมดี ข้อผิดพลาดส่วนบุคคลแทบไม่มีให้เห็น แผงหลังยืนตำแหน่งได้ดีไม่เปิดจังหวะให้บาร์เยิร์นจ่ายทะลุไปได้ บอลที่ครอสหรือผ่านเข้าเขตโทษจัดการได้ดีทั้งการสกัด, ประกบไม่ให้พลิกยิงและถึงแม้จะได้ยิงก็มีตัวบล็อคตัวเบียดอยู่ตลอด แผงกลางปิดพื้นที่อันตรายแถวหน้าเขตโทษได้เยี่ยม บาร์เยิร์นแม้จะได้ยิงไกลเยอะ แต่แทบทั้งหมดต้องแต่งบอลแล้วแต่งบอลอีก ไม่มีจังหวะไหนที่ได้วางเท้ายิงง่ายๆ หรือมีพื้นที่ให้ยิงโล่งๆ เลย

                สิ่งที่ตัดสินเกมในวันนี้แน่นอนว่าเป็นความคมในการทำประตู บาร์เยิร์นถ้าเปรียบเป็นนักมวยก็วนแย๊ปอยู่จนหมัดตัวเองแทบพังแต่ไม่มีปัญญา น็อคคู่ต่อสู้ มีโอกาสยิงไม่น่าจะต่ำกว่า 20 ครั้ง ลูกเตะมุมก็เฉียดๆ จำนวนเดียวกันแต่เปลี่ยนเป็นประตูได้ลูกเดียว ในขณะที่เชลซียืนตั้งการ์ด หลังพิงเชือกอยู่เป็นชั่วโมงๆ มีโอกาสครั้งเดียวทำได้เลย

                ที่น่าเจ็บใจสำหรับบาร์เยิร์นเข้าไปอีก พวกเขามีโอกาสชนะอย่างน้อย 3 ครั้งแต่ทำกันไม่ได้เอง ครั้งแรกคือตอนที่ขึ้นนำได้แล้วและเวลาเหลือแค่ 7 นาที แต่เสียสมาธิจนโดนตีเสมอ ครั้งที่สองคือได้จุดโทษในช่วงต่อเวลาแต่ก็ดันยิงไม่เข้า ครั้งที่สามในช่วงยิงจุดโทษอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบมากแล้วจากการที่ เป็นฝ่ายยิงก่อนและเชลซีก็พลาดก่อน แต่สุดท้ายมาพลาดโดนพลิกแซงในช่วง 2 คนสุดท้าย กลับกันทางฝั่งเชลซีนั้นไม่เคยอยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบเลยแม้แต่นาทีเดียว ตลอด 120 นาที รวมไปถึงช่วงยิงจุดโทษ 3 คนแรกด้วย แต่ครั้งเดียวที่ได้เปรียบ พวกเขาเป็นแชมป์เลย...

                ...ก็ให้แชมป์เขาไปเถอะ...

----------------------------------

บาร์เยิร์นเล่นได้ดี (ไม่นับจังหวะยิงประตู)

นอยเออร์ - ได้เซฟครั้งเดียวในเกมและไม่ยากนัก ยืนตำแหน่งได้ดี ตัดลูกกลางอากาศได้แม่นยำ มีความมั่นใจสูงมาก ยิงลูกโทษได้ดีอีกต่างหาก

คอนเตโต้ - เกมรับมีพลาดให้เห็นบ้าง แต่ไม่เยอะนัก อ่านเกมได้ดีไม่เข้าพรวด เกมรุกไม่มีอะไรโดดเด่น

บัวเต็ง - ประกบดรอกบาได้ดี ผ่านบอลได้ดีด้วยไม่มีสกัดทิ้งมั่วซั่ว เข้าบอลจวนเจียนจะเสียฟาลว์บ่อยครั้งแต่โดยรวมก็ถือว่าทำได้ดี

ทีโมชุก - สกัดจังหวะสุดท้ายได้ดีหลายครั้ง เข้าบอลแม่นยำมากทั้งลูกกลางอากาศและบนพื้น มีข้อผิดพลาดน้อย หลังจากบุยเต็นลงสนามโดนดันขึ้นไปเล่นแดนกลาง ดูเก้ๆ กังๆ ออกบอลช้าไปบ้างแต่ก็พอเอาตัวรอดไปได้

ลาห์ม - เกมรับแน่นมาก ใครมาก็ไม่ผ่าน เกมรุกมีจังหวะขึ้นไปวิ่งเล่นในเขตโทษคู่ต่อสู้หลายครั้งและมีส่วนร่วมกับ เกมรุกมากกว่ามุลเลอร์เสียอีก

ริเบรี่ - ได้บอลเยอะ (แต่น้อยกว่ารอบเบน) ทำเกมรุกได้ดีโดยเฉพาะเกมริมเส้น ผ่านบอลให้เพื่อนได้ลุ้นยิงประตูหลายครั้ง แต่ยิงเองแทบไม่ผ่านบล็อคเลย

โคลส - จ่ายบอลสั้นและเล่นบอลชิ่งได้ดี เล่นในพื้นที่แคบและหาช่องเปิดไปพื้นที่ว่างได้ดีมาก แต่จังหวะทะลุทะลวงหรือผ่านบอลให้เพื่อนยิงได้ค่อนข้างน้อย

ชไวสไตน์เกอร์ - เป็นกระดูกสันหลังของทีม เล่นเกมรับได้เีนียนมาก เสียฟาลว์น้อยแต่แม่นยำ เกมจากหลังมากลางจากกลางไปด้านหน้าขึ้นที่ชไวน์สไตน์เกอร์ตลอด คุมจังหวะช้าเร็วและเปลี่ยนรับเป็นรุกได้สุดยอด

รอบเบน - มีอิสระในการเล่นมาก วิ่งสลับตำแหน่งไปเรื่อย จังหวะพาบอลไปกับตัวกดดันแนวรับได้ดีตลอด แต่จังหวะยิงเองวันนี้ทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย

มุลเลอร์ - มีส่วนร่วมกับเกมรุกน้อยกว่ากองกลางคนอื่นๆ ทำเกมไม่ได้มากส่วนใหญ่ได้แค่เคาะให้เพื่อน แต่ทำประตูสำคัญให้ทีมได้

โกเมส - เชลซีแพคเกมรับแน่นและทำให้โกเมสอยู่ในดงนักเตะเชลซีตลอดเวลา เล่นลูกกลางอากาศได้ดีตราบเท่าที่ยังไม่อยู่ในเขตโทษ หาจังหวะยิงได้ดีเหลือเชื่อในพื้นที่แคบๆ ที่โดนประกบติดขนาดนั้น สวนทางกับการยิงที่ไม่ค่อยจะได้ลุ้นสักเท่าไหร่

ตัวสำรอง

ฟาน บุยเต็น - มีลูกเก๋าเรียกฟาลว์จากคู่ต่อสู้ได้เรื่อยๆ ยังแข็งแกร่งอยู่แต่สปีดไม่มีแล้ว (แต่ก่อนก็ไม่ค่อยจะเร็วเท่าไหร่อยู่แล้วด้วย)

โอลิช - ตอนพึ่งลงมาทำอะไรดูติดขัดไปหมด เล่นไปสัก 5 นาทีถึงได้เข้าที่ ทำเกมรุกได้วูบวาบไม่ด้อยไปกว่าริเบรี่สักเท่าไหร่

ฝั่งเชลซีก็เล่นได้ดีไม่แพ้กัน (แต่ส่วนใหญ่เป็นเกมรับ)

เชค - ยืนตำแหน่งได้สุดยอด ทำเอาบอลที่บาร์เยิร์นยิงมาเหมือนยิงใส่อกเชคอยู่ตลอด เซฟลูกโทษช่วยทีมไว้ได้ถึงสองลูก (รอบเบนตอนต่อเวลา, โอลิชตอนยิงจุดโทษ)

โคล - แทบไม่ได้ขึ้นไปทำเกมรุกตามถนัดเท่าไหร่ เกมรับทำได้น่าพอใจ ไม่โดนกระชากตัดหลังและครอสบอลผ่านเขาไปไม่ได้ง่ายๆ

ลุยส์ - เข้าสกัดได้เด็ดขาด ยังเสียฟาลว์ง่ายและเล่นเสี่ยงบ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่พื้นที่อันตรายและไม่แรงพอจะโดนใบเหลือง-แดง

เคฮิล - ดวลลูกกลางอากาศกับโกเมสได้ดีมาก บางลูกโหม่งไม่ได้แต่ก็เบียดไว้ได้ดีตลอด เข้ามาบล็อคจังหวะยิงคู่ต่อสู้ได้หลายครั้ง เผลอๆ มีวิ่งเติมขึ้นมาถึงแดนหน้าด้วย

โบซิงวา - งานหนักตลอดเกมและปิดเกมรุกริมเส้นไม่ค่อยจะได้ แต่ไม่ถึงกับรั่ว จังหวะที่คู่ต่อสู้ทำได้ไม่ดีจริงๆ ก็ไม่ผ่านโบซิงวาเหมือนกัน

เบอร์ทราน - เกมรุกทำอะไรไม่ได้เลย จะว่าลงมาช่วยเล่นเกมรับก็ทำหน้าที่นั้นได้ไม่ดีนัก บอลส่วนใหญ่เลยไปถึงโคลอยู่ดี

มาต้า - พลิกบอลได้ดี จังหวะพาบอลไปกับตัว 1-1 บาร์เยิร์นแย่งยากเหมือนกัน แต่ข้างหน้าไม่มีทางเลือกในการเปิดบอลเท่าไหร่ เล่นได้ดีตามแทคติคของทีมแล้ว

มิเกล - เกมรับทำได้ดี ปิดพื้นที่หน้าเขตโทษได้เยี่ยม ไล่บอลดีไม่เ้ข้าพรวด เสียฟาลว์ไม่มากนัก แต่จังหวะขึ้นเกมยังต้องพึ่งแลมพาร์ดกับมาต้าค่อนข้างมาก

แลมพาร์ด - ยืนค่อนข้างต่ำ หน้าที่คือช่วยมิเกลเป็นหลัก อ่านเกมได้ดีมาก บอลเร็วของบาร์เยิร์นโดนแลมพาร์ดชลอไว้บ่อยครั้ง และสามารถเก็บบอลหรือผ่านบอลจังหวะสวนกลับได้ค่อนข้างดี (เทียบจากสัดส่วนนักเตะเชลซีที่ไม่ค่อยจะวิ่งเติมเกมรุก ทางเลือกน้อยแต่ยังอุตส่าห์เปิดบอลพอใช้ได้)

คาลู - เป็นอาวุธหลักในเกมโต้กลับของทีม บางช่วงของเกมไปยืนเป็นหน้าเป้าด้วยซ้ำ แต่ขึ้นไปแล้วก็ไม่ค่อยมีคนไปช่วย ทำผลงานใช้ได้คือกดแผงหลังบาร์เยิร์นไม่ให้ขึ้นสูงได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม พอไม่มีพื้นที่ให้เล่น ในจังหวะตั้งเกมขึ้นไปธรรมดาไม่ได้โต้กลับ คาลูดับสนิท

ดรอกบา - ในฐานะกองหน้า โดนลอยคออยู่คนเดียว แทบไม่ได้ทำอะไร แต่มาโดดเด่นเอามากๆ ในจังหวะช่วยรับมือลูกตั้งเตะโดยเฉพาะลูกเตะมุมที่ดรอกบาโหม่งสกัดได้บ่อย ครั้งมาก มีจังหวะทำประตูไม่มากนักก็ยิงได้สำเร็จ สุดท้ายยังยิงจุดโทษพาทีมเป็นแชมป์อีกต่างหาก

ตัวสำรอง

มาลูด้า - เงียบสนิท ทำได้แทบไม่ต่างจากเบอร์ทราน

ตอเรส - จังหวะกระชากบอลทำได้สุดยอด แต่หลังจากนั้นดันไม่มีเพื่อนมาช่วย จะโซ่โล่เดี่ยวผ่านกองหลัง 3-4 คงไม่ไหว

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : ปีเตอร์ เชค... ถ้าบาร์เยิร์นชนะคงเลือกชไวน์สไตเกอร์หรือรอบเบน ส่วนฝั่งเชลซีเองแม้ดรอกบาจะยิงตีเสมอ ยิงปิดกล่อง แต่การเซฟทั้งเกม(แม้ส่วนใหญ่จะไม่ยากนัก), เซฟจุดโทษ 2 ครั้ง โดดเด่นเกินหน้าเกินตาุทุกคนจริงๆ

ป.ล. ชื่อนักเตะบาร์เยิร์นถ้าสะกดอ่านยาก หรือสะกดเลียนเสียงผิดต้องขออภัยด้วย

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สวอนซี 1 - 0 ลิเวอร์พูล



...ปีหน้าว่ากันใหม่...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-4-2

--------------คาโรล------ซัวเรส---------------

มักซี่-----เฮนเดอร์สัน------เชลวี่ย์-----ดาวนิ่ง

จอห์นสัน---แอกเกอร์----คาราเกอร์----เคลลี่

----------------------โดนี่-----------------------

                นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2011-2012 ลิเวอร์พูลออกไปเยือนสวอนซีทีมที่ไม่ต้องลุ้นดิ้นรนอะไรกับชีวิตแล้ว ดัลกลิชปรับทีมหลายตำแหน่งโดยเฉพาะในแผงหลัง จอห์ฺนสันถูกโยกมาซ้าย สเคอเทลโดนดรอปแล้วเป็นคาราเกอร์ลงมาแทน แบคขวาเป็นเคลลี่ และผู้รักษาประตูใช้โดนี่
-------------------------------------------------------

                เริ่มเกมมาสวอนซีก็เก็บบอลครองบอลได้ก่อนเลย ใช้บอลสั้นตามช่องเคาะกันไปมาจนลิเวอร์พูลแทบไม่เจอบอล สวอนซีครองบอลได้เหนียวแน่นมากและจังหวะที่เสียบอลไปแล้วก็ช่วยกันไล่บีบเร็วจนทำให้ลิเวอร์พูลครองบอลหรือขึ้นเกมไม่ได้เสียบอลกลับไปอย่างรวดเร็ว

                ทั้งสองฝ่ายมีจังหวะผิดพลาดในการขึ้นบอลกลางสนามเป็นระยะ แต่ลิเวอร์พูลได้โอกาสแล้วฉวยเอาไว้ไม่ได้ แทบไม่สามารถพาบอลเข้าใกล้จุดโทษคู่ต่อสู้ ส่วนทางฝั่งสวอนซีใช้โอกาสพลาดของลิเวอร์พูลมาลุ้นประตูได้บ้างเป็นระยะ เกมโดยรวมนอกจากสวอนซีจะครองบอลมากกว่า ได้ลุ้นประตูมากกว่าแล้ว บอลจังหวะสองก็เป็นของสวอนซีทั้งรุกทั้งรับ คือจังหวะกองหลังสวอนซีสกัดมาลิเวอร์พูลตัดไม่ได้ แต่กองหลังลิเวอร์พูลสกัดขึ้นมาสวอนซีเก็บได้เกือบหมด ทำให้ความต่อเนื่องก็ยังอยู่ทางฝั่งสวอนซีมากกว่า

                ลิเวอร์พูลเล่นเจียนไปเจียนอยู่มาราว 40 นาที ก่อนที่ 5 นาทีสุดท้ายจะได้โอกาสบุกขึ้นไปใกล้เขตโทษและบุกได้ต่อเนื่องมากขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้ลุ้นอะไร ส่วนสวอนซีก็ยังเล่นกันไปสบายๆ ไม่เร่ง ไม่กดดัน ก่อนจะจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 0-0

                เข้าครึ่งหลังเกมยังเป็นของสวอนซีเหมือนเดิม แต่ลิเวอร์พูลปรับเกมลงมาดีขึ้น ออกบอลเร่งจังหวะกันมากขึ้นและเน้นการใช้บอลโด่งบอลยาวมากกว่าครึ่งแรก

                นาที 61 เบลามี่ลงไปแทนดาวนิ่ง สวอนซียังคงได้ลุ้นเป็นระยะ ส่วนลิเวอร์พูลได้โอกาสยิงมากขึ้นกว่าในครึ่งแรกแต่เกมยังเป็นรองอยู่ นาที 73 เค้าท์แทนมักซี่ โดยเค้าท์ลงไปเล่นทางขวาสลับเอาเบลามี่ไปซ้าย เค้าท์สามารถวิ่งไล่และทำเกมรุกด้วยการพาบอลไปเองได้ดีในระดับนึง ทำให้เกมของลิเวอร์พูลดูดีขึ้นเล็กน้อย

                เข้า 15 นาทีสุดท้ายของเกม เกมเปิดมากขึ้นแต่ไม่ถึงขั้นบุกแลกกัน โอกาสของลิเวอร์พูลเริ่มมีให้เห็นเรื่อยๆ แต่จังหวะสุดท้ายยังทำกันได้แบบแทบไม่ได้ลุ้น ส่วนสวอนซีเริ่มทำเกมรุกได้แผ่วลงไปจนเกมทำท่าว่าจะจบด้วยผลเสมอแบบไม่มีสกอร์ แต่แล้วในนาที 86 จากจังหวะขึ้นบอลตามช่องของสวอนซี แนวรับลิเวอร์พูลปิดพื้นที่กันไม่ดี ปล่อยให้ริมเส้นผ่านบอลเข้ากลางง่ายๆ และแกรมวิ่งสอดขึ้นไปยิงโล่งๆ ผ่านมือโดนี่ได้สำเร็จ สวอนซีขึ้นนำ 1-0

                หลังจากเสียประตู ลิเวอร์พูลพยายามจะเปิดเกมรุกใส่แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ พ่ายในเกมปิดฤดูกาลไป 1-0
-----------------------------------------

                วันนี้ดัลกลิชปรับทีมค่อนข้างมากอีกครั้ง แผงหลังรวมผู้รักษาประตู ถ้าดูจากตัวหลักที่เล่นมาต่อเนื่องในฤดูกาลนี้มีเพียงแอกเกอร์คนเดียวเท่านั้นที่เป็นตัวจริงและได้เล่นในตำแหน่งถนัด

                สิ่งที่ตัดสินเกมในวันนี้คงไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าทีมเวิร์ค ลิเวอร์พูลนั้นมีนักเตะ 11 คนที่พยายามเล่นอย่างดีที่สุดแล้ว พยายามวิ่งไล่บอล พยายามจะเปิดบอลเร็ว แต่ต่างคนต่างไล่ เข้าพรวดก็ไม่มีคนซ้อน ต่างคนต่างวิ่งบอลไปไม่ค่อยตรงเพื่อน แต่ทางฝั่งสวอนซีันั้นมี 1 ทีม ทุกคนเล่นกันได้แบบเข้าขารู้ใจ มีคนไล่คนซ้อน บีบพื้นที่แบบมีทิศทาง จังหวะได้บอลมีคนวิ่งทำทางให้ตลอด จนทำให้สวอนซีทำผลงานได้ดีกว่าและชนะไปได้ในที่สุด

                ตัดเรื่องรูปเกมออกไป ดูที่จังหวะลุ้นประตูอย่างเดียว ลิเวอร์พูลวันนี้ก็มีโอกาสไม่น้อยแต่ทำกันไม่ได้ โอกาสที่หามาได้ส่วนใหญ่จบลงที่การเปิดบอลเข้าพื้นที่สุดท้ายผิดพลาด บอลไปคนละทางกับคน กลับกันกับฝั่งสวอนซี จังหวะลุ้นประตูดูทั้งเกมมีโอกาสลุ้นดูแ้ล้วจำนวนครั้งพอๆ กับลิเวอร์พูล แต่บอลที่ได้ยิงจริงๆ มีมากกว่า การเข้าทำแบบทีมเวิร์คสวอนซีทำได้ดีกว่าอย่างชัดเจน ประตูที่ได้มาก็แทบไม่เกี่ยวอะไรกับความสามารถเฉพาะตัวเลยด้วย เป็นการเข้าทำที่เกิดจากความเข้าใจมากกว่า ซึ่งเป็นประตูแบบที่ลิเวอร์พูลทำได้น้อยมากในฤดูนี้

                ก่อนจะมองไปที่การซื้อตัวใหม่มาเสริมทีม ลิเวอร์พูลน่าจะต้องมองไปที่การเสริมสร้างทีมเวิร์คให้ลงตัวให้ได้มากกว่านี้เป็นอันดับแรก นักเตะชุดนี้ใช้เวลา 1 ฤดูกาลในการเล่นรวมกันแล้ว หวังว่าฤดูหน้าจะมีทีมเวิร์คที่ดีขึ้น ไม่อย่างนั้นต่อให้นักเตะโคตรระดับโลกหรือจักรวาล, นักเตะเกรดตอง A พิเศษใส่ไข่เพิ่มเนื้อเพิ่มผัก ก็ยากที่ผลงานจะมีความสม่ำเสมอได้ในระดับที่น่าพอใจ

                ...เจอกันฤดูกาลหน้าครับ...
----------------------------------

นัดนี้เล่นกันพอใช้ได้ (แต่สวอนซีดีกว่า)

โดนี่ - ยังเหวอกับลูกคืนหลังต่อไป นอกจากจะก้มลงรับลูกคืนหลังของคาโรลดื้อๆ (คาโรลก็ส่งพลาดด้วย) จนเสียลูกตั้งเตะสองจังหวะในเขตโทษแล้ว หลังจากนั้นเวลาเจอลูกคืนหลังก็ลนจนเตะพลาดอยู่หลายครั้ง อย่างไรก็ตาม การยืนตำแหน่งทำได้ดีและส่งผลให้เซฟสวยๆ ช่วยทีมไว้ได้ 2-3 ครั้ง

จอห์นสัน - เกมรับโดนดายเออร์กดเอาจนแทบไม่ได้โงหัวขึ้นไปเล่นเกมรุก พอเอาตัวรอดไปได้แต่ก็ไม่น่าประทับใจนัก จังหวะเสียประตูก็มีส่วนพลาดเพราะเติมขึ้นไปแล้วลงไม่ทันด้วย

แอกเกอร์ - ไม่ค่อยมีจังหวะต้องเข้าสกัดมากนัก ลูกกลางอากาศเล่นได้ดี ผ่านบอลขึ้่นหน้าได้ค่อนข้างดี สาดทิ้งน้อยกว่าคนอื่น

คาราเกอร์ - คล้ายกับแอกเกอร์แต่เป็นเวอร์ชั่นที่สาดทิ้งทุกครั้งที่มีคู่ต่อสู้วิ่งเข้ามาหา

เคลลี่ - คล้ายกับจอห์นสัน นี่เป็นวันที่ปีกคู่ต่อสู้กดแบคลิเวอร์พูลแบนแต๊ดแต๋ทั้งสองฝั่ง

มักซี่ - งานหลักหนักไปทางช่วยวิ่งไล่และปิดพื้นที่ในแดนกลางมากกว่าจะทำเกมรุกหรือหาโอกาสยิงประตู ทำได้แค่ต่อบอลไปมาเท่านั้น

เชลวี่ย์ - เข้าบอลได้น่ากลัวมาก เสียฟาลว์บ่อยและเป็นฟาลว์ที่ชวนโดนใบเหลืองหลายครั้ง ครองบอลได้ไม่ดีนักโดนแซะโดนปั้มไปหลายครั้งเหมือนกัน ครึ่งแรกเล่นแทบไม่ได้เลย ครึ่งหลังออกบอลได้ดีขึ้นเร็วขึ้น

เฮนเดอร์สัน - ไม่ค่อยเข้าบอล แต่ดีตรงที่ไม่พรวดพราดแบบเชลวี่ย์ ไม่ค่อยเสียฟาลว์และปิดพื้นที่ได้ดีกว่า ส่วนเกมรุกดับสนิท จุดเด่นในเรื่องความผิดพลาดน้อยวันนี้ก็หายไปด้วย เล่นพลาดค่อนข้างเยอะโดยเฉพาะช่วงครึ่งแรก

ดาวนิ่ง - เปิดบอลครอสได้ดีครั้งสองครั้ง แต่โดยรวมต้องบอกว่านิ่งสนิท

ซัวเรส - ได้บอลน้อยมาก แต่จังหวะได้บอลวันนี้ก็ทำบอลเสียน้อยกว่าที่ผ่านมา ให้บอลไปได้ดีหลายครั้งแต่เพื่อนดันเอาไปทำต่อพลาด บางครั้งวิ่งหาพื้นที่ว่างได้ดีมากๆ แล้วชนิดสับไกยิงได้ทันทีเพื่อนก็ไม่ผ่านบอลมา/ให้มาไม่ถึง

คาโรล - เล่้นลูกกลางอากาศได้ดีและเป็นไม้ตายเวลาเพื่อนอะไรคิดไม่ออกก็จะโยนมาให้ เก็บบอลใช้ได้ วิ่งหาพื้นที่และให้บอลก็ดูดี เป็นสาเหตุที่ทำให้ลิเวอร์พูลยังพอมีอะไรตอบโต้บ้างและไม่ถูกกดดันอะไรมากนักในช่วงที่โดนสวอนซีบุกเป็นชุดๆ แต่วันนี้จังหวะสุดท้ายทำได้ดีไม่ดี บางทีควรจ่ายไม่จ่าย จังหวะยิงก็ทำได้ไม่ดีนัก

ตัวสำรอง

เบลามี่ - เร็วกว่ามักซี่ แต่ผลงานแทบไม่ต่าง

เค้าท์ - เล่นพอใช้ได้ พาบอลไปกับตัวได้ดี ลดภาระการทำเกมเอาเองตามมีตามเกิดของคู่กองหน้าได้ในระดับหนึ่ง

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ลิเวอร์พูล 4 - 1 เชลซี



...เอาน่า...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-4-2

---------------คาโรล------ซัวเรส----------------

มักซี่------เชลวี่ย์------เฮนเดอร์สัน-----ดาวนิ่ง

แอกเกอร์---สเคอเทล--คาราเกอร์---จอห์นสัน

-----------------------เรน่า-----------------------

                รีแมทช์นัดชิงเอฟเอคัพเมื่อสุดสัปดาห์อีกครั้ง เมื่อลิเวอร์พูลเตะนัดเหย้านัดสุดท้ายของฤดูกาลกับเชลซีที่พึ่งดวลกันมาหมาดๆ ดัลกลิชเองจัดตัวเหมือนเน้นเอามันเข้าว่า คาโรลคู่ซัวเรส และเชลวี่ย์จับคู่กับเฮนเดอร์สันตรงกลางโดยไม่มีกลางรับอาชีพ แผงหลังมีปรับตำแหน่งเดียวคือแอกเกอร์แทนเอนริเก้ ส่วนทางฝั่งเชลซีเปลี่ยนแทบยกทีมเหลือแค่เทอรี่,อิวาโนวิช,รามิเลส เท่านั้นที่เหลือรอดมาจากนัดที่แล้ว
-------------------------------------------------------

                เกมเปิดตั้งแต่เริ่ม ทั้งสองฝ่ายเล่นกันแบบไม่กดดัน ไม่เหมือนนัดชิงที่เล่นไปเครียดไป ต้นเกมยังดูสูสีแต่เล่นไปเล่นมากลายเป็นลิเวอร์พูลที่ครองได้มากขึ้นเรื่อยๆ นักเตะเชลซียังดูขยันไล่บอลดีแต่มีปัญหาในแนวรับรวมไปถึงการขึ้นเกมที่ไม่เป็นสัปปะรดสัปปะหลังอะไร ส่งผลให้ลิเวอร์พูลบุกเข้าประชิดเขตโทษได้เป็นระยะ

                เกมมาเปลี่ยนในนาที 17 จากบอลทุ่มเกือบกลางสนาม ซัวเรสได้บอลลากไต่เส้นข้างขึ้นไปดื้อๆ แตะลอดขากองหลังแล้วเลี้ยงไต่เส้นหลังต่อ ก่อนจะหักกลับเข้ากลางมาชนหน้าแข้งเอสเซียงที่วิ่งตามลงมาช่วยเข้าประตูไปให้ลิเวอร์พูลนำไปก่อน 1-0

                หลังจากเสียประตู เกมเชลซีที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องอยู่แล้วยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก กลายเป็นลิเวอร์พูลที่ได้บุกเข้าใส่ฝ่ายเดียว โดยเน้นเจาะตรงกลางและการเล่นลูกกลางอากาศของคาโรล นาที 25 เทอรี่ยังมาพลาดง่ายๆ อีกจากจังหวะที่มักซี่เปิดบอลไปคนละทางกับเฮนเดอร์สันแล้วแต่เทอรี่ลื่นล้มทำให้เฮนเดอร์สันวิ่งไปเอาบอลหลุดเดี่ยวเข้าไปยิงผ่านมือผู้รักษาประตูไปได้สำเร็จ 2-0

                เกมของเชลซีมีปัญหาหนักจริงๆ ขึ้นเกมไม่ได้ ตัดเกมไม่ค่อยได้และเก็บบอลจังหวะสองก็แทบไม่ได้ เป็นลิเวอร์พูลที่กดดันต่อเนื่องและมาได้ประตูที่สามในนาที 28 จากจังหวะเตะมุม คาโรลโหม่งชงเข้ากลางแล้วเป็นแอกเกอร์ที่โหม่งเข้าไปได้ 3-0

                โดนไปสามลูกเชลซีถึงเริ่มตั้งสติกลับมาได้ เริ่มครองบอลได้มากขึ้นและบุกได้ดีขึ้นเ็ล็กน้อย รูปเกมกลับมาสูสีกันมากขึ้น โดยเกมเชลซีดีอยู่ประมาณ 10 นาทีก่อนที่ 5 นาทีสุดท้ายจะเริ่มกลับไปแผ่วเหมือนเดิม ช่วงทดเวลาเจ็บอิวาโนวิชยังทำมาทำเสียจุดโทษจากจังหวะที่ไปศอกใส่คาโรล ดาวนิ่งรับหน้าที่ยิงจุดโทษ...ชนเสา ก่อนจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ห่าง 3-0

                เข้าครึ่งหลัง เชลซีกลับลงมาเล่นได้ดีขึ้น ครองเกมได้มากขึ้น แม้ในโอเพ่นเพลย์ยังกดดันอะไรไม่ได้มากนักแต่มาได้ประตูตีตื้นจากจังหวะลูกตั้งเตะ นาที 50 เชลซีได้เปิดฟรีคิกจากมุมเขตโทษ บอลมาตกใส่ตัวรามิเลส, สะกิดขาเรน่าเล็กน้อยก่อนจะกลิ้งเข้าประตูไปเป็น 3-1

                หลังจากได้ประตู เชลซียังทำได้ดีต่อเนื่อง หยุดเกมรุกของลิเวอร์พูลได้ดีกว่าในครึ่งแรกมากและลดข้อผิดพลาดของตัวเองลงได้ แต่จังหวะสุดท้ายยังกดดันอะไรไม่ได้มานัก ส่วนลิเวอร์พูลเองดูจะผ่อนเกมลงไปกว่าในครึ่งแรก ยังมีจังหวะบุกและลุ้นประตูเป็นระยะ แต่บุกได้ไม่ต่อเนื่องเหมือนเดิม

                ยิ่งเล่นไปเชลซียิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ เน้นวิ่งไล่บอลเร็วตั้งแต่แดนหน้าจนลิเวอร์พูลขึ้นเกมได้ลำบาก หาช่องผ่านบอลไม่ค่อยได้ แต่แล้วเชลซีกลับมาพลาดเองอีกครั้งในนาที 61 เทิร์นบูลเตะเปิดเกมไม่ดี บอลสั้นไม่ถึงครึ่งสนามเข้าเท้าเชลวี่ย์ ก่อนที่เชลวี่ย์จะพักบอลหนึ่งจังหวะแล้วยิงสวนเข้าไปทันทีให้ทีมนำห่างอีกครั้ง 4-1

                เมื่อสกอร์ขยับห่างอีกครั้ง เกมของเชลซีที่ทำท่าจะดีขึ้นก็แผ่วลงไป ส่วนทางลิเวอร์พูลก็เล่นกันไปตามช่องตามจังหวะไม่ถึงกับเร่งอะไรมากนัก เกมโดยรวมช้าลง เชลซีทำเกมรุกกดดันอะไรไม่ได้มากนัก โอกาสลุ้นส่วนใหญ่มาจากลูกตั้งเตะ ส่วนลิเวอร์พูลยังบุกขึ้นไปได้ลุ้นประตูเป็นระยะแต่ยังทำสกอร์เพิ่มไม่สำเร็จ

                นาที 83 เค้ากับสเตอริ่งได้ลงแทนมักซี่กับดาวนิ่ง แต่ก็แทบไม่มีผลอะไรกับเกม ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะจบเกมนัดสุดท้ายในบ้านของฤดูนี้ไปด้วยชัยชนะเหนือทีมสำรองของเชลซีด้วยสกอร์หรู 4-1
-----------------------------------------

                วันนี้ทั้งสองฝั่งดูจะไม่กดดันและเหมือนไม่ได้เน้นอะไรมากนัก สำหรับทางฝั่งลิเวอร์พูล นอกจากจะใช้กองหน้าคู่, ไม่ใช้กลางรับอาชีพแล้ว แผงกองหลังยังดันสูง รวมไปถึงแบคที่ลอยอยู่เกือบครึ่งสนามตลอดเกม การจัดตัวของดัลกลิชดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยพอใจฟอร์มของเอนริเก้กับสเปียริ่งเอามากๆ ด้วย

                รูปเกมในวันนี้ครึ่้งแรกกับครึ่งหลังต่างกันค่อนข้างมาก แต่โดยรวมแล้วสิ่งที่ตัดสินเกมคงหนีไม่พ้นฟอร์มของนักเตะเชลซีที่เล่นกันได้แย่สุดๆ โดยเฉพาะในครึ่งแรก นักเตะสำรองที่ลงมาไม่มีใครเล่นดีเล่นได้เลยแม้แต่คนเดียว นักเตะอย่างตอเรสฟอร์มหลุดทะลุอุโมงค์ไปเรียบร้อยชนิดที่ยูโรคราวนี้ไม่น่าเห็นตอเรสในทีมชาติแล้ว และที่หนักสุดกลายเป็นกัปตันทีมอย่างเทอรี่ที่ไม่รู้ว่าฉลองมากไปหรืออย่างไร แข้งขาอ่อนล้มกลิ้งล้มหงายอยู่ตลอดครึ่งแรก แม้ครึ่งหลังฟอร์มของนักเตะเชลซีจะดูดีขึ้นแต่ก็แค่ทำให้เกมมันดูสูสีขึ้นมาเท่านั้น ไม่ถึงกับเปลี่ยนกลับมาได้เปรียบหรือกดดันอะไรลิเวอร์พูลมากมายนัก

                มองในแง่ดี จริงอยู่ว่าเชลซีจัดชุดสำรองลงมาเล่นและเล่นได้ไม่ดี แต่ลิเวอร์พูลเองก็ทำผลงานได้ดีด้วย ที่ผ่านมามีอยู่หลายนัดที่คู่ต่อสู้ก็เล่นไม่ได้ดีไปกว่าเชลซีนัดนี้สักเท่าไหร่แต่ลิเวอร์พูลกลับเอาชนะไม่ได้ บางนัดถึงขึ้นแพ้ด้วยซ้ำ แต่วันนี้สามารถจัดการได้อย่างเด็ดขาดตั้งแต่ครึ่งแรก

                มองในแง่ร้าย ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในเกมรับของลิเวอร์พูลนั้นดูจะกลายเป็นปัญหาเรื้อรังไปแล้ว, การรับมือกับลูกตั้งเตะที่มีปัญหาเอามากๆ เมื่อปล่อยให้คู่ต่อสู้เข้าถึงบอลได้บ่อยและง่ายเหลือเกิน เกมรับที่หละหลวมขนาดนี้จะไปมีปัญญาปีนกลับขึ้นไปยอดบนของตารางได้อย่างไร บางทีจบฤดูนี้อาจต้องมีการขันแนวรับกันใหม่อีกรอบก่อนที่จะมองไปถึงการปรับเกมรุกที่ยิงได้น้อยเหลือเกินก็เป็นได้

                ...แต่เอาน่า ชนะตั้ง 4-1 แล้วก็แฮปปี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์ก็แล้วกัน...
----------------------------------

นัดนี้เล่นกันได้ค่อนข้างดี (ขอขอบคุณดิ มัตติโอมา ณ ที่นี้ด้วย)

เรน่า - เซฟลูกโหม่ง 4 หลาของลูกากูได้ดี แต่พลาดหนักในจังหวะเสียประตูที่ไม่ออกไปเล่นบอลทั้งยังเฝ้าเส้นได้ไม่ดี โดยรวมแล้วก่อนที่จะเสียประตูเล่นได้ค่อนข้างดี แต่หลังจากเสียประตูแล้วดูจะเหวอๆ อยู่เหมือนกัน

แอกเกอร์ - เข้าบอลหวาดเสียวหลายจังหวะ เชื่อมเกมและหาจังหวะลากลุยได้ดี ผลงานใช้ได้แต่ไม่ถึงกับยอดเยี่ยม

คาราเกอร์ - เล่นได้ดีที่สุดในแผงหลัง จังหวะประกบตอเรสทำได้ดีทุกจังหวะ เข้าซ้อนและสกัดได้เด็ดขาด ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น (ถ้าไม่นับจังหวะลูกตั้งเตะ)

สเคอเทล - เล่นได้แข็งแกร่งในจังหวะเบียดปะทะและเล่นลูกกลางอากาศ เสียฟาลว์ค่อนข้างน้อย แต่ดูเหมือนการยืนตำแหน่งจะมีปัญหาเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเวลายืนเซนเตอร์ฝั่งขวา (วันนี้ยืนฝั่งซ้าย) ซ้อนแบคไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่

จอห์นสัน - เกมรับแทบไม่ต้องทำอะไร ขึ้นมาเชื่อมเกมได้ดี ข้อผิดพลาดไม่มี แต่โดยรวมก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร

มักซี่ - เป็นเกมที่ดีมากของมักซี่ มีส่วนร่วมกับเกมเยอะโดยเฉพาะครึ่งแรก ไล่บอลได้เร็ว ทำทางดี และเปิดบอลเร็วได้ดีมาก ครึ่งหลังยังเล่นพอใช้ได้แต่หลังจากผ่าน 1 ชั่วโมงไปก็ค่อยๆ หายไปจากเกม

เชลวี่ย์ - เล่นได้น่าพอใจ ทำเกมรุกได้เร็ว ไม่ครองบอลนาน จังหวะเพรซซิ่งนักเตะเชลซีที่กำลังจะพลิกบอลทำได้ดีมาก แต่เข้าบอลไม่ค่อยระวังเท่าไหร่ ถ้าโชคร้ายกว่านี้อาจโดนสองใบเหลืองด้วยซ้ำ

เฮนเดอร์สัน - ยืนต่ำว่าเชลวี่ย์เป็นส่วนใหญ่ ด้วยแทคติคที่ไม่เรียกร้องให้เจ้าตัวทำอะไรมากไปกว่าผ่านบอลไปรอบๆ โดยไม่เสีย เฮนเดอร์สันทำได้ตรงจุดนั้น บอลผ่านไปเร็วและลำเลียงบอลจากหลังไปหน้าได้ค่อนข้างดี โอกาสหลุดเดี่ยวก็ยิงได้เยี่ยมไม่ผิดพลาด ส่วนเกมรับทำผลงานได้ค่อนข้างดีกับการเจอกองกลางที่ทำเกมรุกไม่ได้เรื่องเชลซี

ดาวนิ่ง - ได้บอลไม่มากนัก จังหวะที่ได้บอลก็ทำได้ไม่ดีสักเท่าไหร่ ยิงจุดโทษพลาดและหาโอกาสจ่ายบอลสวยๆ หรือยิงเองได้น้อยมาก ยังดีว่าไม่ค่อยทำบอลเสียและยังพาบอลไปข้างหน้าได้ แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ใช่วันที่ดีของดาวนิ่ง

ซัวเรส - มีส่วนร่วมกับเกมรุกเยอะ ทำเกมได้ค่อนข้างดีและวิ่งหาตำแหน่งได้ดีมาก บางจังหวะฝืนเล่นยาก แต่ก็ฝืนจนได้ดีในจังหวะที่ทำให้ทีมได้ประตูแรก หาโอกาสยิงเองได้ไม่น้อย...พลาดเรียบ

คาโรล - เล่นลูกกลางอากาศได้ดี เอาชนะคู่เซนเตอร์เชลซีได้เกือบตลอด พักบอลลงและจ่ายบอลให้เพื่อนได้เปรียบ มีฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นเอามากๆ ซึ่งสวนทางกับการยิงประตูด้วยตัวเองแบบหน้าืมือเป็นหลังมือ

ตัวสำรอง

เค้าท์ - ได้บอลไม่มากนัก แล้วก็แทบไม่ได้ทำอะไรเลยด้วย

สเตอริ่ง - ลงมาปุ๊ป ได้ยิงปั๊ป ในเขตโทษด้วย ผลคือ ... นกตายยกฝูง

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : แอนดี้ คาโรล ... วันนี้เล่นดีหลายคนไม่ว่าจะเป็นคาราเกอร์ เชลวี่ย์ ซัวเรส แต่ขอยกประโยชน์ให้กับอาวุธหลักในการบุกใส่เชลซีอย่างคาโรลก็แล้วกัน อันที่จริงแล้วถ้าเทอรี่เล่นครึ่งหลังเหมือนครึ่งแรกรับรองว่าได้ตำแหน่งนี้แน่

ป.ล. เชลซีรูปเกมแย่แต่ได้ลุ้นประตูเหมือนกันนะ โหม่งชนเสา ยิงชนคาน ไปอย่างละครั้งด้วย

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เชลซี 2 - 1 ลิเวอร์พูล



...เกือบรอด แปลว่า ไม่รอด...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-5-1

------------------------ซัวเรส-----------------------

ดาวนิ่ง--สเปียริ่ง--เจอราร์ด--เฮนเดอร์สัน--เบลามี่

เอนริเก้-----แอกเกอร์-----สเคอเทล----จอห์นสัน

-------------------------เรน่า------------------------

                นัดชิงเอฟเอคัพ ลิเวอร์พูลเจอเชลซี ดัลกลิชเลือกเหนียวแน่นไว้ก่อนเล่น 4-5-1 ใช้ซัวเรสเป็นหน้าเป้าคนเดียว ตรงกลางสเปียริ่ง, เจอราร์ด, เฮนเดอร์สันได้ลงเล่นร่วมกัน ริมเส้นเป็นโอกาสของดาวนิ่งและเบลามี่ไ้ด้เป็นตัวจริงทางซ้ายและขวาตามลำดับ ส่วนแผงหลังชุดหลักอยู่กันครบ
-------------------------------------------------------

                เกมเริ่มมาแบบอึดอัดเพราะทั้งสองฝ่ายระวังตัวกันทั้งคู่ เกมช้าและเล่นกันไปตามช่องเป็นส่วนใหญ่ ลิเวอร์พูลดันดาวนิ่งขึ้นสูงไปช่วยซัวเรสเป็นระยะ ส่วนเชลซีเน้นขึ้นทางซ้าย(คาลู) สลับกับบอลโด่งให้ดรอกบาพักบอลเล่น เกมโดยรวมดูสูสีค่อนไปทางเชลซีเล็กน้อยจนกระทั่ง...

                นาที 11 ลิเวอร์พูลขึ้นไปบีบบอลสูงแล้วพลาด สเปียริ่งตัดไม่โดนบอลทำให้เชลซีได้โต้เร็วขึ้นมาทางรามิเลสด้านขวา เอนริเก้เบียดไม่อยู่และเป็นรามิเลสที่ลากเข้าไปยิงเสาแรกผ่านเรน่าไปได้ 1-0

                หลังจากได้เสียประตู ลิเวอร์พูลพยายามเร่งมากขึ้นและได้ครองบอลมากขึ้นแต่เกมโดยรวมยังเป็นเชลซีที่ดูดีกว่า กองกลางสามารถไล่กดดันจนทำให้ลิเวอร์พูลเปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้ช้า เข้าครึ่งชั่วโมงแรกของเกม ลิเวอร์พูลปรับแทคติคเล็กน้อยด้วยการดันเบลามี่ไปเล่นหน้าต่ำ แล้วถ่างเฮนเดอร์สันไปเล่นริมเส้นด้านขวามากขึ้น ซึ่งทำให้เกมดูดีขึ้นเล็กน้อย

                เข้าช่วง 5 นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก เชลซีเริ่มลงไปตั้งรับลึกขึ้น และลิเวอร์พูลทำเกมรุกกดดันได้ดีขึ้น แต่สุดท้ายยังหาโอกาสทำประตูไม่ได้ ก่อนจะจบครึ่งแรกที่สกอร์ 1-0

                เริ่มต้นครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลเน้นเพรซซิ่งเร็วกลางสนามมากขึ้น เน้นเกมริมเส้นมากขึ้น เปิดเกมรุกเต็มที่ ทำให้เกมเปิดแลกใส่กันเพราะเชลซีก็ได้ช่องโต้กลับอยู่ตลอด แล้วเป็นเชลซีที่มาทำได้ก่อนในนาที 52 แลมพาร์ดได้บอลพลิกหลบสเปียริ่ง จ่ายให้ดรอกบาในเขตโทษ ก่อนที่ดรอกบาจะแตะหลบสเคอเทลหนึ่งจังหวะยิงลอดขาสเคอเทลผ่านมือเรน่าเสียบเสาสองเข้าไปได้ 2-0

                ดัลกลิชอยู่ในนิ่งไม่ได้ เปลี่ยนคาโรลลงมาแทนสเปียริ่งทันทีในนาที 55 ลิเวอร์พูลเร่งเกมรุก เน้นบอลยาวและการครอสจากริมเส้นมากขึ้น ส่วนทางเชลซีเริ่มถอยกันไปตั้งรับลึกแล้วรอโต้ ลิเวอร์พูลกดดันได้ต่อเนื่องจนมาทำได้ในที่สุดในนาที 64 บอลยาวของลิเวอร์พูลที่ไหลไปเข้าทางโบซิงวาแล้วและกำลังจะเตะสกัดออกมา ซัวเรสไปปั้มบอลเอาไว้ก่อนบอลจะไหลมาเข้าทางคาโรลล็อคหลบเทอรี่ยิงเสียบเพดานเข้าไปให้ทีมไล่มาได้เป็น 2-1

                หลังจากได้ประตูไล่ขึ้นมา เกมไหลมาเข้าทางลิเวอร์พูลมากขึ้น เชลซีเก็บบอลและโต้กลับได้น้อยลงเรื่อยๆ ลิเวอร์พูลเปิดเกมรุกกดดันอย่างได้ผลโดยเน้นไปที่การขึ้นบอลของดาวนิ่งและการเล่นลูกกลางอากาศของคาโรลเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งเกมเป็นของลิเวอร์พูลอยู่แทบจะฝ่ายเดียวแต่ยังทำประตูเพิ่มไม่ได้

                นาที 78 เค้าท์ได้ลงมาแทนเบลามี่ และไม่นานหลังจากนั้น ลิเวอร์พูล "เกือบ" ได้ประตูตีเสมอ เมื่อซัวเรสตักบอลข้ามมาเสาสองให้คาโรลได้โหม่งจ่อๆ บอลเหมือนจะข้ามเส้นไปแล้วแต่เชคปัดบอลออกมาได้และกรรมการปฏิเสธการให้ประตู ทำให้ลิเวอร์พูลยังคงตีเสมอไม่สำเร็จ

                ลิเวอร์พูลยังคงบุกหนักต่อไปและได้โอกาสลุ้นประตูอีกหลายครั้งทั้งลูกยิงไกล 3-4 ลูก และจังหวะยิงของคาโรลในเขตโทษแต่ก็ทำไม่สำเร็จ จนกระทั่งเข้าช่วงทดเวลาบาดเจ็บเชลซีก็สามารถกุมสถานการณ์เอาไว้ได้และสามารถปิดเกมเอาตัวรอดไปได้สำเร็จ 2-1 ได้แชมป์เอฟเอคัพเป็นสมัยที่ 7 ก่อนจะไปรอลุ้นแชมป์ UCL สมัยแรกในการเจอกับบาร์เยิร์นต่อไป
-----------------------------------------

                เป็นเกมนัดสำคัญคงไม่มีใครอยากเสี่ยง ดัลกลิชตัดสินใจเน้นความแน่นอนไว้ก่อนไม่ใช่เรื่องแปลก ตัวผู้เล่นตัวจริงที่ลงสนามนัดนี้เป็นชุดที่ดีที่สุดสำหรับแทคติคนี้แล้ว รูปเกมโดยรวม(ก่อนเปลี่ยนตัว) จริงๆ แล้วถือว่าเป็นไปตามแผน แต่ความผิดพลาดส่วนบุคคลมาทำให้ทีมต้องตกเป็นรองไปก่อนและเป็นสิ่งที่ตัดสินเกมในวันนี้ด้วย

                พูดถึงการเปลี่ยนตัว การเปลี่ยนทั้งคาโรลและเค้าท์มา, เอาสเปียริ่งกับเบลามี่ออก รวมไปถึงแทคติคที่ปรับไปหลังจากนั้นไม่ได้น่าแปลกใจอะไร ติดใจอยู่เล็กน้อยที่ส่งคาโรลลงมาช้าไปสักหน่อยน่าจะเปลี่ยนตั้งแต่พักครึ่ง แต่กับสกอร์ที่ตามอยู่ลูกเดียวคงทำให้ดัลกลิชยังไม่อยากเสี่ยงก็เป็นได้ อันนี้ไม่เห็นด้วยแต่ก็เข้าใจได้

                มองไปทางฝั่งเชลซีพวกเขาเล่นได้เหนียวแน่น, มีวินัย และมีสมาธิเอามากๆ ข้อผิดพลาดส่วนบุคคลแทบไม่มีให้เห็น ในขณะเดียวกันก็ฉวยเอาข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ของคู่ต่อสู้มาเปลี่ยนเป็นสองประตูได้ พวกเขาอาจไม่ได้เล่นดีกว่าลิเวอร์พูลมากนัก แต่สมควรชนะแล้วจริงๆ

                ส่วนลูกปัญหาที่คาโรลโหม่งเหมือนจะข้ามเส้นไปแล้วนั้น คานประตูบังมุมกล้องอยู่เลยไม่แน่ใจว่าข้ามไปทั้งลูกหรือยัง ส่วนตัวผมคิดว่าข้ามไปแล้วล่ะ หรืออย่างน้อยที่สุดมันใกล้เคียงกว่าลูกที่มาต้ายิงสเปอร์ในรอบรองเยอะ แต่ถ้าไปถามเด็กสิงห์คงคิดอีกอย่างนั่นแหล่ะ และสุดท้ายกรรมการไม่ให้ก็คือไม่ได้ประตูอยู่ดี

                เอวัง...ด้วยประการ...ฉะนี้
 ----------------------------------

นัดนี้มีทั้งช่วงที่เล่นดีและไม่ดี

เรน่า - ไม่มีข้อผิดพลาดให้เห็น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีซูเปอร์เซฟที่เคยทำได้ให้เห็นเหมือนกัน ลูกแรกที่เสียก็เสียตามสไตล์ เรน่าชอบซื้อเสาสอง-เปิดเสาแรกค่อนข้างกว้าง โดนเสาแรกเสร็จทุกที ส่วนลูกที่สองเป็นมุมที่สเคอเทลน่าจะบล๊อคได้มากกว่า

เอนริเก้
- เกมรับมีปัญหาจะๆ ให้เห็นครั้งเดียวและเป็นครั้งที่ทำให้เสียประตูซะด้วย น่าจะทำได้ดีกว่านั้น ส่วนเกมรุกวันนี้ออกบอลเสียเยอะมาก โดยเฉพาะครึ่งแรกที่ทำเสียแทบจะทุกจังหวะที่ออกบอลไปข้างหน้า ครึ่งหลังดูดีขึ้นแต่ก็ไม่ถึงกับมีส่วนทำให้ทีมได้เปรียบ

สเคอเทล - มีปัญหากับดรอกบาอยู่ตลอดเกม ถึงแม้จะไม่ถึงกับ "เสียสุนัข" แต่ก็ทำให้ดรอกบาได้เล่นไม่น้อย ครึ่งแรกเก็บดรอกบาไม่ค่อยอยู่แต่ไม่พลาดในจังหวะสำคัญ ส่วนครึ่งหลังเอาชนะดรอกบาได้แต่ดันทำพลาดจังหวะสำคัญที่เีบียบดรอกบาไม่ดีพอและทำให้เสียประตูที่สอง (ซึ่งลูกนั้นน่าจะต้องชมดรอกบามากกว่าจะโทษสเคอเทล)

แอกเกอร์ - เกมรับดักสกัดและเล่นลูกกลางอากาศได้ดี ครึ่งแรกพาบอลขึ้นมาได้ดีหลายครั้ง แต่โดยรวมแล้วงานของเขาเบากว่าสเคอเทลมาก

จอห์นสัน - เกมรับเล่นได้ดีไม่ค่อยมีปัญหา ส่วนเกมรุกเติมได้ไม่สุด ทำได้แค่ช่วยเชื่อมเกมกลางสนามเท่านั้น วันนี้ครอสบอลเข้าเขตโทษได้ไม่ดีนัก

ดาวนิ่ง - เป็นตัวความหวังในเกมรุก ครึ่งแรกทำอะไรไม่ได้มาก แต่ครึ่งหลังมีส่วนกับเกมเยอะ จังหวะตัวๆ ยังพอกระชากไปเปิดบอลได้ ผลงานพอใช้ได้

เฮนเดอร์สัน - ครึ่งแรกเล่นไม่ได้เลย ไม่สามารถแบ่งเบาภาระในเกมรุกของเจอราดได้ ทำให้เกมรุกในครึ่งแรกทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ ครึ่งหลังลงไปเล่นได้ดีขึ้นเล็กน้อย ออกบอลไปข้างหน้าได้ดีขึ้นและหาโอกาสยิงไกลได้หลายครั้ง...ข้ามคานเรียบ โดยรวมยังไม่น่าประทับใจ

สเปียริ่ง - อ่านเกมได้ไม่ดี โดยพลิกหลบได้ทุกจังหวะที่เข้าไปไล่บอล มีส่วนร่วมกับสองประตูที่เสียไป ช่วยทีมได้น้อยมาก

เจอราร์ด - รับภาระหนักในแดนกลาง ต้องลงมาล้วงบอลต่ำถึงหน้าคู่เซนเตอร์ เกมรุกก็ต้องเป็นคนเปิดเกมจ่ายบอล เกมรับก็ต้องคอยมาซ้อนสเปียริ่งกับเฮนเดอร์สันที่ไล่ใครไม่ค่อยจะจน ทำผลงานส่วนตัวได้น่าพอใจแล้วถ้าเทียบกับภาระที่ต้องแบกไว้

เบลามี่ - ครึ่งแรกไปอยู่ตรงไหนก็เล่นไม่ออก ส่วนครึ่งหลังได้บอลมากขึ้น พาบอลเลี้ยงจี้กดดันแบคได้ดีแต่บอลที่เปิดเข้ากลางส่วนใหญ่ผิดพลาด เป็นวันที่เล่นได้ไม่ค่อยดีนัก

ซัวเรส - ครึ่งแรกหายไปเลย โดยทิ้งให้อยู่คนเดียว เข้าครึ่งหลังมีส่วนกับเกมมากขึ้นและกดดันแนวรับได้ดี ออกบอลให้เพื่อนได้ดีมาก

ตัวสำรอง

คาโรล - ลงมาเปลี่ยนเกมได้สุดยอด เล่นลูกกลางอากาศได้โดดเด่น ทำประตูให้ทีมได้และเกือบจะทำให้ทีมตีเสมอได้ด้วยซ้ำ เป็นวันที่ผลงานส่วนตัวดีมาก

เค้าท์ - ลงมาช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ดูจะแย่กว่าเบลามี่ที่เล่นอยู่ก่อนหน้าด้วยซ้ำ

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ลิเวอร์พูล 0 - 1 ฟูแล่ม



...คืนฟอร์ม...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-5-1

-----------------------คาโรล----------------------

มักซี่---เฮนเดอร์สัน--เชลวี่ย์---สเปียริ่ง---เค้าท์

ออเรลิโอ้-----สเคอเทล-----โคอาเตส----เคลลี่

------------------------โดนี่-----------------------

                ลิเวอร์พูลเล่นเกมลีคเปิดบ้านรับฟูแล่มก่อนไปชิงเอฟเอคัพในช่วงสุดสัปดาห์ ดัลกลิชปรับทีมเยอะ เก็บผู้เล่นสำคัญไว้เกือบยกทีม สิ่งที่น่าสนใจคือออเรลิโอ้ที่กลับมาเป็นตัวจริงได้ รวมไปถึงการประสานงานในแดนกลางของเฮนเดอร์สัน-เชลวี่ย์-สเปียริ่งที่เรียกได้ว่าเป็นชุดบีถัดจาก เจอราด-อดัม-ลูคัส จะทำผลงานออกมาเป็นอย่างไรบ้าง
-------------------------------------------------------

                เกมเริ่มแบบค่อยเป็นค่อยไป ฟูแล่มเล่นไปตามจังหวะ ส่วนลิเวอร์พูลก็ไม่ได้เร่งอะไรมากนัก ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรกันเป็นชิ้นเป็นอัน นาที 5 ฟูแล่มที่พึ่งได้บุกขึ้นมาถึงเขตอันตรายเป็นครั้งแรกก็ได้ประตูนำไปก่อน โดยรีเซ่ครอสบอลจากริมเส้นบอลแฉลบคาลานิคิชก่อนจะเด้งมาโดนหน้าอกสเคอเทลเข้าประตูไปแบบโดนี่ผวากลับมาปัดไม่ทัน 1-0

                หลังเสียประตูลิเวอร์พูลเก่งเร่งเกมมากขึ้น เน้นเจาะตรงกลางเป็นส่วนใหญ่ แต่เกมรุกไปไม่ค่อยถึงเขตโทษ ส่วนฟูแล่มก็ยังเล่นไปตามช่องตามจังหวะ ไม่ได้เร่ง ไม่ได้ไล่ หรือเน้นเกมรับอะไรมากมายนัก

                ถึงครึ่งชั่วโมงของเกม ลิเวอร์พูลเริ่มบุกขยับเข้าใกล้เขตโทษได้มากขึ้นและได้ลุ้นประตูมากขึ้น โดยการทำเกมส่วนใหญ่ที่ได้ผลมาจากบอลโหม่งชงของคาโรล แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถทำประตูได้ ส่วนฟูแล่มก็ไม่ได้ถูกกดดันอยู่ฝ่ายเดียว ยังหาจังหวะทำเกมรุกมาได้ตลอดโดย เกมโดยรวมค่อนข้างสูสี และจบครึ่งแรกที่สกอร์ 1-0

                เข้าครึ่งหลัง ดาวนิ่งได้ลงมาแทนเฮนเดอร์สัน เกมเปิดมากขึ้นกว่าครึ่งแรก ลิเวอร์พูลปรับมาเล่น 4-4-2 ดันเค้าท์ขึ้นไปคู่คาโรล ดาวนิ่งเล่นทางขวา เร่งเกมและไล่บอลกันมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ไล่ไม่ค่อยจะจน ทำให้เกมรุกกดดันได้ไม่ค่อยต่อเนื่อง ส่วนฟูแล่มครองบอลได้น้อยลง, หาโอกาสจบสกอร์ได้น้อย แต่รูปเกมไม่ได้ดูเป็นรองแต่อย่างใด

                นาที 66 เอนริเก้ได้ลงมาแทนออเรลิโอ้ เกมโดยรวมยังไม่เปลี่ยน แต่ดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลจะเริ่มไล่บอลได้ช้าลง นาที 76 สเตอลิ่งได้ลงแทนเค้าท์ โดยดัลกลิชปรับกลับมาเล่น 4-5-1 เหมือนเดิมใช้สเตอลิ่งทางขวา มักซี่หุบเข้ากลาง ดาวนิ่งไปขึ้นทางซ้าย แต่ยังไม่สามารถทำให้เกมดูดีขึ้นได้

                นาที 80 สเตอลิ่งกับดาวนิ่งสลับฝั่งกัน ลิเวอร์พูลยังหาโอกาสลุ้นประตูเป็นระยะแต่ไม่จะแจ้งนัก ตรงกันข้ามกลับเป็นฟูแล่มที่มีโอกาสน้อยกว่าแต่ได้ลุ้นกว่า ช่วงท้ายเกมโคอาเตสถูกดันขึ้นไปเล่นกองหน้า แต่สุดท้ายเสาไฟฟ้าสองต้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ จบเกมฟูแล่มเฉือนเอาชนะลิเวอร์พูลไปได้ 1-0 และเป็นชัยชนะครั้งแรกในเกมลีคในแอนฟิลด์ของฟูแล่มด้วย
-----------------------------------------

                แม้จะเปลี่ยนนักเตะแทบยกทีมแต่ไม่ได้เหนือความคาดหมายมากนักเมื่อนึกถึงเกมนัดชิงเอฟเอคัพที่รออยู่ แทคติคที่ใช้ยังคงเป็น 4-5-1 นักเตะทุกคนได้เล่นในตำแหน่งที่น่าจะถนัดที่สุดแล้ว รวมไปถึงมีความมุ่งมั่งกันดีในระดับหนึ่ง แต่ผลงานโดยรวมออกมาไม่น่าประทับใจเอาเลย แม้จะมองในมุมว่านี่เป็นทีมสำรองหรือเป็นนัดที่ไม่มีความหมายก็ตาม

                สิ่งที่ทำให้เกมวันนี้ออกมาอย่างที่เห็นคือฟอร์มการเล่นของนักเตะลิเวอร์พูลเอง แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่ทีมชุดนี้แทบไม่เคยเป็นตัวจริงพร้อมกันเลย แต่นอกจากการประสานงานแล้ว ฟอร์มส่วนตัวของหลายคนก็ไม่ดีเอามากๆ แผงหลังมีช่วงว่างเบ้อเริ่มระหว่างคู่เซนเตอร์ แผงกลางหยุดเกมคู่ต่อสู้ไม่ได้และทำเกมของตัวเองก็แทบไม่ได้  แผงหน้าขาดความเด็ดขาด แม้จะมีโอกาสยิงเยอะแต่ส่วนใหญ่เป็นจังหวะที่ไม่้ได้ลุ้นอะไรมากนัก เป็นนัดที่แย่ที่สุดอีกนัดหนึ่งในฤดูกาลนี้ของลิเวอร์พูล

                มองทางด้านฟูแล่ม พวกเขาเล่นเหมือนมาปิคนิคที่แอนฟิลด์มากกว่าจะมาเล่นฟุตบอล พวกเขาโชคดีนิดหน่อยกับประตูที่ได้ทำให้หลังจากนั้นเล่นได้ง่าย และแทบไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรอีก เป็น 3 แต้มที่ได้มาค่อนข้างง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าดูไปที่สถิติที่ไม่เคยมาชนะที่นี้(ในลีค)ได้มาก่อน

                ...เฮ่อ...รอดูนัดชิงเอฟเอคัพกันดีกว่า...
 ----------------------------------

นัดนี้โดยรวมแล้วเล่นได้ไม่ดี

โดนี่ - พลาดนิดหน่อยกับประตูที่เสียไปเพราะบอลมันไม่ได้แรงมากนัก น่าจะเซฟหรือใกล้เคียงกับการจะเซฟได้มากกว่านี้ แต่หลังจากนั้นก็เซฟช่วยทีมไว้ได้หลายครั้งทีเดียว เตะเปิดเกมและออกบอลเร็วได้ไม่ค่อยดีนัก

ออเรลิโอ - เล่นได้ดีพอใช้ ในเกมรับมีปัญหากับจังหวะกระชากบอลของคู่ต่อสู้ให้เห็นบ้าง แต่การอ่านทางบอลทำได้ดี ส่วนในเกมรุกเติมไม่มากนักและขึ้นไม่สุดแต่มีการครอสบอลที่แม่นยำดีทีเดียว

สเคอเทล - งานหนักสุดๆ เพราะรับเละอยู่คนเดียว เข้าซ้อนเพื่อนช้าไปหน่อย ตัดสินใจไม่ดีอยู่สองสามจังหวะ โดยรวมยังเล่นพอใช้ได้ค่อนไปทางดี

โคอาเตส - ประกบคู่ต่อสู้ห่างมากและยืนตำแหน่งไม่ดี สิ่งที่ยังดีอยู่คือการเสียบสกัดที่แม่นยำ แต่สุดท้ายแล้วนี่ไม่ใช่วันที่น่าพอใจสำหรับโคอาเตส

เคลลี่ - เล่นไม่ค่อยดีนัก เกมรับมีปัญหาให้เห็นเป็นระยะ ทั้งการปิดลูกครอสและหยุดการเล่นของคู่ต่อสู้ เกมรุกออกบอลได้ไม่ดีเท่าไหร่ โดยรวมไม่ถึงขั้นออกทะเลหรือโดนเผา แต่ไม่ถึงขั้นน่าพอใจแน่ๆ

มักซี่ - มีส่วนร่วมกับเกมเยอะในครึ่งแรก มีโอกาสได้ยิงบ้างแต่ทำไม่สำเร็จ ทำเกมไม่ได้แต่เล่นลูกชิ่งและวิ่งทำทางได้ดี ครึ่งหลังค่อยๆ หายไปจากเกม

เฮนเดอร์สัน - เล่นไม่ออก เกมรับตัดบอลไม่ได้ หยุดเกมคู่ต่อสู้ไม่ได้ ผ่านบอลให้เพื่อนส่วนมากได้แค่ลูกพื้นๆ ไม่ค่อยได้เปรียบ,เอาไปทำเกมรุกต่อเลยไม่ได้

สเปียริ่ง - พอกันกับเฮนเดอร์สัน แต่สเปียริ่งหนักกว่าในเรื่องการผ่านบอลที่เสียง่ายและเสียบ่อย โดนคู่ต่อสู้พลิกหลบไปได้ง่ายมาก ทั้งที่เป็นกลางรับมืออาชีพ

เชลวี่ย์ - ให้บอลพลาดง่ายๆ หลายจังหวะ การตัดสินใจในจังหวะสำคัญทำได้ไม่ดีนัก ยังดีว่ามีจังหวะที่ทำได้ดีให้อยู่บ้างเป็นระยะๆ

เค้าท์ - อนิจจัง วัฎ สังขารา

คาโรล - เล่นลูกกลางอากาศได้ดี พักบอลให้เพื่อนได้เยอะและหลายครั้งเกือบทำให้ได้ประตู เบียดสู้กับเฮนเกลันด์น่าพอใจเข้าขั้นได้เปรียบ แต่จังหวะจบเองยังได้แค่ลุ้น ครึ่งหลังโดยเฉพาะช่วงท้ายๆ เกมพอเพื่อนหันมาบอมบ์อย่างเดียว รวมไปถึงโดยประกบติดล้อมอยู่ 2-3 คนก็เล่นไม่ค่อยออก

ตัวสำรอง

ดาวนิ่ง - ได้บอลไม่มากนัก เล่นได้พื้นๆ ไม่โดดเด่น

เอนริเก้ - เก็บบอลในจังหวะสกัดได้ดี ไม่มีโยนสาดทิ้ง เติมเกมได้เร็ว แต่เปิดบอลวันนี้น้ำหนักผิดทุกลูก

สเตอลิ่ง - มีความเร็วเป็นจุดเด่น แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้เพราะโดนซ้อนสองคนอยู่ตลอด

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.