วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
เชลซี 0 - 2 ลิเวอร์พูล
กำแพงสีแดง
--------------------------------------------------------
ลิเวอร์พูลยังคงเล่น 4-5-1
---------------------คาโรล-----------------------
มักซี่---สเปียริ่ง---เบลามี่---ลูคัส--เฮนเดอร์สัน
เอนริเก้----โคอาเตส-----คาราเกอร์-----เคลลี่
-----------------------เรน่า-----------------------
ตอนจบของหนังไตรภาค นัดนี้เป็นบอลถ้วอยคาร์ลิ่ง คัพ ซึ่งลิเวอร์พูลต้องกลับไปเล่นที่สแตมฟอร์ด บริดจ์อีกครั้ง หลังจากที่ 9 วันก่อนก็พึ่งเตะที่นี่ ปรับนักเตะหลายตำแหน่งจากนัดที่แล้ว โดยในแดนหน้า ซัวเรส ได้พักเป็นคาโรลที่ได้กลับมาเป็นตัวจริง ส่วนแผงกลางนักเตะตัวจริงชุดบอลถ้วยอย่างมักซี่และเบลามี่ได้ลงสนาม ส่วนในแดนหลังเปลี่ยนถึงสามคน คู่เซนเตอร์เป็นโคอาเตสกับคาราเกอร์ และเคลลี่ได้ลงในตำแหน่งแบคขวา ทางฝั่งเชลซีเล่น 4-3-3 วางตอเรสเป็นหน้าเป้า และมีนักเตะดาวรุ่งอย่างแมคอีชลันกับเบลฟรานลงเป็นตัวจริง
-------------------------------------------------------
เริ่มเกมมาทั้งสองฝั่งก็วิ่งใส่กันทันที เกมเร็วและสู้กันบนพื้นเป็นส่วนใหญ่ ลิเวอร์ในจังหวะเข้าทำเน้นให้แบคซ้าย - ขวาเติมขึ้นมาโยนไปให้คาโรล ส่วนเชลซีใช้บอลสั้นค่อยๆ เจาะเข้าไปจากตรงกลาง และเป็นเชลซีที่ครองบอลเปิดเกมรุกเข้าใส่ ส่วนลิเวอร์พูลเล่นรัดกุม แนวรับถ้าโดนไล่จะสาดบอลยาวทันที
ลิเวอร์พูลมีโอกาสลุ้นประตูก่อน นาที 21 จากจังหวะคาโรลเบียดโหม่งกับอเล็กซ์แล้วอเล็กซ์ไปทำแฮนด์บอล เสียจุดโทษ คาโรลรับหน้าที่ยิงเองแต่ยิงได้ไม่ดีพอ ไปติดเซฟของเทิร์นบูล หลังจากนั้นก็เป็นเชลซีที่ได้ครองบอลมากกว่า แต่ยังเจาะแนวรับลิเวอร์พูลเข้าไปไม่ได้ ส่วนลิเวอร์พูลโจมตีโดยไปที่การเล่นของเบลามี่กับเอนริเก้ทางฝั่งซ้ายเป็นหลัก
เวลาที่เหลืออยู่้ทั้งสองฝ่ายยังทำอะไรกันแทบไม่ได้ ก่อนจะจบครึ่งแรกที่สกอร์ 0-0
เข้าครึ่งหลัง เชลซีเริ่มดันแผงหลังสูงขึ้น ส่วนลิเวอร์พูลสลับตำแหน่งเอาเฮนเดอร์สันเข้ากลางแล้วโยกเบลามี่ไปขึ้นทางขวาแทน มีจังหวะเล่นโต้กลับมากกว่าในครึ่งแรก นาที 55 เชลซีได้ลูกฟรีคิกแล้วเป็นมาลูด้าเข้าชาร์จถึงบอลแต่บอลไปชนคาน ตกลงมาเข้าทางหลุยส์ก็ยังโหม่งไปชนตัวโคอาเตสหลุดเสาไป ถึงตรงนี้เกมเริ่มเปิดแลกกันแล้ว
หลังจากเกมเปิดไ้ด้ไม่นาน เป็นลิเวอร์พูลที่ทำได้ก่อน นาที 58 จากจังหวะโต้กลับที่หลังเชลซียืนลอยสูง เฮนเดอร์สันจ่ายทะลุช่องให้เบลามี่ลากเข้าเปิดถวายพานให้ขาเก่าเจ้าประจำ อย่างมักซี่วิ่งเข้ามาแปโล่งๆ ให้ทีมขึ้นนำ 1-0
เชลซีเสียประตูแล้วก็พยายามเร่งจะเอาประตูคืน แต่ยังหาจบสกอร์แทบไม่ได้ กลายเป็นลิเวอร์พูลที่ได้ซ้ำดาบสอง นาที 63 ลิเวอร์พูลได้ฟรีคิก เบลามี่เปิดบอลไปเสาสองแล้วเป็นเคลลี่ที่สลัดตัวประกบมาได้โหม่งเข้าให้ทีม นำห่าง 2-0
เชลซีส่งอเนลก้ากับมาต้าลงมาแทนมาลูด้ากับลูกากู แต่ทั้งคู่ก็ยังช่วยทำเกมไม่ได้มากนัก นาที 70 ลูคัสเจ็บจากจังหวะที่โดนรามิเลสเสียบเล่นต่อไม่ไหว อดัมได้ลงมาแทน หลังจากนั้นเชลซีก็โหมรุกเต็มที่ แต่ยังหาช่องเจาะกันไม่เจอ นาที 79 เค้าท์ลงมาแทนเบลามี่ ช่วง 10 นาทีสุดท้าย กองหลังทั้งแผงของเชลซียืนกันลอยกันอยู่แถวครึ่งสนามเท่านั้น พยายามกดดันลิเวอร์พูลเต็มที่ สามารถขึงเกมให้อยู่ครึ่งสนามได้แล้ว ลิเวอร์พูลไม่สามารถโต้กลับขึ้นไปได้เลย แต่เชลซีก็ทำได้แค่ลุ้นจากการโยนบอลเข้าไปจากริมเส้นซึ่งก็ไม่ผ่านกองหลังลิ เวอร์พูล นาที 89 สเคอเทลลงมาแทนมักซี่ เพื่อเน้นเกมรุกและเกมกลางอากาศมากขึ้นไปอีก ก่อนที่จบเกมไปด้วยชัยชนะของทีมเยือน 2-0
------------------------------------------
นัดนี้ดัลกลิชยังคงใช้แทคติคคล้ายเดิมจากที่ใช้มาช่วงอ 2 นัดล่าสุด โดยพักผู้เล่นหลายคน ในแดนหน้าที่ไม่มีซัวเรสนั้น หันมาทำเกมรุกด้วยการเลี้ยงจี้ขึ้นไปทางริมเส้นของเบลามี่ ซึ่งได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง เบลามี่ที่นัดนี้ยืนต่ำฝังตัวอยู่ในแผงกองกลางทำให้มีโอกาสได้เลี้ยงบอลจี้ ขึ้นไปมากกว่าการขึ้นไปยืนค้ำในแดนหน้าแบบซัวเรส ส่วนในแนวรับที่เปลี่ยนถึงสามคนแต่ประสิทธิภาพที่ออกมาก็ยังไม่ได้ด้อยลงไป เท่าใดนัก
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ทีมคว้าชัยมาได้ในนัดนี้ ยังอยู่ที่เกมรับ ในส่วนกองหลังนั้นคงไม่มีอะไรมากไปกว่าตัวสำรองที่ทำหน้าที่ทดแทนตัวจริงได้ แบบไม่ขี้เหร่ แต่ที่โดดเด่นมากคือแผงกลางโดยเฉพาะริมเส้นทั้งสองฝั่งไม่่ว่าจะเป็นเฮ นเดอร์สัน มักซี่ หรือเบลามี่ที่เล่นเกมรับกันได้เป็นอย่างดี ทำให้แผงกลางของเชลซีไม่สามารถทำเกมได้ ซึ่งส่งผลทำให้กองหน้าตัวอันตรายอย่างตอเรสต้องระเห็ดไปรอบอลอยู่นอกกรอบบ่อยครั้งด้วย
ทางฝั่งเชลซีเอง ต้องบอกว่าตัวรุกอย่างมาลูด้าและแลมพาร์ดฟอร์มแผ่วอย่างน่าใจหาย การที่ทั้งคู่เล่นไม่ออก ผนวกกับนักเตะที่เสริมเข้ามาอย่างลูมิอูกับลูคาคูยังโชว์ฟอร์มไม่ออก ทำเอาเกมรุกของเชลซีเข้ารกเข้าพงสุดกู่ จังหวะที่ได้ลุ้นส่วนใหญ่ในเกมมาจากการโยนบอลเข้าไปซึ่งจุดนี้แม้ตอเรสจะ เล่นลูกกลางอากาศใช้ได้ แต่กลายเป็นว่าไม่ได้เปรียบคู่เซ็นเตอร์ลิเวอร์พูล ในขณะที่แผงกลางที่เคยขึ้นมาช่วยยิงประตูได้ นัดนี้อย่าว่าแต่ยิงเข้ากรอบ โอกาสจะง้างยิงจากนอกเขตยังหาแทบไม่ได้
...แล้วต้องมาเจอกับกำแพงสีแดงก็เลยเอวังด้วยประการฉะนี้...
----------------------------------
นัดนี้เล่นกันได้ดีเป็นส่วนใหญ่
เรน่า - ยังคงไม่ได้เซฟอะไรมากนักอีกนัดหนึ่ง ทำได้ดีกับการคว้าบอลโหม่งที่ไม่แรงมากนัก กับจังหวะที่ออกมาเร็วปิดมุมไม่ให้อเนลก้ายิงได้
เอนริเก้ - เติมขึ้นลงได้ตลอดเกม โยนบอลเข้าไปยังดีบ้างไม่ดีบ้าง ส่วนเกมรับยังไว้ใจได้เช่นเคย
โคอาเตส - นัดนี้เล่นได้ดี แม้ช่วงต้นเกมจะมีจังหวะการเข้าบอลที่หวาดเสียวอยู่บ้าง แต่นอกจากนั้นก็เข้าสกัดได้ดีทั้งบนพื้นและกลางอากาศ
คาราเกอร์ - ยืนยิ้มอยู่ริมจุดโทษ ไม่ได้ทำอะไรนอกจากรอซ้อนบอลที่ทะลักเข้ามาบ้าง เป็นนัดที่เล่นได้สบายและไม่มีความผิดพลาดให้เห็น
เคลลี่ - เกมรับเหนียวแน่น วันนี้มีทีเด็ดจากการขึ้นไปโหม่งลูกเซตพีซเป็นประตูด้วย
มักซี่ - หาตำแหน่งจบสกอร์ได้ดีเหมือนเดิม การช่วยเล่นเกมรับอยู่ตลอดทำให้เอนริเก้วิ่งเติมขึ้นไปได้อย่างสบายใจ
สเปีย ริ่ง - แม้จะมีความพยายามในการวิ่งไล่บอลอยู่ตลอด แต่ยังอ่านเกมได้ไม่ดีนัก มีหลายครั้งที่วิ่งไปแล้วไม่เจอบอล ทำผลงานแค่พอใช้ได้เท่านั้น
ลูคัส - เหมือนนัดก่อน
เฮนเดอร์สัน - มีพัฒนาการในทางที่แฟนบอลลิเวอร์พูลอาจจะไม่ได้หวังจากตัวเขาเท่าไหร่นัก นั่นคือเกมรับ ช่วงที่ยืนริมเส้นลงมาช่วยเคลลี่ได้ดีอยู่บ่อยครั้ง ช่วงที่ยืนตรงกลางก็ลดภาระของลูคัส+สเปียริ่งได้มาก วันนี้มีลูกจ่ายทะลุดีๆ ที่นำมาซึ่งประตูที่ 2 ด้วย
เบลามี่ - ครึ่งแรกพอเสียบอลแล้วไม่ค่อยไล่ ทำได้ดีระดับนึงกับการวิ่งตีคู่ไปกับเอนริเก้ ส่วนครึ่งหลังที่อยู่ทางขวา นอกจากจะเล่นจังหวะโต้กลับได้ดีที่ทำให้ทีมนำ 2-0 แล้ว ยังวิ่งไล่และลงมาช่วยรับถึงสุดเส้นหลังด้วย
คาโรล - 1 ชั่วโมงแรกของเกมทำได้ดีพอใช้กับการเก็บบอลและโหม่งชง แต่หลังจากทีมนำ 2-0 คาโรลเก็บบอลแทบไม่ได้เลย เกมนี้ยังคงหาตำแหน่งจบสกอร์ได้ไม่ดีนัก โดยรวมทำได้ดีขึ้นแต่ยังไม่น่าประทับใจ
ตัวสำรอง
เค้าท์ - ไม่ได้ทำอะไรนอกจากช่วยวิ่งไล่บอลแทนเบลามี่ทำเริ่มล้าแล้ว
สเคอเทล - ลงมาช่วยหยุดการบอมบ์ของเชลซีอีกคนหนึ่ง แต่ก็แทบไม่ได้ทำอะไร
แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : เคร็ก เบลามี่ ... เนื่องจากลูคัสเล่นดีซ้ำซากมาสามนัดแล้วเลยเบื่อ ส่วนมักซี่ก็เล่นเหมือนเดิมทุกครั้งที่ลงสนาม ลงสามนัดยิงสามนัด เลยเบื่อเช่นกัน เลยขอยกให้ตำแหน่งนี้ให้กับเคร็กเบลามี่ที่เป็นศูนย์กลางเกมรุกของทีมในวันนี้ก็แล้วกัน
Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น