วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 0 - 2 ลิเวอร์พูล

คลีนชีต...นอกบ้านด้วย
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-4-2

--------------ซัวเรส-------คาโรล----------------
ดาวนิ่ง--------อดัม------ลูคัส------เฮนเดอร์สัน
เอนริเก้---แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน
----------------------เรน่า-----------------------

       ลิเวอร์พูลออกไปเยือนทีมที่กำลังฟอร์มดีอย่าง WBA มีการปรับทีมหลายตำแหน่ง เฮนเดอร์สันได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้งแต่ไม่มีชื่อเจอราดทั้งตัวจริงและ สำรอง ส่วนในแผงหลังแอกเกอร์กับสเคอเทลได้ลงตัวจริงคู่กันเป็นนัดแรก

-------------------------------------------------------

       เริ่มเกมมาแบบค่อนข้างระมัดระวังทั้งสองฝ่าย ลิเวอร์พูลเล่นช้ากว่านัดที่ผ่านๆ มา ส่วน WBA เองก็ไม่เร่งเกม ตั้งเกมของตัวเองไม่ได้ จ่ายบอลพลาดกันไปเองหลายครั้ง เพียงแค่นาที 8 ซัวเรสโดนเบียดตรงบริเวณมุมเขตโทษล้มลงไป ผู้กำกับเส้นโบกธงให้ฟาลว์ กรรมการเลยเป่าให้จุดโทษ อดัมรับหน้าที่ยิงไม่พลาด ลิเวอร์พูลขึ้นนำเร็ว 1-0

       WBA พยายามเ้น้นเกมรุกมากขึ้น แต่ยังไม่มีอะไรนอกจากความพยายาม ส่วนลิเวอร์พูลครองบอลได้น้อยลง หันมาเล่นบอลยาวให้คาโรลพักบอลลงเล่นก็ไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่ เกมส่วนใหญ่ยังสู้กันอยู่ที่กลางสนาม

       เกมค่อนข้างเอื่อย WBA ไม่มีอะไรจะมากดดันลิเวอร์พูลได้เลย กองหน้าโดนประกบติดเล่นไม่ออก กองกลางทำเกมไม่ได้ ทดเวลาเจ็บนาทีแรกยังมาโดนเข้าอีกลูกจากจังหวะโต้กลับ ซัวเรสเปิดบอลเร็วให้คาโรลจิ้มบอลผ่านผู้รักษาประตูไปได้ให้ลิเวอร์พูลนำ ห่างเป็น 2-0 ก่อนจะจบครึ่งแรก

       เข้าครึ่งหลัง  รูปเกมยังคงคล้ายครึ่งแรก แต่ดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลจะเน้นลงไปตั้งรับกันมากขึ้น แล้วอาศัยจังหวะโต้กลับเข้าเล่นงาน WBA ยิ่งเล่น WBA ก็ยิงออกทะเลไปไกลลิบ ส่วนลิเวอร์พูลได้บอลมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ได้เน้นเกมรุกมากนัก ประกอบกับตัวทำเกมอย่าง ซัวเรส,ดาวนิ่ง,เฮนเดอร์สัน เล่นค่อนข้างผิดฟอร์มไปมาก ทำให้เกมส่วนใหญ่ก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันอยู่ตรงกลางสนาม

       นาที 81 เบลามี่ลงแทนซัวเรส และ 10 นาทีสุดท้ายเป็น WBA ได้ครองบอลมากขึ้น บุกเข้าใส่ลิเวอร์พูลได้มากขึ้น แต่บอลจังหวะสุดท้ายอย่าว่าแต่ได้ยิง แค่เปิดบอลเข้าไปให้กดดันยังทำไม่ได้จนจบเกม ทำให้ลิเวอร์พูลชนะไปแบบไม่ยากเย็นนัก 2-0
------------------------------------------

       เกมนี้ค่อนข้างจะจืดชืดไม่น้อย เมื่อเกมส่วนใหญ่ค่อนข้างช้าและมีจังหวะลุ้นประตูไม่มากนัก จุดเปลี่ยนสำคัญของเกมก็คงเป็นลูกจุดโทษตั้งแต่ต้นเกม จังหวะนั้นจะว่าฟาลว์มันก็ฟาลว์ แต่ดูจะโชคดีไม่น้อยที่ได้จุดโทษ เพราะซัวเรสเองก็อยู่ค่อนข้างห่างบอล แถมหันหลังให้ประตูอีกต่างหาก ส่วนกองหลัง WBA ก็แค่บังบอลธรรมดา ไม่ได้เล่นอะไรตุกติกรุนแรง ซึ่งถ้ากรรมการไม่เป่าให้จุดโทษก็ดูไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่

       เหตุผลสำคัญที่ทำให้รูปเกมออกมาเป็นแบบนี้คือการเล่นของ WBA เมื่อแผน A ผิดพลาดไปแล้ว (คือเสียประตูไปก่อน) กลับกลายเป็นว่านอกจากจะไม่มีแผน B แล้วยังไม่มีความมุ่งมั่นอีกด้วย ทั้งตัวผู้เล่นด้วยกันเอง หรือตัวผู้จัดการทีมก็กระตุ้นทีมให้คึกคักไม่ได้ จนต้องแพ้แบบแทบไม่ได้สู้ในที่สุด

       สำหรับลิเวอร์พูล สิ่งที่ทำใด้ดีในวันนี้คือ เกมรับ ไม่ใช่เฉพาะผลลัพธ์ที่สามารถเก็บคลีนชีตได้เท่านั้น แต่นักเตะทุกคนเล่นเกมรับกันได้ดีจริงๆ คู่เซนเตอร์เล่นได้แข็งแกร่ง แบคซ้ายขวาที่เล่นได้ทั้งรุกและรับ รวมไปถึแผงกองกลางที่ลงมาช่วยรับกันตลอดเวลา นับเป็นเรื่องดีสำหรับทีมที่เสียประตูมาทุกนัดในระยะหลังๆ
----------------------------------

วันนี้เล่นกันได้ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง


เรน่า - กลับมาเล่นได้ดีอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นัดนี้ไม่ได้ถูกทดสอบอะไรมากนัก


เอนริเก้ - โดดเด่นทั้งเกมรุกและรับ ในเกมรุก เล่นได้เด่นกว่าปีกอย่างดาวนิ่ง ส่วนเกมรับก็ปิดเกมรุกฝั่งขวาของ WBA ได้สนิท


แอกเกอร์ - สกัดบอลที่ทะลักเข้ามาในเขตโทษได้ดี


สเคอเทล - ไม่เสียฟาลว์ เล่นลูกกลางอากาศได้ดี ประกบกองหน้า WBA ได้อยู่หมัด เป็นวันที่เล่นได้ดีมาก


จอห์นสัน - ดันสูงอยู่ตลอดเกม เติมเกมได้ดีพอใช้ แต่จังหวะเปิดบอลสุดท้ายทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ ส่วนเกมรับวันนี้ทำได้ดี


ดาวนิ่ง - เล่นหลุดฟอร์มไปมาก ครอสบอลพลาดเยอะ เลี้ยงก็ไม่ผ่าน ประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมก็ไม่ค่อยดี


อดัม - วันนี้เล่นเน้นไปทางเกมรับ รัำกษาพื้นที่แดนกลางได้ดี แต่ไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับเกมรุกเท่าไหร่ จังหวะวางบอลสวยๆ ก็ไม่ค่อยมีให้เห็น


ลูคัส - เล่นได้หนักหน่วงดี  ปิดพื้นที่หน้าเขตโทษได้เด็ดขาด


เฮนเดอร์สัน : มีส่วนกับเกมตรงกลางมากขึ้นเพราะมีจอห์นสันเติมสูงในพื้นที่ริมเส้น มีส่วนช่วยในการครองบอลของทีมในแดนกลาง เพราะจ่ายบอลเสียน้อยและจ่ายบอลเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่โดนไล่อยู่ได้ดี แต่การเล่นเกมรุกและการเปิดบอลทำได้ไม่ดีเลย


คาโรล -  เก็บบอลไม่ค่อยอยู่ เชคตำแหน่งล้ำหน้าไม่ค่อยดี ทั้งยังชอบดึงตัวออกมาอยู่นอกเขตโทษ ไม่ค่อยวิ่งทำทางเข้าไปจบสกอร์ในเขต ทำให้หาโอกาสยิงได้น้อยไปนิด แต่ลูกที่สองก็ถือว่ายิงได้ดีทีเดียว


ซัวเรส - มีจังหวะจ่ายบอลเร็วที่ดี ทำให้เพื่อนเล่นง่ายหลายครั้ง แต่หลายจังหวะที่พยายามเล่นเอง ฝืนเล่นยากบ่อยครั้งแล้วไม่ค่อยได้ผล ยิงไม่เข้ากรอบเลยด้วย



เบลามี่ - แทบไม่ได้แตะบอลเลย

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : โฮเซ่ เอนริเก้ ... สเคอเทลนั้นเล่นได้ดีที่สุดตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา แต่ถึงอย่างนั้น เอนริเก้ก็ยังดูดีกว่าเมื่อเด่นทั้งเกมรุกและรับ ทำได้ยอดเยี่ยมเอามากๆ

----------------------------------------------------------------
Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สโต๊ค 1 - 2 ลิเวอร์พูล

สะ...สตาร์วอร์ส สินะ
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-4-2

-------------ซัวเรส-------คาโรล----------------
มักซี่------สเปียริ่ง------ลูคัส------เฮนเดอร์สัน
แอกเกอร์---โคอาเตส----คาราเกอร์----เคลลี่
----------------------เรน่า-----------------------

       ลิเวอร์พูลปรับผู้เล่นหลายตำแหน่ง  นักเตะตัวหลักชุดบอลถ้วยได้ลงกันพร้อมหน้าทั้งโคอาเตส,สเปียริ่ง,มักซี่ มีเซอร์ไพรส์เล็กน้อยเมื่อมีชื่อแอกเกอร์ได้ลงในตำแหน่งแบคซ้าย
------------------------------------------------------

       เริ่มเกมมาก็แทบจะเป็นหนังม้วนเดิมจากภาคแรก ลิเวอร์พูลบุกเข้าใส่ เร่งจังหวะเข้าทำเร็ว ส่วนสโต๊คก็ใช้บอลยาวสาดไปเรื่อยๆ ช่วง 20 นาทีแรกลิเวอร์พูลบุกกดดันได้ดี แบคสองข้างเติมกันขึ้นมาหมด มีโอกาสยิงได้แต่ ซัวเรสยิงพลาดไปเอง
     
       พอผ่าน 20 นาทีไป  สโต๊คเริ่มใช้กับดักล้ำหน้า,การวิ่งไล่เร็วในแดนกลาง และการประกบกองหน้าอย่างเหนียวแน่นปิดเกมของลิเวอร์พูลได้ดี ทำให้ลิเวอร์พูลเริ่มบุกไม่ขึ้น (คุ้นๆ ไหม) นาที 34 สโต๊คโหม่งเข้าประตูไปได้แต่กรรมการเป่าฟาลว์ไปก่อน ด้วยสาเหตุลึกลับ...

       นึกว่ารอดแล้ว แต่นาทีสุดก่อนทดเวลาเจ็บ โคอาเตสบังบอลพลาดแถวริมเส้น โดนซัตตันแย่งไปได้ก่อนจะลากไปสุดเส้นแล้วเปิดกลับเข้ามาให้โจนส์โหม่งเช็ด เข้าไปได้ให้เจ้าบ้านนำ 1-0 และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ดังกล่าว

       เข้าครึ่งหลัง สเคอเทลได้ลงมาแทนคาราเกอร์ สโต๊คเริ่มเกมได้อย่างคึกคักกว่า โยนใส่กดดันลิเวอร์พูลได้ดีกว่าในครึ่งแรก ลิเวอร์พูลได้แต่สกัดไปเรื่อยๆ บอลมาทางไหนไปทางนั้น ตั้งเกมของตัวเองไม่ได้ แต่แล้วในสถานการณ์ที่เป็นรองนั้น นาที 54 ซัีวเรสฉีกไปรับบอลทางริมเส้นซ้าย แตะลอดขากองหลังแล้วปั่นจากมุมเขตโทษเลี้ยวเข้าเสาสองไปอย่างสวยงามให้ทีมตี เสมอได้ 1-1

       หลังจากนั้นเกมเริ่มกลับมาเป็นของลิเวอร์พูลมากขึ้น แต่พอฝั่งสโต๊คเติมค่อยขยับส่งตัวรุกลงสนาม ทั้งแพนแนนท์ในนาที 60และเจอโรมในนาที 64 สโต๊คก็เริ่มตั้งเกมของตัวเองได้มากขึ้น ในขณะที่ลิเวอร์พูลเริ่มเล่นตามเกมของสโต๊คมากขึ้นเช่นกัน แต่ยังสกัดบอลจังหวะสุดท้ายเอาไว้

       นาที 82 เบลามี่ได้ลงแทนมักซี่ แล้วก็เหมือนนำโชคลงมาให้ นาที 85 กองหลังสโต๊คสกัดบอลไม่ขาด บอลไปเข้าทางเฮนเดอร์สัน เบิ้ลโด่งมาเสาสองทันที ซัวเรสยืนอยู่โล่งๆ โหม่งย้อนเข้าเสาแรกให้ทีมนำ 2-1 ได้สำเร็จ

       หลังจากเสียประตู สโต๊คยังคงพยายามโหมบุก นาที 88 สโต๊คส่งเคร้าช์ลงแทนโจนส์ ส่วนลิเวอร์พูลส่งเค้าท์ลงแทนซัวเรสที่เดินกระเผลกออกจากสนาม แล้วนาทีสุดท้ายก่อนทดเจ็บก็เป็นเคร้าช์ที่เกือบนำความซวยมาให้ ในจังหวะที่ได้ดีดบอลจ่อๆ หลุดกรอบไปนิดหน่อย ทำให้ลิเวอร์พูลเบียดเอาชนะสโต๊คไปได้ 2-1
------------------------------------------

 ...เมื่อยคอ...จะโยนอะไรกันนักหนา

       รูปเกมนั้นต้องบอก ว่าสโต๊คเป็นฝ่ายคุมเกมเอาไว้ได้มากกว่า ลิเวอร์พูลเล่นเกมของตัวเองได้แค่ 20 นาทีแรก แต่หลังจากนั้นก็ตั้งเกมของตัวเองไม่ได้เลย จังหวะการเล่นเป็นไปในแบบที่สโต๊คถนัดมากกว่า  แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้ลิเวอร์พูลชนะมาได้ คือตัวผู้เล่นที่ดัลกลิชส่งลงสนามช่วยทำให้ทีมรอดจากการโดนบอบม์ตายคาที่มา ได้ด้วยการส่งเซนเตอร์ถึง 4 แอกเกอร์ โคอาเตส คาราเกอร์ เคลลี่(อดีตเซนเตอร์) เข้าครึ่งหลังยังเปลี่ยนสเคอเทลลงแทนคาราเกอร์ ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร แต่ที่แน่ๆ สเคอเทลลงมาเบียดปะทะเล่นลูกกลางอากาศกับกองหน้าสโต๊คได้ดีกว่าคาราเกอร์

       นอกจากนั้นคาโรลยังลงมาช่วยรับมือในลูกตั้งเตะได้ดีตลอดเกม ไม่น่าจะน้อยกว่า 1 ใน 3 ของการสกัดลูกตั้งเตะ ทั้งลูกทุ่ม เตะมุม ฟรีคิก เป็นคาโรลที่สกัดออกไปได้ ... ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องดีหรือเปล่า แต่เอาเป็นว่ามันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รอดมาได้ก็แล้วกัน

       สำหรับข้อด้อยในวันนี้คงจะเกมรับที่พลาดอีกแล้ว รวมไปถึงจังหวะการเข้าทำ แม้จะทำได้ 2 ประตู แต่ก็ไม่ได้มาจากการประสานงานที่ดีสักเท่าไหร่ ลูกแรกเป็นความสามารถเฉพาะตัว ลูกที่สองมีโชคนิดๆ ที่บอลมันเข้าทางเฮนเดอร์สันพอดี ในวันที่ไม่มีเจอราด ดาวนิ่ง อดัม กองกลางของลิเวอร์พูลดูจะด้อยในเรื่องการสร้างโอกาสทำประตูลงไปถนัดตา

       อาจมีบางคนคิดว่ารูปเกมเป็นยังไงก็ช่าง ชนะได้เป็นพอ แต่วันนี้ถ้าซัวเรสเกิืดยิงไม่เข้ากรอบเหมือน 2 นัดล่าสุดที่เสมอมารวด ลิเวอร์พูลก็แพ้ไปเีรียบร้อยแล้วนะครับ และสำหรับบางคนที่ไม่ชอบเรื่องโชคลาง วันนี้ลิเวอร์พูลโชคดีถึง 3 ชั้น เมื่อลูกที่สโต๊คทำได้ในนาที 34 ถูกเป่าฟาลว์ไปก่อน(หลังเกมอาจจะมีคำตอบว่าทำไม แต่ที่แน่ๆ ในนาทีนั้นถ้ากรรมการไม่เป่าก็คงไม่แปลก) ประตูที่สองในนาที 85 ก็เป็นกองหลังสโต๊คโหม่งชงมาให้เฮนเดอร์สันอย่างเหมาะเจาะ และนาทีสุดท้ายของเกมที่เคร้าช์ยิงพลาดไปนิดเดียวไม่งั้นก็เสมอแล้ว

...รูปเกมกับโชค เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้สำหรับฟุตบอลครับ...
----------------------------------

วันนี้ส่วนใหญ่เล่นกันได้แค่เสมอตัว...ค่อนไปทางไม่ดี

เรน่า - จิตตก หลอน หวาดผวา ตัดบอลพลาดหลายครั้งและเปิดบอลพลาดทั้งเกม ยังดีว่าไม่มีข้อผิดพลาดจนถึงขั้นทำให้ทีมเสียหายหนัก


แอกเกอร์ - เติมเกมรุกสูงมากทำได้ดีในเรื่องนั้น  แต่บางครั้งก็บุกเพลินจนลงไม่ทัน


โคอาเสต - จังหวะบังบอลพลาดแบบไม่น่าให้อภัย แต่นอกจากจังหวะนั้นก็เข้าบอลได้ดี และเล่นลูกกลางอากาศได้ดีด้วย


คาราเกอร์ - เบียดปะทะกองหน้าได้ไม่ดีนัก ยังดีว่าช่วงเวลาที่อยู่ในสนามสโต๊คยังไม่ได้เปิดเกมรุกสักเท่าไหร่


เคลลี่ - เหมือนแอกเกอร์

มักซี่ - ได้ลงสนามนะ กราฟฟิคก่อนเกมขึ้นไม่ผิด


สเปียริ่ง - ทำตัวเกะกะได้ดี มีความหนักและการสกัดที่หนักหน่วงใช้ได้ แต่การขึ้นบอลทำได้ช้าไป


ลูคัส - เหมือนสเปียริ่งแต่เล่นได้ดีกว่า ไม่เปิดโอกาสให้สโต๊คได้เก็บบอลหรือยิงไกลแถวๆ หน้าเขตโทษเลยตลอดเกม


เฮนเดอร์สัน : เป็นกองกลางคนเดียวที่ดูจะพึ่งพาให้เปิดบอลเข้าทำได้มากที่สุดแล้ว แต่โยนไปไหนไม่รู้ตลอดทั้งเกม ยกเว้นจังหวะเดียวที่แม่น คือจังหวะที่ได้ลูกที่สอง


คาโรล -  เก็บบอลได้ดี โหม่งชงและทำชิ่งกับเพื่อนเยี่ยม แต่หาตำแหน่งทำประตูได้น้อยไปหน่อย นัดนี้มีพิเศษใส่ไข่ในการลงมาช่วยเกมรับในจังหวะลูกตั้งเตะได้ดีตลอดเกม


ซัวเรส - แม้จะยิงพลาดไปไม่น้อย แต่ก็ยังทำได้ 2 ประตู ลงมาทำเกมแทนกองกลางอยู่ตลอดด้วย

สเคอเทล - เล่นได้แข็งแกร่งและไม่น่าเชื่อว่าเป็นกองหลังคนเดียวที่ดูจะสกัดบอลแบบมีทิศทางที่สุดของลิเวอร์พูลในนัดนี้

เบลามี่ - มีโอกาสได้ยิงถากเสาหนึ่งครั้ง นอกนั้นก็แทบไม่ได้บอล


เค้าท์ - มีเวลาอยู่ในสนามไม่มาก ไม่ได้ทำอะไร


แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : หลุยส์ ซัวเรส...เบื่อกันรึยัง ชื่อนี้?

----------------------------------------------------------------
Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ลิเวอร์พูล 1 - 1 นอริช ซิตี้


กรอบประตูมันเล็กไปหน่อย
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลกลับมาเล่น 4-4-2

--------------ซัวเรส-------เค้าท์----------------
เบลามี่-------อดัม--------เจอราด-------ดาวนิ่ง
เอนริเก้---สเคอเทล---คาราเกอร์----จอห์นสัน
----------------------เรน่า-----------------------

       ลิเวอร์พูลกลับมาเล่น 4-4-2  แต่มีการปรับบางตำแหน่ง เค้าท์ได้เล่นข้างหน้า ส่วนเบลามี่ได้ลงตัวจริงทางฝั่งซ้าย แล้วโยกเอาดาวนิ่งไปเล่นทางขวา แผงหลังได้จอห์นสันมายืนแบคขวาอีกครั้ง ส่วนนักเตะที่คาดว่าจะได้ลงอย่างเฮนเดอร์สันกับคาโรลได้เริ่มเกมบนม้าันั่งสำรอง
-------------------------------------------------------

       เริ่มเกมมานอริชเน้นเกมรับ รักษาพื้นที่ของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ในจังหวะเกมรุกขึ้นมากันน้อย ส่วนทางลิเวอร์พูลเร่งเกมตั้งแต่ต้นและได้โอกาสกดดันอยู่ตลอด 15 นาทีแรกเป็นเกมของลิเวอร์พูลฝ่ายเดียวแต่จังหวะจบสกอร์ัยังทำได้แค่ชนเสา ชนคาน 

       ผ่าน 15 นาทีไปแล้วนอริชพยายามเล่นให้ช้าลงและหันมาเ้น้นการดักล้ำหน้า จนสามารถลดทอนประสิทธิภาพเกมรุกของลิเวอร์พูลลงไปได้มาก แต่นอริชเองก็ยังไม่กล้าบุกขึ้นมา ทำให้เกมส่วนใหญ่สู้กันอยู่ที่กลางสนาม

       เกมครึ่งแรกทำท่าว่าจะจบแบบไร้ประตู แต่ในช่วงนาทีสุดท้าย เอนริเก้วางบอลยาวให้ซัวเรสโดนทำฟาลว์แต่ผู้ตัดสินให้เป็นลูกได้เปรียบ ทำให้เบลามี่ที่เก็บบอลได้ลากเข้าไปยิงให้ทีมขึ้นนำ 1-0

       เข้าครึ่งหลัง นอริชหันมาเปิดเกมรุกเต็มตัวและทำได้ดี เกมเปิดมากขึ้นเพราะลิเวอร์พูลก็มีพื้นที่เล่นมากขึ้นเช่นเดียวกัน แล้วก็เป็นลิเวอร์พูลที่ยังคงได้ลุ้นมากกว่าแต่ยังทำประตูเพิ่มไม่ได้

       นาที 57 นอริชปรับเกมด้วยการส่ง โฮลท์ ลงมาแทนเบนเนท แล้วหันมาเล่นบอลยาวเน้นการโจมตีด้วยลูกกลางอากาศของโฮลท์ ซึ่งได้ผลทันตาเห็น เพียงแค่ 3 นาทีถัดมาก็สามารถตีเสมอได้จากลูกครอสเข้าไปในเขตโทษแล้วโฮลท์สามารถโฉบโหม่งตัดหน้าคาราเกอร์และเรน่าเข้าไปได้ ทำให้เกมมาเสมอที่ 1-1

       หลังได้ประตูขึ้นนำนอริชแม้จะไม่โหมบุกหนักมากนักแต่ลูกกลางอากาศของโฮลท์ยังกดดันลิเวอร์พูลได้ต่อเนื่อง จนดัลกลิชต้องปรับเกมบ้าง นาที 69 ส่งเฮนเดอร์สันมาแทนเบลามี่ ให้เฮนเดอร์สันเล่นทางขวาแล้วโยกดาวนิ่งมาเล่นทางซ้าย แต่เกมรุกของลิเวอร์พูลยังไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่

       นาที 80 คาโรลได้ลงมาแทนดาวนิ่ง ลิเวอร์พูลเริ่มบุกไม่ค่อยขึ้นและขึ้นบอลเสียไปเองหลายครั้ง ทำให้นอริชพอได้ลุ้นบ้างจากลูกยิงไกลนอกเขตกับการครอสบอลไปลุ้นในเขตโทษแต่กองหลังลิเวอร์พูลยังไม่พลาด

       นาที 91 ดัลกลิชทิ้งไพ่ใบสุดท้ายด้วยการส่งแอกเกอร์ลงมาแทนเค้าท์ ปรับเล่นกองหลังสามคน ดันเอนริเก้ขึ้นไปเล่นปีก สามารถกดดันกองหลังนอริชได้มากขึ้น แต่จังหวะจบสกอร์ยังทำได้แค่เฉียดไปเฉียดมาเหมือนเดิม จบเกมจึงทำได้แค่เสมอกับนอริชไป 0-0
------------------------------------------

       การทำได้แค่เสมอกับนอริชในบ้านย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่ลิเวอร์พูลก็ไม่ได้เล่นแย่อะไร ไม่ว่าจะเป็นแผนการเล่นหรือฟอร์มของนักเตะเองก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว สิ่งที่ลิเวอร์พูลทำได้ดีในนัดนี้คือการทำเกมรุก สามารถขึ้นบอลได้หลากหลาย ใช้พื้นที่เต็มสนาม แบคสองข้างทำงานของตัวเองได้ดี ถ้าจังหวะจบสกอร์บอลมันเป็นใจกว่านี้อีกสักนิด คงชนะขาดไปได้ไม่ยาก

       ส่วนสิ่งที่ดูจะไม่ค่อยดีนักก็คงจะเป็นแดนกลางตรงกลาง เจอราดกับอดัมเล่นเกมรุกร่วมกันได้วูบวาบและเพลินตาดีเหลือเกินในครึ่งแรกที่ผลัดกันวางบอล ผลัดกันเติมได้ดีตลอด แต่พอเข้าครึ่งหลังที่นอริชหันมาบุกสู้มากขึ้น เจอราดกับอดัมปล่อยให้นอริชขึ้นเกมได้ง่ายไปหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิ่งตามแถวสองของนอริชที่เติมขึ้นมารับบอลจากโฮลท์นั้นทำได้ไม่ดีเอามากๆ 

       มองไปที่การเปลี่ยนตัวและการปรับแทคติคของดัลกลิช วันนี้มีเรื่องน่าแปลกใจอยู่อย่างเดียวคือจังหวะที่เปลี่ยนคาโรลลงแล้วถอดดาวนิ่งออก คือคาโรลในนาทีนั้นแ่น่นอนว่าส่งลงไปเพื่อเล่นลูกกลางอากาศและเข้าชาร์จในเขตโทษ แต่ดันเปลี่ยนคนที่ครอสบอลเข้าไปในเขตโทษได้ดีที่สุดในสนามอย่างดาวนิ่งออก นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจมากนัก
----------------------------------

วันนี้ส่วนใหญ่เล่นกันดี

เรน่า - ออกมาตัดบอลพลาดครั้งเดียวเป็นเรื่องเลย นอกนั้นก็ทำได้ีดีตลอดโดยเฉพาะการเซฟลูกโหม่งเผาขนได้ครั้งหนึ่ง

เอนริเก้ - ยังเล่นเกมรับได้ดีอยู่ ส่วนเกมรุกก็เติมขึ้นไปตลอดเพียงแต่วันนี้บอลที่ครอสเข้ากลางไม่ผ่านกองหลังเลย

สเคอเทล - เสียฟาลว์น้อย เล่นลูกกลางอากาศได้ดีพอใช้

คาราเกอร์ - ช้าลงและไม่แข็งแกร่งเหมือนแต่ก่อน ถ้าย้อนไปสัก 2-3 ปี ลูกที่เสียประตู โฮลท์ไม่มีทางเข้าถึงบอลเด็ดขาด

จอห์นสัน - เกมรับทำได้ดี ส่วนเกมรุกมีจังหวะวูบวาบแค่ช่วงต้นเกม หลังจากนั้นก็หายไป 

ดาวนิ่ง - เลี้ยงบอลไม่ผ่านเลย การยิงก็ทำได้ไม่ดี แต่การครอสบอลเข้ากลางนี่ทำไ้ด้ดีสุดๆ บรรจงวางเข้าหัวซัวเรส เค้าท์ เบลามี่ไปคนละลูกสองลูก แต่คนโหม่งทำได้ดีไม่ดีพอกันไปเอง

อดัม - วางบอลได้ดีอยู่ แต่ช่วยเกมรับน้อยเกินไป และยืนสูงเกินไปสำหรับแทคติคแบบนี้ ถ้าเล่น 4-5-1 จะไม่เป็นปัญหาเลย

เจอราด - เล่นได้ดีอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นดูหมดแรงอย่างชัดเจน วิ่งเข้าไปถึงเขตโทษไม่ว่าจะเป็นฝั่งตัวเองหรือฝั่งตรงข้ามไม่ไหว

เบลามี่ : ครึ่งแรกพยายามทำเกมร่วมกับเอนริเก้แต่วันนี้ฝ่าด่านกองหลังไปไม่ค่อยได้ แต่มาทำได้ดีในจังหวะที่เป็นประตู 

เค้าท์ -  เล่นในฐานะหน้าต่ำได้ดีพอใช้ ขาดเพียงแค่ทีเด็ดทีขาดในการจ่ายบอลและยิงประตู...ซึ่งเค้าท์ก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้ว

ซัวเรส - ล้มง่ายไปหน่อย บางจังหวะถ้าฝืนไปอีกสักนิดน่าจะดีกว่า แต่การชิงจังหวะบอลกับกองหลังและการพลิกตัวหาจังหวะยิงถือว่าทำได้สุดยอด เสียดายที่วันนี้ยิงยังไงก็ไม่เข้ากรอบ

เฮนเดอร์สัน - แทบไม่มีบทบาททำอะไร

คาโรล - เกือบได้เป็นฮีโร่ หาโอกาสได้ดีแล้ว โหม่งพลาดไปแค่ไม่กี่ินิ้ว 

แอกเกอร์ - ลงมาเพื่อเปิดโอกาสให้เอนริเก้ได้ขึ้นไปข้างหน้า แค่นั้น

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : กรอบประตู...จะโหม่ง จะยิง จะแฉลบ มันเซฟได้หมด
----------------------------------------------------------------

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ลิเวอร์พูล 1 - 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ชนะคะแนน...

--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลปรับมาเล่น 4-5-1

--------------------ซัวเรส-----------------------
ดาวนิ่ง-----อดัม----เจอราด----ลูคัส-----เค้าท์
เอนริเก้----สเคอเทล----คาราเกอร์-----เคลลี่
----------------------เรน่า-----------------------

          ดัลกลิชปรับมาเล่น 4-5-1 อีกครั้ง โดยดรอปคาโรลเป็นตัวสำรอง แล้วส่งเจอราดที่ฟิตสมบูรณ์ลงมายืนทำเกมกลางสนาม ขนาบข้างด้วยอดัมและลูคัส ในขณะที่แมนฯยูส่งกองกลาง 5 คน มีเซอร์ไพรส์เล็กน้อยด้วยการส่งโจนส์ลงมาเป็นกลางรับร่วมกับเพลชเชอร์แนวรุก คนสำคัญอย่างรูนี่กับนานี่เริ่มเกมบนม้านั่งสำรอง

-------------------------------------------------------

          เริ่มเกมมาเป็นลิเวอร์พูลที่บุกเข้าใส่ทันที เร่งเกมเร็วอยู่ตลอด พาบอลไปประชิดเขตโทษได้บ่อยครั้ง ในขณะที่แมนฯยูใช้บอลยาวและโต้กลับเร็วให้บอลไปที่ยังและเวลเบคเป็นหลัก แต่ไม่มีใครเติมขึ้นมาช่วยมากนักทำให้ยังทำอะไรแนวรับลิเวอร์พูลไม่ได้มาก

          ผ่าน 15 นาทีไปเกมเริ่มช้าลง แต่ลิเวอร์พูลยังบุกกดดันได้เรื่อยๆ บอลจังหวะสุดท้ายยังโดนกองหลังแมนฯ ยูสกัดทิ้งได้หมด นาที 31 ซัวเรสได้โอกาสยิงในเขตโทษก็ไปติดเซฟ เด เคอา ชวดโอกาสขึ้นนำอย่างน่าเสียดาย


          เวลาที่เหลือ เกมสูสีอยู่ในแดนกลางที่เบียดเสียดอัดแน่นกันเป็นปลากระป๋อง ลิเวอร์พูลเจาะไม่ค่อยเข้า ส่วนแมนฯ ยู โต้ไม่ค่อยขึ้น ก่อนจะจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 0-0

          เข้าครึ่งหลัง รูปเกมยังไม่เปลี่ยน โดยเกมส่วนใหญ่เป็นของลิเวอร์พูล ในขณะที่ตัวความหวังของแมนฯยู อย่างยังและเวลเบคเริ่มหายไปจากเกม นาที 57 ดัลกลิชตัดสินใจส่งเฮนเดอร์สันลงมาแทนลูคัสที่โดนใบเหลืองมาในครึ่งแรก และเฮนเดอร์สันได้เล่นตรงกลางสนาม

          ผ่านชั่วโมงแรกของเกมไป แมนฯยู เริ่มหันมาเล่นช้าลง เลิกโยนยาว แล้วเคาะบอลในแดนกลางกันมากขึ้น รวมไปถึงเซอร์อเล็กเตรียมจะส่งรูนี่ย์กับนานี่ลงสนามแต่ยังไม่ทันได้ลงมา นาที 68 อดัมพาบอลเลี้ยงจี้เข้าไปหน้าเขตโทษ โดนเฟอร์ดินานตัดฟาลว์ ก่อนจะเป็นเจอราดยิงฟรีคิกทะลุกำแพงเข้าไปให้ทีมนนำ 1-0

          หลังจากเสียประตู รูนี่ย์กับนานี่ก็ได้ลงมาแทน ยังและพาร์ค ที่วันนี้เล่นไม่ออกทั้งคู่ รูนี่ย์ลงมายืนข้างหลังเวลเบค ส่วนนานี่เล่นริมเส้น ทางฝั่งลิเวอร์พูลเริ่มผ่อนเกมรุกลงไป แต่เกมของแมนฯ ยูก็ยังไม่ได้กระเตื้องขึ้นมามากนัก นาที 76 ชิชาริโต้ได้ลงมาแทนโจนส์อีกคน แล้วหลังจากนั้น 5 นาทีก็เป็นเรื่อง จากลูกเตะมุม เวลเบคได้โหม่งชงจากเสาแรก บอลไปเข้าทางชิชาริโต้ที่วิ่งหนีตัวประกบขึ้นมาโหม่งเข้าไปได้เป็น 1-1

          พอเกมกลับมาเสมอกัน ลิเวอร์พูลหันมาเน้นเกมรุกอีกครั้ง และทำได้ไม่เลว แต่จังหวะสุดท้ายบอลยังไม่เข้ากรอบ ขาดนิดเกินหน่อยอยู่ตลอด ส่วนแมนฯ ยู ก็เ้น้นเกมรับมากขึ้นไปอีก ก่อนจะจบเกมไปด้วยผลเสมอ 1-1

------------------------------------------

          แทคติค 4-5-1 ของดัลกลิชที่ทำให้เกมออกมาเป็นอย่างที่เห็น ลิเวอร์พูลเอาชนะแดนกลางของแมนฯยูได้ (ต้องยกความดีให้แมนฯยูด้วยที่ส่งตัวรับมาเยอะ)  ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ยัง 0-0 ขึ้นนำแล้ว หรือโดนตีเสมอ ลิเวอร์พูลครองเกมไว้ได้หมด ไม่มีช่วงไหนเลยที่แมนฯยู สามารถเปิดเกมรุกได้เป็นชิ้นเป็นอัน หรือครองบอลไว้กับตัวได้นานๆ แต่ได้อย่างก็เสียอย่าง การเล่น 4-5-1 จังหวะที่เปิดบอลเข้าไปในเขตโทษตัวรุกมีน้อยทำให้เข้าไม่ค่อยถึงบอล มีอยู่หลายครั้งที่ถ้ามีกองหน้าอีกคนในกรอบคงจะยิงได้แล้ว

          ที่น่าประทับใจของเกมนี้คือการทำเกมรุก ลิเวอร์พูลขึ้นเกมได้หลากหลายมากและใช้พื้นที่ได้ทั่วสนาม ทางซ้ายเอนริเก้กับดาวนิ่งทำเกมได้ตลอด ตรงกลางทั้งเจอราด อดัมก็สลับกันขึ้นมารุกได้ดี ทางขวาแม้เคลลี่จะแทบไม่ขึ้น แต่เค้าท์กับเจอราดก็เล่นได้อยู่เป็นระยะๆ  โดยรวมแม้จะยังเห็นว่าเจอราดมีอิทธิพลต่อเกมอยู่ไม่น้อย แต่การที่กองกลางทุกคนสามารถทำเกมรุกได้ก็นับเป็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นจากลิ เวอร์พูลนานแล้ว

          ส่วนทางด้านแมนฯยู เซอร์อเล็กนอกจากจะแพคกลางมาแน่น 5 คนแล้ว ยังส่งตัวรับมาซะเต็มทีม แบคขวาใช้คริส สมอลลิ่งก็ตัดเรื่องเติมเกมไปได้ ตรงกลางนอกจากจะใช้โจนส์ขึ้นมาเล่นกลางรับแล้ว ยังมีเพลชเชอร์ และพาร์คทางขวา ในขณะที่กิ๊กก็เล่นเป็นตัววางบอลอย่างเดียว ไม่ได้ทำเกมทะลุทะลวงอะไร กลายเป็นว่าตัวรุกมีแค่เวลเบคกับยังเล่นกันอยู่สองคนเท่านั้น และขึ้นเกมได้แต่เฉพาะทางขวา ซึ่งชัดเจนว่าไม่พอ อย่างไรก็ตาม จากสภาพทีมที่ค่อนข้างมีปัญหาและนักเตะฟอร์มแย่กันหลายคน แต่แมนฯยู ยังสามารถเก็บออกไปได้ 1 แต้ม ต้องขอชมจากใจว่าทำได้ดีมากจริงๆ

----------------------------------

วันนี้เล่นกันดีทุกคน

เรน่า - ไม่มีลูกยากให้เซฟ เป็นแดงเดือดที่งานน้อยแบบไม่น่าเชื่อ


เอนริเก้ - เติมเกมรุกอยู่ตลอด เปิดบอลเข้ากลางได้น่ากลัว มีพลาดโดนตัดบอลอยู่บ้างแต่ก็ไม่เสียหายอะไร


สเคอเทล - โชคดีหน่อยที่แมนฯยู ขึ้นมากันน้อย วันนี้ชิงจังหวะเข้าบอลก่อนถึงกองหน้าได้ดี


คาราเกอร์ - ซ้อนแบคและกองกลางได้ดี แมนฯยู แทบไม่มีโอกาสได้ง้างเท้ายิงหรือเปิดบอลในเขตโทษเลย


เคลลี่ - ไม่ค่อยได้ขึ้นมารุก ส่วนเกมรับสู้กับยังได้ดีกว่าที่คิด


ดาวนิ่ง - ได้บอลน้อยไปหน่อย แต่มีจังหวะครอสบอลสวยๆ หลายครั้ง


ลูคัส - กองกลางแมนฯ ยู ทำเกมรุกกันไม่ค่อยออกทำให้ลูคัสสบายไปด้วย ครึ่งแรกเล่นได้ดีพอใช้ แต่ครึ่งหลังโดนเปลี่ยนออกเพราะดัลกลิช " จะเอา "


อดัม - ได้เล่นสูงขึ้นค่อยดูเป็นตัวของตัวเองหน่อย เล่นกับเจอราดได้อย่างน่าดูทีเดียว


เจอราด - บางจังหวะก็เร่งมากเกินไปจนเสียบอล แต่โดยรวมแล้วคุมจังหวะเปลี่ยนรับเป็นรุกได้ดีเหมือนเดิม


เค้าท์ : เล่นได้เสมอตัว ไม่แย่ไม่เด่น จังหวะ 3 หลาวันนี้ยิงติดหมด


ซัวเรส -  เล่นได้ดีมากโดยเฉพาะจังหวะเก็บบอลไว้กับตัว เรียกฟาลว์ได้บ่อย แต่โดนประกบจนแทบไม่มีจังหวะได้ยิงเลย


เฮนเดอร์สัน - มาเด่นเอาตอนช่วงท้ายเกมที่มีโอกาสยิง 1 โหม่ง 1 แต่พลาดไปหมด


แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : หลุยส์ ซัวเรส แม้เจอราดจะเป็นคนทำประตู แต่หลุยส์ ซัวเรส โดยเฉพาะใน 1 ชั่วโมงแรกของเกมเก็บบอลได้ดีมากทำให้ลิเวอร์พูลได้ครองบอลอย่างต่อเนื่อง

----------------------------------------------------------------

ป.ล. บอลลีคนัดหน้าเจอนอริช...โลกที่ไร้ลูคัส (โดนแบน)

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เดาก่อนเกม : ลิเวอร์พูล - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


                นัดนี้เป็นแดงเดือดที่ลิเวอร์พูลจะได้เล่นในบ้านก่อน  การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทีมแมนฯยู ทำให้ผมกระอักกระอ่วนไม่น้อย  และเท่าที่จะรวมรวมและกัดฟันวิเคราะห์ออกมาได้ ต้องบอกว่าแมนฯยู ตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก กองหน้าตัวหลักยังมีปัญหาอยู่คนละอย่างสองอย่าง ส่วนกองกลางยังแข็งแกร่งและปรับเปลี่ยนเกมได้หลากหลาย ส่วนกองหลังดูจะมีปัญหาอยู่บ้าง โดยเฉพาะคู่เซ็นเตอร์ที่ไม่แข็งแกร่งเหมือนฤดูกาลก่อน..แต่ไม่ได้ถึงขั้นอ่อนยวบ

พูดถึงแมนฯยู 1 ย่อหน้าก็รู้สึกว่าเยอะไปแล้ว มาพูดถึงเกมนัดนี้ดีกว่า ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวตัดสินเกมมีอยู่ด้วย 3 สิ่งด้วยกัน ได้แก่

แทคติค – จะ 4-5-1 หรือ 4-4-2  แน่นอนว่าในฤดูกาลนี้ดัลกลิชจัดทีมเน้นมาทาง 4-4-2 และชัดเจนว่านี่จะเป็นแทคติคหลักของทีมของเขา แต่จากผลงานในฤดูกาลนี้ที่ผ่านมาโดยเฉพาะในลีค แทคติค 4-4-2 ส่งผลให้ลิเวอร์พูลยังไม่สามารถได้เปรียบในเกมแดนกลางได้อย่างที่ควรจะเป็น ถ้าดัลกลิชเลือก 4-5-1 คาดว่าเกมแดนกลางจะได้เปรียบ...หรืออย่างน้อยไม่เสียเปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเติมเค้าท์หรือจะให้ดีเพิ่มสเปียริ่งเข้าไปด้วยน่าจะทำให้ลิเวอร์พูลสามารถปิดเกมรุกของแมนฯยูได้และครองบอลได้มากกว่า แต่โอกาสในการเข้าทำในพื้นที่สุดท้ายอาจจะน้อยลง ถ้าดัลกลิชเลือก 4-4-2 ซึ่งหลายคนคิดว่าเขาจะเลือก แดนกลางอาจจะครองบอลได้น้อยลงและทำเกมรุกได้ไม่มาก แต่เมื่อบอลหลุดไปถึงคู่กองหน้าหรือบริเวณหน้าเขตโทษแล้วน่าจะกดดันแผงหลังที่ตอนนี้ไม่แข็งแกร่งมากนักของแมนฯยูได้มากกว่า 4-5-1
โดยสรุปแล้ว ผมคิดว่าถ้าเลือก 4-4-2 เกมนี้ไม่น่าจบเสมอ ถ้าเลือก 4-5-1 เกมนี้ไม่น่าแพ้

                คาราเกอร์  สิ่งที่น่ากังวลที่สุดในเกมรับของลิเวอร์พูลคือตำแหน่งแบคขวา ไล่ตั้งแต่จอห์นสัน – เคลลี่ – ฟลานาแกน – สเคอเทล – คาราเกอร์ แต่ละคนก็มีความน่าหวาดผวาในเกมรับเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น จอห์นสันกับเคลลี่ถ้าอยู่ในช่วงร่างกายฟิตสมบูรณ์ก็แล้วไป แต่ฤดูนี้ก็ยังไม่เห็นว่าฟิตเต็มร้อยเลย ส่วนฟลานาแกนมีปัญหาเรื่องประสบการณ์ สเคอเทลดูจะมีภาษาดีที่สุดถ้าดูจากสภาพร่างกายแต่ฟอร์มนัดที่เจอสเปอร์ก็ยังชวนหลอนอยู่ ในขณะที่คาราเกอร์นั้นขาดความเร็วเอามากๆ ดังนั้น ผมค่อนข้างมั่นใจว่าดัลกลิชจะไม่ให้คาราเกอร์ลงในตำแหน่งแบคขวา เพราะนั่นหมายถึงการส่งโคอาเตสที่ยังไม่ได้เล่นให้ทีมมากนักต้องลงมาเจองานหนัก และผมคิดว่าไม่ว่าใครจะลงแบคขวาก็ต้อง “หลุด” แน่นอน จะมากจะน้อยก็ว่ากันไป แต่หลังจากหลุดมาแล้วจะเป็นหน้าที่ของคาราเกอร์ที่ปรกติแล้วยืนเซนเตอร์ฝั่งขวาจะทำได้ดีขนาดไหน ทั้งการวิ่งซ้อนเข้ามาและการสกัดบอลที่เปิดจากริมเส้น มีหลายนัดที่คาราเกอร์ทำหน้าที่นี้ได้ดีและคงต้องหวังให้วันนั้นเขาทำได้อีกครั้ง
                ถ้าคาราเกอร์ทำได้ดี ลิเวอร์พูลชนะแน่นอน เพราะเกมรุกลิเวอร์พูลตอนนี้น่าจะเจาะแนวรับแมนฯยูตอนนี้ได้อย่างน้อย 1 ลูก แต่ถ้าคาราเกอร์ออกลูกเหวออีก ลิเวอร์พูลยิงได้สัก 2 ลูกก็อาจจะแพ้อยู่ดี

ลูคัส  นัดนี้เขายืนอยู่บนทางแยกระหว่างแพะกับฮีโร่ ชะตาชีวิตครึ่งหนึ่งของเขาอยู่ในมือของดัลกลิช ถ้าดัลกลิชเลือกใช้ 4-5-1 ชีวิตของลูคัสจะง่ายขึ้นแต่ถ้าเป็น 4-4-2 มันจะกลายเป็นตรงกันข้ามทันที แต่ไม่ว่าจะเล่นแทคติคไหน ลูคัสคือคนที่กำหนด “รูปเกม” (ไม่ใช่ผลแพ้ชนะนะครับ) ในนัดนี้ ลูคัสจำเป็นต้องเล่นได้ดีกว่าทุกนัดที่เล่นมาในฤดูกาลนี้ หน้าที่สำคัญที่สุดคือต้องปิดพื้นที่บริเวณหน้าเขตโทษให้ดี ถ้าปล่อยให้แดนกลางของแมนฯยูได้ยิง หรือเงยหน้าก่อนจ่ายบอลเข้าไปในเขตโทษได้ง่ายๆ ลิเวอร์พูลคงมีสภาพไม่ได้ต่างไปจากนัดที่เจอสเปอร์มากนัก แต่ถ้าลูคัสทำงานของเขาได้ดี บีบให้บอลของแมนฯยูต้องออกไปเล่นด้านข้างได้บ่อยๆ หรือเสียบอลในแดนกลาง จะทำให้เกมเป็นของลิเวอร์พูลทันที
ถ้าลูคัสทำได้ดี ลิเวอร์พูลจะเล่นแบบเหนือกว่า แต่ถ้าลูคัสทำไม่ได้ ลิเวอร์พูลจะเล่นแบบรอโดน

...เหนือสิ่งอื่นใด โชคชะตาและนกหวีดของกรรมการเปลี่ยนเกมได้เสมอครับ...

ป.ล. โพสเอาเพลินๆ ครับ พอดีว่าจะโพสใน FB อยู่แล้ว หลังจากจบนัดนี้แล้วหลายท่านคงเข้าใจว่าทำไมผมถึงเลือกทำ "เก่งหลังเกม" มากกว่า...ที่คิดก่อนเกมน่ะไม่ค่อยจะถูกหรอ

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เอฟเวอร์ตัน 0 - 2 ลิเวอร์พูล

ผู้ตัดสินชนะ....
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-4-2

--------------คาโรล------ซัวเรส---------------
ดาวนิ่ง--------อดัม---------ลูคัส---------เค้าท์
เอนริเก้----สเคอเทล-----คาราเกอร์-----เคลลี่
---------------------เรน่า-----------------------

          เมอซี่ไซด์ดาร์บี้แมทช์ โดยลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายไปเยือน ดัลกลิชเปลี่ยนนักเตะแค่คนเดียวจากนัดก่อน โดยให้เค้าท์ได้ลงเป็นตัวจริงแทนเฮนเดอร์สัน ส่วนทางด้านเอฟเวอร์ตันส่งซาฮาลงเป็นตัวจริงเป็นครั้งแรกของฤดูกาล

-------------------------------------------------------

          เริ่มเกมมาทั้งสองฝั่งวิ่งไล่บี้ใส่กันทันที โดยลิเวอร์พูลขึ้นเกมทางซ้ายด้วยการทำเกมของเอนริเก้กับดาวนิ่ง ส่วนทางเอฟเวอร์ตันใช้บอลยาวให้กองหน้าพักบอล เกมเร็วและเปิดแลกกันในช่วง 15 นาทีแรก มีโอกาสกันคนละสองสามครั้งแต่ยังไม่เป็นประตู

          ผ่าน 15 นาทีแรกของเกมไป เกมเริ่มผ่อนลง แต่เกิดจุดเปลี่ยนของเกมในนาที 23 แจ็ค รอดเวลเข้าเสียบซัวเรส กรรมการชักใบแดงให้ทันที เอฟเวอร์ตันที่ตัวน้อยกว่าถูกถอยให้ไปตั้งรับอยู่หน้าเขตโทษตัวเอง ในขณะที่ลิเวอร์พูลครองบอลได้มากขึ้นและได้บุกเข้าไปใกล้เขตโทษมากขึ้น แต่จังหวะสุดท้ายยังถูกบีบให้โยนจากริมเส้นเสียเป็นส่วนใหญ่และยังทำอะไรไม่ ได้

          นาที 43 เอฟเวอร์ตันยังมาพลาดอีก จากีลก้าเข้าสกัดซัวเรสแต่ไม่โดนบอล เสียจุดโทษ แต่เค้าท์ที่เคยยิงจุดโทษได้ดีมาตลอดกลับยิงได้ไม่ดีพอ โดนฮาเวิร์ดเซฟได้ ช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้าย อดัมได้ยิงไกลแต่ก็ชนคานไปอีก ทำให้จบครึ่งแรก เกมยังอยู่ที่ 0-0

          เข้าครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลปรับเกมด้วยการหันมาเล่นเ้น้นครองบอล ส่วนทางเอฟเวอร์ตันลงไปตั้งรับต่ำ เน้นสกัดจังหวะเดียวให้ขาด โต้ด้วยบอลยาวและไม่ครองบอล นาที 50 ลูคัสไปเสียบซาฮาโดนใบเหลือง หลังจากนั้นเป็นเอฟเวอร์ตันที่ำทำได้ดีกว่าและหาโอกาสจบสกอร์จากลูกยิงไกล ได้บ้าง ส่วนลิเวอร์พูลขึ้นเกมช้าเกินไปและเริ่มบุกไม่ขึ้น

          ดัลกลิชตัดสินใจเปลี่ยนเกมในนาที 67 เปลี่ยนเจอราดกับเบลามี่ลงมาแทนอดัมและดาวนิ่ง ซึ่งส่งผลให้เกมรุกของลิเวอร์พูลเร็วขึ้นกว่าเดิม และใน 4 นาทีถัดมาก็ทำได้สำเร็จ เบลามี่พาบอลขึ้นทางด้านซ้าย ไหลบอลให้เอนริเก้ที่เติมขึ้นมา หักบอลเข้ากลาง เค้าท์ก้มหลบ ทำให้บอลไปเข้าทางคาโรลเอี้ยวตัววอยเล่ย์เข้าไปได้สำเร็จ 1-0

          หลังจากได้ประตูขึ้นนำ ลิเวอร์พูลเล่นเน้นครองบอลมากขึ้น และถอยกันลงไปตั้งรับค่อนข้างต่ำ หันมาใช้บอลยาวในการเล่นโต้กลับ เข้า 10 นาทีสุดท้าย เอฟเวอร์ตันส่งกองหน้าลงมาเพิ่มพยายามจะทำเกมรุกสู้ และหาโอกาสจบสกอร์ได้บ้างแต่ยังทำได้ดีไม่ดีพอ นาที 82 ยังมาโดนเข้าอีกลูก เมื่้อซัวเรสกระชากบอลเข้าไปในเขตโทษ เบห์นกับดิสแตงบังบอลกั๊กกันไปเอง จังหวะสุดท้ายเป็นดิสแดงที่สกัดบอลไปติดอกซัวเรส ทำให้ซัวเรสได้บอลยิงจ่อๆ เข้าไปเป็น 2-0

          หลังจากนั้นเกมก็ขาด ช่วงท้ายเกมนาที 88 เฮนเดอร์สันได้ลงมาแทนลูคัส ก่อนจะจบเกมไปด้วยสกอร์ 2-0
------------------------------------------

          การที่ดัลกลิชตัดสินใจส่งเค้าท์เป็นตัวจริงแทนเฮนเดอร์สัน ส่งผลต่อเกมโดยรวมของลิเวอร์พูลวันนี้มาก การวิ่งไล่ของเค้าท์ช่วยกดดันแผงกองหลังเอฟเวอร์ตันจนหลายจังหวะเกือบเป็น ประตู และหลายครั้งทำให้เอฟเวอร์ตันไม่สามารถครองบอลต่อได้ ในเกมรับก็ช่วยแบ่งเบาภาระของคู่กลาง อดัม-ลูคัส ที่วันนี้เล่นเกมรับได้ไม่ค่อยดีได้ด้วย

          แต่สิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเกมในวันนี้คงหนีไม่พ้นกรรมการ การที่เอฟเวอร์ตันต้องเหลือ 10 คนตั้งแต่นาที 23 ทำให้งานของลิเวอร์พูลง่ายขึ้นมาก จังหวะนั้นแม้ รอดเวล จะเข้าบอลค่อนข้างดุ แต่ก็เข้าได้แม่นยำและโดนบอล ไม่น่าจะถึงขั้นใบแดง ซึ่งการตัดสินจังหวะนั้นทำให้เอฟเวอร์ตันตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง ตั้งแต่ต้นยันจบเกม

          นอกจากเรื่องใบแดงแล้ว การเปลี่ยนตัวของทั้งสองฝั่งก็ส่งกับเกมมาก ทางฝั่งลิเวอร์พูล ทั้งเจอราดและเบลามี่ลงมาแล้วทำให้เกมรุกดูวูบวาบมากขึ้นทันตาเห็น เบลามี่ลงมาขับเคลื่อนเกมรุกริมเส้นฝั่งซ้ายแทนดาวนิ่งที่เริ่มเล่นหมดมุข ในขณะที่เจอราดช่วยเร่งจังหวะเกมให้เร็วขึ้นมาได้ แต่มองไปยังฝั่งเอฟเวอร์ตัน ตัวสำรองของพวกเขานอกจากจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้นแล้วยังทำให้แย่ลงไปอีก โดยเฉพาะการเปลี่ยนเดรนเธ่ลงมาแทนโคลแมน โคลแมนแม้จะไม่สามารถผ่านแบคลิเวอร์พูลได้เลย แต่ยังพอจะทำเกมขึ้นไปถึงเขตโทษได้ แต่เดรนเธ่ที่ได้ลงมาแทนแม้จะไปกับบอลได้ดีแต่ไม่ค่อยประสานงานกับเพื่อน ร่วมทีมทำให้เกมโต้ของเอฟเวอร์ตันชะงักลงไป

          เรื่องที่น่าห่วงสำหรับลิเวอร์พูลมีสองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรกก็ยังคงเป็นเรื่องของคู่กลาง อดัม-ลูคัส ที่ดูจะมีปัญหาทั้งเกมรุกเกมรับและดูไม่ออกว่าจะแก้ไขยังไง เกมนี้ทั้งๆ ที่มีผู้เล่นมากกว่า แต่พื้นที่หน้าเขตโทษว่างโล่งปล่อยให้เอฟเวอร์ตันได้ล่อเป้าแถวๆ นั้นหลายครั้ง ส่วนในเกมรุกมีหลายครั้งที่ควรจะมีคนพุ่งเข้าไปเติมในเขตโทษแต่ลูคัสกับอดัม ไม่ค่อยเล่นในจังหวะแบบนี้เลย หนทางแก้มีอยู่แค่ 2 ทางคือใช้คู่นี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วหวังให้จูนกันติดและสลับหน้าที่ขึ้น-ลงกันได้ลงตัว หรือไม่ก็เปลี่ยนไปใช้คู่กลางคู่ือื่น โดยมีเจอราด-สเปียริ่ง-เฮนเดอร์สัน เป็นตัวเลือก  ต้องรอดูกันต่อไปว่าดัลกลิชจะตัดสินใจเลือกทางไหน?

          ส่วนเรื่องที่สอง คือการเปลี่ยนจังหวะจากรับเป็นรุกที่ยังทำกันได้ค่อนข้างช้า กว่าจะตั้งหลักกันได้คู่ต่อสู้ลงไปแพคเกมกันได้หมดแล้ว ถ้ามีเจอราดคงไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่ในสถานการณ์ที่เจอราดจะเล่น 90 นาทีทุกๆ สัปดาห์ไม่ค่อยจะไหวแบบนี้ อาจจะต้องมีคนมาคุมจังหวะเกมตรงนี้แทนบ้าง ซึ่งตอนนี้ยังไม่เห็นว่าใครจะทำได้

          ส่วนเรื่องที่ดีมาก นั่นก็คือเรื่องที่ทุกคนรออยู่ คู่ศูนย์หน้าทั้ง คาโรลและซัวเรส เริ่มทำสกอร์ได้แล้ว ในรายของคาโรลถือว่าเป็นการนับ 1 ในลีค ลดความกดดันลงไปได้มาก ส่วนซัวเรสถือว่าทำสกอร์และมีส่วนร่วมกับประตูของลิเวอร์พูลได้อย่างต่อ เนื่อง ซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับแทคติค 4-4-2 ที่กองหน้าต้องเล่นให้ออก มีจังหวะต้องยิงให้ได้ หวังว่าทั้งคู่จะสามารถรักษาระดับและพัฒนาฟอร์มของตัวเองขึ้นไปได้เรื่อยๆ
----------------------------------

วันนี้เล่นกันค่อนข้างน่าพอใจ

เรน่า - บอลที่ยิงเข้ากรอบ เรน่ารับได้ไม่มีกระฉอก วันนี้ขึ้นเกมเร็วได้ดีมากๆ


เอนริเก้ - เจอปีกดาวรุ่ง เอนริเก้จัดการได้สบาย เติมเกมรุกไ้ด้น่าพอใจตลอดเกมด้วย


สเคอเทล - แย่งจังหวะโหม่งได้ดี ไม่เสียฟาลว์ด้วย


คาราเกอร์ - กองหน้าเอฟเวอร์ตันมาทีละคน ช่วยกันรุมกินโต๊ะกับสเคอเทลสบายไป


เคลลี่ - เกมรับทำผลงานใช้ได้ แต่ในเกมที่ได้เปรียบตัวผู้เล่น น่าจะหาโอกาสเติมได้ดีกว่านี้


ดาวนิ่ง - ช่วงต้นเกมทำได้ดีมาก แต่เล่นไปเล่นมาค่อยๆ จางหายไป


ลูคัส - มีช่วงที่เล่นได้ดีคือตอนต้นเกมกับท้ายเกม แต่หลังจากโดนใบเหลือง (นาที 50) จนถึงก่อนที่ทีมจะได้ประตูที่สอง (นาที 82) เล่นแบบกลัวโดนใบเหลืองมากไป ปล่อยให้เอฟเวอร์ตันเล่นกันได้สบายในจังหวะโต้กลับ


อดัม - ปักหลักอยู่ใกล้วงกลมกลางสนามมากเกินไป เกมรับก็ไม่ค่อยจะลงไปช่วยลูคัส เกมรุกก็เติมขึ้นไปไม่สุด น่าจะเคลื่อนทีไ่ด้ดีกว่านี้


เค้าท์ : ไม่บ่อยนักที่เค้าท์จะพลาดจุดโทษ แต่ในเกมก็เล่นได้ดี (ยกเว้นการเปิดบอล) จังหวะประตูแรกที่ก้มหลบก็ต้องชมว่าทำได้ดีจริงๆ


ซัวเรส -  ครึ่งแรกเป็นตัวทำเกมของทีม แต่ครึ่งหายไปจากเกมเลย โผล่มาอีกทีก็คือตอนทำประตูที่สอง


คาโรล - เห็นว่ามีความมุ่งมั่นตั้งใจ แม้โดยรวมแล้วยังเล่นได้ไม่ดี โหม่งชงไม่ค่อยตรงเพื่อน จ่ายบอลน้ำหนักก็พลาดเยอะ แต่จังหวะที่ยิงได้ก็ถือว่ายิงได้ดี


เจอราด - ออกบอลจังหวะเกมรุกได้เร็วกว่าลูคัสและอดัม แต่จะว่าไปก็ไม่ทันได้อะไรมากนักทีมก็ออกนำไปเสียก่อน


เบลามี่ - ลงมาทำให้เกมทางซ้ายกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง หลังจากเริ่มวูบดับไปตอนช่วงต้นครึ่งแรก มีส่วนร่วมกับประตูแรกด้วย


แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : มาร์ติน แอทคินสัน... พูดแบบยุติธรรมหน่อยก็ต้องบอกว่า ถ้าไม่นับจังหวะใบแดง เจ้าตัวก็เป่าได้เนียนดีทุกจังหวะนั่นแหล่ะ แต่ใบแดงใบนั้นมันก็เปลี่ยนเกมสุดๆ เลย

----------------------------------------------------------------
Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.