วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

ลิเวอร์พูล 2 - 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด



...รอบหน้าขอเจอทีมใหญ่อีกแล้วกันนะ...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-5-1 (4-1-4-1 คาราเกอร์ยืนต่ำมาก)

------------------------คาโรล-----------------------

มักซี่--เฮนเดอร์สัน--คาราเกอร์--เจอราด--ดาวนิ่ง

เอนริเก้------แอกเกอร์------สเคอเทล------เคลลี่

-------------------------เรน่า------------------------

               หลังจากพึ่งหวดกับซิตี้ไปไม่กี่วัน นัดนี้ลิเวอร์พูลต้องลงสนามในเกมเอฟเอ คัพรอบ 4 เจอกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีคาโรลลงเป็นหน้าเป้าอีกครั้ง ส่วนในแดนกลางมักซี่ได้โอกาสก่อนเค้าท์ และคาราเกอร์ได้กลับมาเล่นกลางรับอีกครั้ง ในแผงหลังเคลลี่ได้ลงแทนจอห์นสัน สำหรับทางฝั่งแมนฯยู สภาพทีมไม่ค่อยพร้อมนัก นักเตะเจ็บกันระนาว ข้างหน้าวางเวลเบคไว้คนเดียว และมีวาเลนเซียทางฝั่งขวาเป็นตัวทำเกมรุกหลัก ตรงกลางใช้มิดฟิลด์อายุรวมกันเกินร้อยอย่างกิ๊กส์, สโคล และคาริค
-------------------------------------------------------

               เริ่มเกมเป็นแมนฯ ยูที่ครองบอลบุกเข้าใส่ ต่อบอลกันได้แม่นยำกว่าและเก็บบอลจังหวะสองได้ดีกว่าเล็กน้อย ส่วนทางฝั่งลิเวอร์พูลเน้นปิดพื้นที่ ไล่บอลค่อนข้างน้อยและจังหวะขึ้นบอลเร่งทำเร็วจนพลาดบ่อยครั้ง เกมโดยรวมค่อนข้างเร็วแต่ทั้งสองฝ่ายยังเล่นเกมรับได้ดี หาโอกาสกันได้ไม่มากนัก

               จนกระทั่งนาที 21 จากจังหวะเตะมุม คาโรลไปยืนขวางเด เคอาจนขึ้นหาบอลไม่ไ่ด้ โดนแอกเกอร์โหม่งจากบริเวณเส้น 6 หลาสวนเข้าไปให้ลิเวอร์พูลนำ 1-0

               หลังจากเสียประตู ลิเวอร์พูลยังเร่งต่อและทำได้ดีอยู่ราว 5 นาที จากนั้นเป็นแมนฯ ยูที่ค่อยๆ รวบรวมสมาธิตั้งเกมของตัวเองกลับมาได้ แม้จะขึ้นบอลกลางสนามกันค่อนข้างช้าแต่ก็แม่นยำจนลิเวอร์พูลแย่งตัดบอลได้น้อย แมนฯ ยูเ้น้นบุกทางขวาให้วาเลนเซียเจาะเอนริเก้ได้ผลดีระดับหนึ่ง

               เข้าสิบนาทีสุดท้ายของครึ่งแรก ลิเวอร์พูลถอยลงไปรับมากขึ้นแทบไม่ดันเกมกันขึ้นมา เปิดโอกาสให้แมนฯ ยูได้บุกใส่ต่อเนื่อง และในนาที 39 จากจังหวะพลาดของเอนริเก้ที่เบียดราฟาเอลไม่อยู่ ราฟาเอลพาบอลไปเปิดที่สุดเส้นได้ แล้วเป็นพาร์คที่วิ่งเติมเข้ามาชาร์จเข้าเสาแรกได้สำเร็จ 1-1 ก่อนจะจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ดังกล่าว

               เข้าครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลลงมาเปิดเกมรุกมากขึ้น แผงกลางที่ถอยลงต่ำในช่วงปลายครึ่งแรกดันกันขึ้นมาแถวกลางสนาม เกมเปิดแลกกันมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นแมนฯ ยู ที่ครองบอลได้มากกว่า นาที 63 ดัลกลิชเปลี่ยนเอาคาราเกอร์กับมักซี่ออก ส่งเค้าท์กับอดัมลงมาแทน โดยให้เค้าท์ยืนทางขวาแล้วโยกดาวนิ่งไปยืนทางซ้าย ทำให้เกมรุกลิเวอร์พูลทำได้เร็วและดุดันขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่ถึงกับกดดันแนวรับแมนฯ ยูได้มากนัก

               นาที 72 เบลามี่ได้ลงมาแทนเจอราด และดูเหมือนลิเวอร์พูลต้องปรับจังหวะการเล่นกันอยู่พักใหญ่ เกมรุกดูจะสะดุดไป ส่วนแมนฯ ยูเล่นกันไปตามจังหวะ ถ้ามีช่องก็จะทำเร็ว ถ้าไม่มีก็จะเคาะหาช่องกันอยู่กลางสนาม ทำให้เกมโดยรวมช้าลง จนกระทั่งเข้า 10 นาทีสุดท้าย ลิเวอร์พูลพยายามเร่งโหมเกมอีกรอบหนึ่ง ประกอบกับแมนฯ ยู ถอยกันลงไปรับมากขึ้น ทำให้ลิเวอร์พูลได้ครองบอลมากแต่ยังเจาะแผงหลังแมนฯ ยูได้ลำบาก ส่วนทางแมนฯ ยูที่รับแล้วโต้ก็ได้ลุ้นบ้างจากการสวนกลับเร็วในบางจังหวะ แต่ก็ยังทำไม่ได้เช่นกัน

               เกมทำท่าจะจบลงที่ผลเสมอ แต่แล้วนาที 88 เรน่าวางบอลยาวมาให้คาโรลโหม่งชง บอลไปเข้าทางเค้าท์ได้บอลหลุดเข้าไปในเขตโทษ ก่อนจะยิงผ่านเด เคอาเข้าไปได้ให้ทีมนำอีกครั้ง 2-1 ก่อนจะปิดเกมเอาชนะไปได้ ผ่านเข้ารอบต่อไปได้สำเร็จ
------------------------------------------

               ดัลกลิชปรับผู้เล่นเล็กน้อยจากนัดก่อน แต่ส่งผลต่อรูปเกมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาราเกอร์กับตำแหน่งกลางรับ เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ลิเวอร์พูลทำเกมรุกได้ไม่ต่อเนื่อง ทั้งยังตั้งรับได้ไม่ดีมากนัก หากดูจากคุณภาพเกมรุกของแมนฯ ยู ในวันนี้ คาราเกอร์นั้นถอยลงไปต่ำมากเกินไป หลายจังหวะลงไปยืนอยู่ในไลน์เดียวกับคู่เซนเตอร์ด้วยซ้ำ รวมไปถึงช่วยเชื่อมเกมจากหลังไปกลาง หรือกลางไปหน้าไม่ได้โดยสิ้นเชิง ทำให้ตรงกลางเหลือเพียงเจอราดกับเฮนเดอร์สันที่ต้องทำทุกอย่างทั้งรุกทั้งรับทั้งไล่บอล จนกระทั่งครองเกมไ้ว้ไม่อยู่ บอลส่วนใหญ่เป็นของแมนฯ ยู ซึ่งหลังจากอดัมลงมาแทนการเคลื่อนเกมของลิเวอร์พูลดูต่อเนื่องมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้สเปียริ่งอาจจะยังไม่ค่อยฟิต แต่ก็ภาวนาขออย่าให้ดัลกลิชส่งคาราเกอร์ลงมาเล่นตำแหน่งนี้อีกเลยจะเป็นการดีที่สุด

               สิ่งสำคัญที่ตัดสินผลในวันนี้อยู่ที่ทางฝั่งแมนฯ ยูเอง ด้วยตัวผู้เล่นที่ไม่พร้อม รวมไปถึงฟอร์มที่ต่ำกว่ามาตรฐานของเด เคอาและเอฟร่าทำให้พวกเขาแม้จะครองเกมไว้ได้ แต่ไม่มีทีเด็ดมาน็อคคู่ต่อสู้เหมือนอย่างที่เคยทำ กรณีของเด เคอานี่ดูเหวอ หลอน ผวา อย่างเห็นได้ชัด ขนาดโดนกดดันไม่ได้ต่อเนื่องสักเท่าไหร่แต่ก็ยังอุตส่าห์พลาดนิดพลาดหน่อยอยู่ตลอด ส่วนเอฟร่า แม้เกมรับจะยังมีคุณภาพอยู่ แต่เกมรุกที่เคยเติมขึ้นมาได้ดี รวมไปถึงการจ่ายบอล ครอสบอลที่เคยดีกว่านี้ วันนี้ก็โดนโห่จนฟอร์มแผ่วลงไปเหมือนกัน ซึ่งวันที่ขาดตัวรุกจัดจ้าน การเติมเกมของเอฟร่าสำคัญมากสำหรับแมนฯ ยู นอกจากนั้น การไม่มีทั้งรูนี่ย์และนานี่ทำให้เกมรุกของแมนฯ ยูมีทางเลือกน้อยเหลือเกิน คนเดียวที่ทำเกมรุกได้โดดเด่นคือวาเลนเซีย ทำให้แนวรับของลิเวอร์พูลจัดการได้ง่ายขึ้นเพราะไม่ต้องพะวงเกมทางซ้ายและตรงกลางที่แทบไม่มีใครเลี้ยงบอลฝ่า, ชิ่งและยิงไกลได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไหร่

               อย่างไรก็ตาม ต้องชมลิเวอร์พูลด้วยว่าวันนี้ใช้โอกาสไม่เปลืองเท่าไหร่ ทั้งแอกเกอร์ที่โหม่งได้ดีในจังหวะที่แ่ผงหลังแมนฯ ยูพลาดให้ที่ไม่ช่วยบล็อคให้เด เคอาเล่นง่ายกว่านี้(และตัวเด เคอาเองด้วย) และจังหวะที่เค้าท์เองก็บรรจงยิงไม่หลุดกรอบได้สำเร็จ

               ...ก็เลยผ่านแมนฯ ยู ไปได้อย่างฉิวเฉียด
----------------------------------

นัดนี้เล่นกันดีบ้าง ไม่ดีบ้าง

เรน่า - เป็นเกมแดงเดือดที่ไม่มีอะไรให้เซฟมากนัก วันนี้ออกบอลเร็ว รวมไปถึงออกบอลยาวได้ดีหลายครั้งตั้งแต่ต้นเกม โดยเฉพาะจังหวะที่ทีมได้ประตูชัยก็ต้องให้เครดิตเขาด้วย

เอนริเก้ - ยังเป็นวันที่ฟอร์มแผ่วลงไปอีกนัดหนึ่ง ความมั่นใจในตัวเองและเสียดายบอลมากเกินไปทำให้ทีมเสียประตูง่ายไปหน่อย รวมไปถึงมีปัญหากับการดวล 1-1 กับวาเลนเซียค่อนข้างมาก แต่โดยรวมยังอยู่ในระดับพอใช้ค่อนไปทางดีและไว้ใจได้อยู่

แอกเกอร์ - ยืนตำแหน่งพลาดให้เห็นบ้างเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ก็ยังดักบอลจ่ายทะลุและบอลยาวได้ดีอยู่ รวมไปถึงโหม่งทำประตูได้ดี

สเคอเทล -ประกบเวลเบคได้ดี เล่นได้แข็งแกร่ง ลูกกลางอากาศทำได้เด็ดขาด ลูกที่เสียไปไม่ใช่ความผิดของสเคอเทลเลย เพราะเจ้าตัวกำลังประกบเวลเบคอยู่ พอผละมาเพื่อจะบังทางก็เลยช้าไป ตรงนั้นควรเป็นกองกลางที่ตามลงมามากกว่า

เคลลี่ - แม้จะเติมเกมน้อยเอามากๆ แต่เกมรับทำได้สุดยอด เก็บกิ๊กส์จนเงียบสนิท รวมไปถึงเอฟร่าที่เติมขึ้นมาด้วย

มักซี่ - ช่วยอะไรทีมได้ไม่มากนักนอกจากวิ่งไล่บอล ซึ่ีงก็เข้าไม่ค่อยถึงบอลเ่ท่าไหร่ ทำเกมไม่ได้ประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมก็ไม่ค่อยได้

เฮนเดอร์สัน - มีจังหวะการเล่นเกมรุกที่ดูดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาเล็กน้อย แต่มันยังน้อยเกินไป หลายครั้งที่ควรจะทำด้วยตัวเองบ้างแต่กลับแปะบอลไปให้เจอราดไปเล่นเอาเองบ่อยเหลือเกิน ส่วนในเกมรับ ไม่ค่อยเข้าบอล หนักไปทางวิ่งถอยหลัง, วิ่งประคองจนกองกลางวัยแซยิดของแมนฯ ยูเล่นกันได้สบายเกินไป

คาราเกอร์ - คาดว่าเล่นเซนเตอร์จนลืมวิธีเล่นมิดฟิลด์ไปเรียบร้อย จะถอยมาอยู่ในเขตโทษอย่างเดียว ในฐานะกองกลางช่วยอะไรทีมแทบไม่ได้เลย บางจังหวะมีเวลเบคอยู่คนเดียวในเขตโทษ โดนสเคอเทลกับแอกเกอร์แซนวิชอยู่แล้ว พวกก็ดันจะวิ่งลงไปจอยด้วยอีกคน แทนที่จะวิ่งเข้าไปหาบอล หรือไม่ก็ดักเก็บบอลจังหวะสอง

เจอราด - ช่วงที่อยู่ในสนาม เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวในการทำเกมรุก การวางบอลยาววันนี้ดีบ้างเสียบ้าง แต่ก็ทำให้เกมรุกมันพอจะไปได้ ทำงานหนักกว่าที่ควรจะเป็น ต้องคอยคุมพื้นที่กลางสนามเป็นส่วนใหญ่และไม่เติมเกมสูงมากนัก

ดาวนิ่ง -ช่วงครึ่งแรกค่อนข้างเงียบ ส่วนหนึ่งเพราะต้องไปคนเดียวอยู่ตลอด (เคลลี่ไม่ค่อยขึ้น คาโรลก็อยู่ห่าง) แต่ครึ่งหลังหลังจากโยกกลับไปซ้ายแล้วมีเอนริเก้บ้าง เบลามี่บ้างเข้่ามาช่วย ก็ทำได้ดีขึ้น ดูแล้วแม้เจ้าตัวจะเล่นทางขวาได้ไม่เลว แต่การยืนทางซ้ายน่าจะเป็นประโยชน์กับทีมมากกว่า

คาโรล - ฟอร์มกระเตื้องขึ้นมานิดนึง ยังเก็บบอลไม่ค่อยจะได้เหมือนเดิมและยังหาตำแหน่งในเขตโทษไม่ดีนัก แต่วันนี้สร้างประโยชน์ให้กับทีมได้บ้างแล้ว การโหม่งชงให้เพื่อนเริ่มมีทิศทางมากขึ้น และทั้งสองประตูของทีมในวันนี้คาโรลก็มีส่วนร่วมด้วยทั้งสองลูก

ตัวสำรอง

เค้าท์ - หลังจากเป็นเค้าท์ คลีนชีตมาไม่รู้กี่นัดเข้าไปแล้ว วันนี้ยิงเข้ากรอบแถมเป็นประตูด้วย แม้โดยรวมจะไม่ได้ทำประโยชน์อะไรมากนักแต่ก็นับว่าทำได้ดีกว่าและมีส่วนร่วมกับเกมมากกว่ามักซี่ที่โดนเปลี่ยนตัวออกไป

อดัม - ไม่ค่อยจะมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเช่นกัน แต่อย่างน้อยก็เชื่อมเกมแล้วทำให้บอลมันไปข้างหน้าได้ดีกว่าคาราเกอร์เยอะมากแล้ว บางจังหวะก็เบรกเกมเร็วของแมนฯ ยูที่จะโต้ขึ้นมาได้บ้างนิดหน่อย

เบลามี่ - ลงมาเล่นกับดาวนิ่งและเอนริเก้ได้ดีระดับนึง ทำให้เกมทางซ้ายที่ดับสนิทก่อนหน้านั้นกดดันแมนฯ ยูได้บ้าง แต่ก็ยังหาโอกาสทำอะไรไม่ได้

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : เดิร์ค เค้าท์... แน่นอนว่ามีนักเตะลิเวอร์พูลเกือบครึ่งทีมที่เล่นได้ดีกว่า และมีส่วนร่วมกับเกมมากกว่า แต่เัค้าท์ยิงครั้งแรกเข้ากรอบเลย ไม่ยิงนกตกปลาแบบที่ผ่านมา ได้ประตูอีกต่างหาก แถมเป็นประตูชัยพาทีมเข้ารอบ และที่สำคัญที่สุด ... ยิงแมนฯ ยูอีกแล้วด้วยสิ

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น