วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

ลิเวอร์พูล 2 - 2 แมนเชสเตอร์ ซิตี้






...เวมบลี่ย์...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-5-1

-----------------------เบลามี่----------------------

ดาวนิ่ง---อดัม---เจอราด---เฮนเดอร์สัน---เค้าท์

เอนริเก้----แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน

------------------------เรน่า-----------------------

               ลิเวอร์พูลลงเตะเกมคาร์ลิ่งคัพนัดรองชนะเลิศนัดที่สอง ดัลกลิชเลือกใช้หน้าเป้าคนเดียวคือเบลามี่ อัดแผงกลางมา 5 คนโดยมีดาวนิ่งยืนทางซ้ายและเค้าท์ทางขวา ส่วนแผงหลังยังใช้ชุดเดิม ทางฝั่งซิตี้ใช้เซโก้ยืนข้างหน้าคนเดียว กุนเป็นแค่ตัวสำรอง ยังไม่มีบาโลเตลี่, คอมพานีแบนที่ติดโทษแบน รวมไปถึงสองพี่น้องตูเร่ที่ไปแอฟริกัน เนชั่นคัพ แต่ยังมีตัวทำเกมอย่างซิลบาและนาสรี่ได้ลงเป็นตัวจริง
-------------------------------------------------------

               เริ่มเกมเป็นลิเวอร์พูลที่วิ่งไล่เร็ว บีบสูงตั้งแต่แดนหน้า ส่วนซิตี้เล่นสั้นเคาะบอลตามจังหวะ ไม่ได้เร่งเกมเข้าใส่ ดันกองหลังค่อนข้างสูงเพื่อขึ้นมาเชื่อมเกมกับกองกลาง ต้นเกมซิตี้ได้ครองบอลมากกว่าเล็กน้อยแต่ส่วนใหญ่เคาะกันอยู่ในแดนตัวเองกับกลางสนาม กลับเป็นลิเวอร์พูลวิ่งบีบได้ผล ตัดบอลตรงกลางสนามได้เป็นระยะและมีโอกาสได้สวนกลับขึ้นไปเร็วหาโอกาสลุ้นจบสกอร์ได้บ้าง แต่ยังทำไม่สำเร็จ

               ผ่าน 25 นาทีแรกของเกม ลิเวอร์พูลเริ่มเห็นช่องโจมตีที่ซาวิช ทุกครั้งที่เห็นเลสคอตยืนห่างออกไป เหลือแค่เบลามี่กับซาวิชยืนประกบกันอยู่ ทุกคนจะพร้อมใจกันวางยาวให้เบลามี่ไปดวลกับซาวิชซึ่งค่อนข้างได้ผล แม้ส่วนใหญ่ซาวิชจะสกัดได้แต่ก็โหม่งผิดเหลี่ยมบ้าง เก็บบอลไม่ได้บ้าง ทำให้เกมรุกลิเวอร์พูลกดดันซิตี้ได้มากขึ้น แต่แล้วกลับกลายเป็นซิตี้ที่ได้ประตูขึ้นนำก่อน นาที 31 ซิลบาล็อคหลบเจอราดก่อนไหลให้เด ยองยิงไกล บอลโค้งหนีมือเรน่าเข้าไปได้ 1-0

               หลังจากเสียประตู ลิเวอร์พูลโหมเกมรุกทันทีและทำได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเกมทางฝั่งซ้ายที่มีดาวนิ่งกับเอนริเก้ประสานงานกันอยู่ กดดันอยู่นานจนในที่สุดก็มาได้จุดโทษในนาที 40 จากจังหวะที่แอกเกอร์ยิงไปติดมือกองหลัง เจอราดรับหน้าที่ยิงจุดโทษไม่พลาด 1-1

               ตีเสมอได้แล้วลิเวอร์พูลยังไม่เพลาเกมรุก ยังคงบุกใส่ซิตี้ต่อแต่ทำประตูเพิ่มไม่ได้ จบครึ่งแรกเสมอกันอยู่ที่ 1-1

               เข้าครึ่งหลัง มันชินี่ส่งกุนลงมาแทนจุดอ่อนอย่างซาวิช แต่รูปเกมยังเหมือนครึ่งแรก ลิเวอร์พูลยังคงวิ่งไล่บีบเร็วตั้งแต่แดนหน้า โดยเฉพาะเบลามี่กับเค้าท์ที่วิ่งทุกจังหวะ ทำให้ซิตี้ขึ้นบอลได้ช้าและกดดันแนวรับลิเวอร์พูลไม่ได้มากนัก และเป็นลิเวอร์พูลที่หาโอกาสได้มากกว่า ได้ลุ้นนำห่างอีก 2-3 ครั้งแต่ฮาร์ทเซฟไว้ได้ดีอย่างเหลือเชื่อ

               ผ่าน 1 ชั่วโมงของเกมไป ซิตี้เริ่มกลับมาครองบอลได้ต่อเนื่องอีกครั้ง ส่วนลิเวอร์พูลก็ถอยลงไปรับมากขึ้นเล็กน้อย แม้ลิเวอร์พูลจะเล่นเกมรับได้ดีจนซิตี้หาโอกาสจบสกอร์ได้น้อยมากๆ แต่พอมีโอกาสซิตี้ก็ไม่พลาด นาที 67 โคราลอฟได้ครอสบอลจากริมฝั่งซ้าย เซโก้ชาร์จบอลที่เสาสองเข้าไปให้ซิตี้นำอีกครั้ง 2-1

               หลังจากทำประตูขึ้นนำได้แล้ว เกมยังคงเป็นของซิตี้เป็นส่วนใหญ่ ทางลิเวอร์พูลแผงกลางเริ่มหันมาปิดพื้นที่มากขึ้น เกมเริ่มจะเทไปทางฝั่งซิตี้ แต่ในนาที 74 จากจังหวะทุ่มและทำเร็วของลิเวอร์พูล เค้าท์ลากตัดเข้ากลางส่งบอลให้เบลามี่ชิ่งกับจอห์นสันและจังหวะสุดท้ายเป็นเบลามี่ที่ได้ยิงโล่งๆ แถวจุดโทษให้ทีมตีเสมอได้สำเร็จ 2-2

               นาที 78 อดัม จอห์นสันได้ลงมาแทนเด ยอง ซิตี้เปิดเกมรุกเต็มที่ ลิเวอร์พูลถอยลงไปรับกัน 10 คน ทิ้งเบลามี่ไว้คนเดียวเน้นเกมรับเต็มตัวและยังยันเกมรุกของซิตี้ได้ดี นาที 88 ดัลกลิชส่งเคลลี่ลงมาแทนเบลามี่แล้วให้เคลลี่ลงไปเล่นเซนเตอร์อีกคน และนาที 91 คาโรลลงแทนเค้าท์ ซิตี้พยายามเจาะเข้ามาทุกทางแต่แผงกลางหาช่องยิงไกลไม่ได้, แทงบอลไม่ทะลุ ลูกโ่ด่งทั้งจากกลางสนามและริมเส้นโดนดักไว้ได้หมด ทำให้จบเกมเสมอ 2-2 ลิเวอร์พูลผ่านเข้าไปชิงกับคาร์ดิฟที่เข้าไปรออยู่ก่อนแล้วได้สำเร็จ
------------------------------------------

               ดัลกลิชไม่ได้ทำอะไรพิสดาร เลือกกลางแน่นไว้ก่อนและส่งกองหน้าที่เหมาะกับการโต้เร็วอย่างเบลามี่ลงไป วิธีเล่นก็เป็นวิธีเรียบง่ายที่ใช้มาตลอดกับการเจอทีมใหญ่คือวิ่งไล่ เพรซซิ่งเร็ว แต่ที่น่าสนใจคือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ 2 ประการ ประการแรกนัดนี้ดัลกลิชเน้นให้ไล่ตั้งแต่แดนหน้า คือไล่ตั้งแต่ในแดนซิตี้เลย ปรกติจะเริ่มไล่หลังจากผ่านเข้ามาในแดนตัวเองแล้ว ซึ่งทำให้กดดันได้ดีกว่า เพราะการวิ่งไล่บอลจากเท้าเลสคอตกับซาวิชดูยังไงก็น่าจะง่ายกว่าการไล่บอลจากเท้าซิลบากับนาสรี่ ประการที่สองคือการเลือกเจอราดเป็นคนประกบซิลบาตรงกลาง เพราะในเกมที่ผ่านๆ มาเวลาเจอกับทีมใหญ่โดยใช้กลางชุดนี้ หน้าที่นี้จะตกเป็นของอดัมหรือไม่ก็เลือกไม่ประกบ เน้นปิดพื้นที่ไปเลย แต่การใช้เจอราดตามประกบในนัดนี้ทำให้ซิลบาอันตรายน้อยลงและทีมเสียฟาลว์ในแดนกลางน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

               อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เกมนี้ได้ผลที่ต้องการและทำผลงานได้ดีอยู่ที่นักเตะ มันคงไม่มีประโยชน์อะไรถ้าผู้จัดการทีมสั่งให้เพรซซิ่งแต่นักเตะวิ่งไม่ออกหรือเสียสมาธิ นัดนี้นักเตะลิเวอร์พูลทุกคนช่วยกันวิ่งไล่ได้ดีมาก และวิ่งได้ตลอด 95 นาที โดยเฉพาะเบลามี่กับเค้าท์ที่มีพื้นที่ต้องวิ่งมากกว่าเพื่อนแต่ก็ไล่กันไม่หยุด

               จุดเปลี่ยนของเกมนี้อยู่ที่การตัดสินจังหวะจุดโทษ 2 ครั้งที่ส่งผลดีให้ลิเวอร์พูลแบบไป-กลับ นาที 15 อดัมไปเตะเอาเอ็นร้อยหวายเซโก้เต็มๆ แบบไม่ไ้ด้เฉียดบอลเลย แต่จังหวะนั้นบอลเร็วและทิศทางของบอลเหมือนอดัมสกัดโดนบอล ทำให้ผู้ตัดสินไม่ได้ให้จุดโทษ แต่มาให้ลิเวอร์พูลในนาที 40 ที่แอกเกอร์ยิงไปโดนขาริชาร์ดแต่บอลกระดอนไปโดนมือ เป็นจังหวะ 50/50 ที่ผู้ตัดสินหลายคนเป่าให้จุดโทษ แต่รับรองว่าไม่ใช่ทุกคนแน่นอน 2 จังหวะนี้ถ้าผู้ตัดสินเป่าในทิศทางตรงกันข้าม ลิเวอร์พูลคงต้องเหนื่อยหนักกว่านี้แน่ถ้าจะเอาตัวรอดไปให้ได้

               มองทางฝั่งซิตี้ พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าทำไมถึงได้อยู่บนสุดของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีค แม้ว่าลิเวอร์พูลจะเล่นเกมรับได้ดี และปิดโอกาสการจบสกอร์ได้ดีมาก ยิ่งถ้าเทียบกับการเจอทีมอื่นๆ ไม่เว้นแม้แต่การเจอทีมหัวตาราง นี่เป็นเกมซิตี้ได้โอกาสยิงน้อยลงจนแทบจะนับครั้งได้ แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อโอกาสมาถึงซิตี้แทบไม่พลาดเลย การยิงไกลครั้งแรกและครั้งเดียวเป็นประตู รวมไปถึงการครอสบอลในจังหวะที่คู่ต่อสู้เข้าไปกดดันได้ไม่ดีพอเพียงครั้งเดียวก็ทำประตูได้ นี่ยังเป็นช่องว่างที่ห่างกันอยู่ระหว่างอันดับ 1 กับอันดับ 7 เพราะถ้าให้ซิตี้มีโอกาสเท่ากับที่ลิเวอร์พูลหาได้ในวันนี้ มั่นใจว่าซิตี้ต้องยิงได้อย่างน้อยครึ่งโหลแน่นอน

               ...แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูลก็ได้ชิงละนะ...
----------------------------------

นัดนี้เล่นได้ดีเป็นส่วนใหญ่

เรน่า - ลูกแรกที่เสียไป ยืนตำแหน่งพลาดนิดหน่อยคือค่อนข้างห่างเส้น แต่เด ยองก็ยิงได้ดีมากจริงๆ จนต่อให้เรน่ายืนดีกว่านี้ก็ไม่น่าเซฟได้ หลังจากนั้นก็ไม่มีข้อผิดพลาดอะไร และทำได้ดีมากกับการออกบอลเร็ว

เอนริเก้ - เล่นพอใช้ได้ค่อนไปทางดี แต่มันดรอปลงจากฟอร์มที่เคยดีมากในนัดก่อนๆ เกมรับมีหลุดรั่วให้เห็นบ้างเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นขึ้นแล้วลงไม่ทัน, ประกบห่างในบางจังหวะ วิ่งเบียดแล้วเอาชนะไม่ได้ เติมเกมรุกได้บ้างแต่ไม่ค่อยมีจังหวะอันตราย จังหวะที่หลุดไปยิงต้นเกมก็ยิงไม่ค่อยดีด้วย

แอกเกอร์ - ดักทางบอลที่จะจ่ายทะลุเข้ามาได้ดีมาก รักษาตำแหน่งได้ดี เข้าสกัดได้เด็ดขาด เป็นวันที่เล่นได้ดีมากอีกวันหนึ่ง

สเคอเทล -เล่นให้ชวนสงสัยว่าเอนกอกเก่งกว่าเซโก้หรือไง(ฟระ) ประกบเซโก้ได้ดี แย่งโหม่งได้บ่อยและดักตัดบอลก่อนถึงกองหน้าได้ดีมาก

จอห์นสัน - มีข้อผิดพลาดให้เห็นในแนวรับเป็นระยะ ตำแหน่งยืนไม่ค่อยดี ที่ดีคือวันนี้เข้าบอลเร็ว, ให้บอลไม่พลาดและเติมเกมรุกได้น่าพอใจ

ดาวนิ่ง - ครึ่งแรกเล่นได้ดีมากทั้งเกมรุกและรับ เป็นนัดแรกที่เล่นกับเอนริเก้แล้วเห็นว่าทำได้ดี ยืนฝั่งซ้ายแล้วครอสบอลได้ดีกว่าเล่นฝั่งขวา แต่แน่นอนว่าแทบจะหาจังหวะยิงเองไม่ได้เลย ครึ่งหลังแทบไม่มีส่วนกับเกมรุก แต่การวิ่งไล่ยังทำได้ดีอยู่

อดัม - เล่นไม่ค่อยออก ยังหาจังหวะวางบอลยาวสวยๆ ให้เห็นบ้างแต่มีน้อย การพาบอลไปเองหาประโยชน์แทบไม่ได้ ที่ดีคือวันนี้ออกบอลให้เพื่อนได้ดี และเสียฟาลว์ไม่มากนัก

เฮนเดอร์สัน - ทำผลงานได้ดี เด่นมากในการคุมพื้นที่แดนกลาง เคลื่อนไหวได้ดีกว่านัดก่อนๆ หาโอกาสขึ้นไปเติมเกมได้น้อยแต่ก็ทำได้เข้าท่ากว่าที่ผ่านมา เสียดายว่าไม่มีลูกทีเด็ดทีขาดให้เห็นเลย ไม่ว่าจะจ่ายหรือยิง

เจอราด - หน้าที่หลักวันนี้คือตามเก็บซิลบา ทำได้น่าพอใจ(แต่พลาดครั้งแรกทีมเสียประตู และลงไปประกบโคราลอฟไม่ติดก็ทำให้เสียประตูที่สอง) เล่นเกมรับเป็นส่วนใหญ่และยืนไม่สูงมากนักแต่เปลี่ยนรับเป็นรุกและวางบอลยาวได้ดี

เค้าท์ - เค้าท์วันนี้เล่นได้เป็นสัปปะรดอย่างไม่น่าเชื่อ แตกต่างจากบอลสไตล์เค้าท์ๆ แบบที่ผ่านมา กลับมาวิ่งได้อย่างคึกคัก เบียดแย่งและบังบอลได้ดี ที่มหัศจรรย์จนกลัวว่าพรุ่งนี้หิมะจะตกคือวันนี้เค้าท์จ่ายบอลเร็วได้ดีมาก

เบลามี่ - เล่นได้ดีมากอีกนัดหนึ่ง วิ่งไล่บอลตลอดเกม บางครั้งลงมาช่วยไล่ถึงในแดนกลางด้วย ใช้ความเร็วกดดันแนวรับซิตี้ได้ตลอด วิ่งทำทางได้ดี รวมไปถึงยิงประตูสำคัญให้ทีมผ่านเข้าชิงได้สำเร็จ

ตัวสำรอง

เคลลี่ - ลงมาก็แทบไม่ได้ทำอะไรแล้ว

คาโรล - ลงมาได้เล่น 4 จังหวะ พลาด 2 ดี 2 แต่ก็ไม่มีเวลาให้ทำอะไรเช่นกัน

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : เดิร์ค เค้าท์... แม้ว่าเบลามี่กับเจอราดจะทำประตูและเล่นได้ดีกับบทบาทของตัวเองในนัดนี้เอามากๆ แต่ถ้าเทียบกับความคาดหวัง, ผลงานที่ีผ่านมา ระหว่างสเต็กจานละ 720 ที่อร่อยสมราคา กับสเต็คจานละ 120 ที่รสชาติอย่างกับ 500 อะไรมันน่าประทับใจกว่ากันล่ะ?

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น