วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ลิเวอร์พูล 3 - 1 นิวคาสเซิล


...ยิงแซง...ก็เป็นนะครับ
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-5-1

----------------------คาโรล----------------------
เบลามี่---อดัม---สเปียริ่ง--เฮนเดอร์สัน--ดาวนิ่ง
เอนริเก้---แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน
-----------------------เรน่า-----------------------

          ลิเวอร์พูลเล่นในบ้านเจอนิวคาสเซิล โดยเกมนี้ไม่มีซัวเรสที่ติดโทษแบน ดัลกลิชตัดสินใจใช้กลาง 5 คน โดยส่งสเปียริ่งที่พึ่งโทษแบนลงเป็นตัวจริง รวมไปถึงเบลามี่ที่ได้ลงทางฝั่งซ้ายแทนมักซี่ นอกนั้นยังเป็นทีมชุดเดิม 

-------------------------------------------------------

          เริ่มเกมมาแบบระมัดระวังตัวกันสุดๆ นิวคาสเซิลนั้นเริ่มเกมช้าๆ ไม่ตั้งเกมบุกมากนัก อาศัยบอลยาวให้บาพักบอลเล่นเป็นส่วนใหญ่ ทางด้านลิเวอร์พูลแม้จะพยายามบุกแต่ไม่โหมเข้าใส่เหมือนนัดก่อนๆ เกมค่อนข้างสูสีโดยเป็นทางฝั่งลิเวอร์พูลที่พาบอลไปใกล้เขตโทษได้มากกว่าแต่ ยังไม่มีจังหวะลุ้นประตูมากนัก เกมค่อนข้างอึดอัดเพราะทั้งสองฝ่ายเล่นเกมรับได้ดีทั้งคู่


          แต่เป็นลิเวอร์พูลที่มาพลาดก่อน นาที 25 จากจังหวะที่จอห์นสันสกัดบอลไปติดวูคคิช บอลกระดอนไปเข้าทางไรอัน เทลย์เลอร์วางเท้าเปิดเขาเขตโทษแล้วเป็นคาบายที่ได้โหม่งบอลไปแฉลบแอกเกอร์ เข้าประตูไปให้นิวคาสเซิลขึ้นนำ 1-0 และนับเป็นจังหวะลุ้นประตูครั้งแรกของนิวคาสเซิลในเกมนี้ด้วย


          แม้จะเสียประตูไปก่อนแต่ลิเวอร์พูลยังทำเกมกันได้อยู่ และมาแก้คืนได้เร็วในนาที 29 เอนริเก้เปิดเข้ากลางติดกองหลังนิวคาสเซิลแต่บอลกระดอนเลยไปถึงอดัมที่อยู่ ทางเสาสองก่อนจะแปเข้ากลางมาติดติโยเต้ แล้วเป็นเบลามี่ที่ได้ซ้ำโล่งๆ จากบริเวณจุดโทษให้ทีมตีเสมอ 1-1


          หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายยังเล่นกันได้ดี โดยเป็นลิเวอร์พูลที่ขึ้นเกมทางริมเส้นโดยเฉพาะฝั่งขวาได้อย่างไหลลื่น ส่วนนิวคาสเซิลนั้นไม่ค่อยได้ตั้งเกมบุกขึ้นมา แต่ยังเล่นเกมรับกันได้ดีอยู่ โดยเฉพาะการปิดพื้นที่ในเขตโทษทำได้ดีมากจนลิเวอร์พูลหาจังหวะจบสกอร์ได้น้อยมาก จนกระทั่งจบครึ่งแรกที่สกอร์ 1-1


          เข้าครึ่งหลัง นิวคาสเซิลเปลี่ยนแทคติคเล็กน้อย หันมาตั้งเกมบุกเข้าใส่ลิเวอร์พูลมากขึ้น ครองบอลไว้กับตัวได้มากขึ้น สามารถกดดันให้ลิเวอร์ูพูลต้องถอยกันไปรับมากกว่าในครึ่งแรก นาที 59 ดัลกลิชส่งเจอราดลงมาแทนอดัม ซึ่งทำให้เกมเปลี่ยนทันที การเปิดบอลของเจอราดกดดันให้นิวคาสเซิลต้องลงปิดพื้นที่แถวหน้าเขตโทษกันมาก ขึ้น เกมรุกที่เริ่มดีขึ้นเริ่มสะดุดลง

          แต่ลิเวอร์พูลมาทำได้จากลูกเซตพีซ นาที 67 ได้ฟรีคิกระยะไกลเบลามี่ยิงเข้ากลาง คาโรลโหม่งไม่โดนบอล(ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือเข้าไม่ถึง) ครูลทำท่าจะเซฟได้ไม่ยากแต่บอลไปสะกิดหัวซิมสันเข้าประตูไปให้ลิเวอร์พูลนำ 2-1

          นิวคาสเซิลพยายามเปิดเกมรุกบ้าง แม้จะไม่ต่อเนื่องนักแต่ก็ทำได้ดีในระดับนึง เริ่มเข้ามาใกล้เขตโทษได้มากขึ้น นาที 71 บาวิ่งตัดหลังแอกเกอร์เข้าถึงบอลก่อนเรน่าและแปบอลผ่านตัวไปแล้ว แต่สเคอเทลสกัดจากหน้าเส้นประตูได้อย่างเหลือเชื่อ หลังจากนั้นเกมค่อนข้างเปิดเพราะนิวคาสเซิลดันเกมกันขึ้นมาสูงมากขึ้น ทำให้ลิเวอร์พูลมีพื้นที่ให้เล่นเกมรุกและหาโอกาสได้อีกเป็นระยะ จนมาทำได้ในนาที 78 จากเฮนเดอร์สันที่จ่ายทะลุขึ้นไปให้เจอราดลากบอลไปแปมุมแคบลอดครูลเข้าไปให้ ทีมนำห่าง 3-1

          หลังจากเสียประตูที่สาม นิวคาสเซิลเกมรวนไปทันทีและไม่สามารถตั้งเกมรุกได้เป็นชิ้นเป็นอันอีกเลย เป็นลิเวอร์พูลที่โต้กลับได้ลุ้นอีกหลายครั้งแต่ทำประตูเพิ่มไม่ได้ จบเกมเป็นลิเวอร์พูลที่แซงชนะได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของฤดูกาล 3-1
------------------------------------------

          เกมในวันนี้เป็นเกมที่มีคุณภาพมากจากทั้งสองฝั่ง ทางลิเวอร์พูลเองเล่นกันได้ดีแล้วแต่ถ้าเทียบกับเกมก่อนหน้า ยังถือว่าได้ลุ้นประตูแบบจะแจ้งไม่มากนัก ส่วนทางฝั่งนิวคาสเซิลมีเกมรับที่เหนียวแน่นมาก รวมไปถึงเกมรุกที่ถึงแม้ว่าจะกดดันได้ไม่ต่อเนื่องแต่เมื่อมีโอกาสก็ใช้ได้ คุ้มค่า และเกือบจะตีเสมอได้สำเร็จด้วยซ้ำ เป็นครั้งแรกของฤดูนี้ที่คู่ต่อสู้เล่นดีแล้วลิเวอร์พูลมีปัญญาเอาชนะได้


          ในด้านแทคติค วันนี้ต้องชมดัลกลิชที่ไม่เลือกเล่น 4-4-2 แต่หันมาใช้ 4-5-1 ตามทรัพยากรที่ใช้งานได้ การส่งสเปียริ่งลงสนามทำให้กองกลาง โดยเฉพาะอดัมกับเฮนเดอร์สันมีอิสระในการเล่นเกมรุกมาขึ้นกว่านัดก่อนๆ จะเห็นได้ว่าอดัมสามารถเติมขึ้นไปในเขตโทษบ่อยครั้งกว่าเดิม ส่วนเฮนเดอร์สันสามารถฉีกไปเล่นริมเส้นได้บ้างและไม่ต้องลงล้วงบอลในแดนตัว เองมากนัก นอกจากนั้นการหันมาไล่เพรซซิ่งเร็วในแดนกลางโดยอาศัยตัวผู้เล่น 5 คน ยังได้ผลในการทำให้เกมรุกของนิวคาสเซิลไม่ปะติดปะต่อและตัดบาออกจากเกมได้ด้วย นอกจากแทคติคแล้ว นักเตะลิเวอร์พูลเองก็ทำผลงานได้ดีในวันนี้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะนักเตะที่ฟอร์มดรอปไปในนัดก่อนๆ อย่างอดัม เฮนเดอร์สัน ดาวนิ่ง


          อีกสาเหตุหนึ่งของชัยชนะในวันนี้มาจากทางฝั่งนิวคาสเซิลด้วย การขาดลีออน เบสไปส่งผลต่อเกมรุกของนิวคาสเซิลเยอะกว่าที่คิด บาโดดเดี่ยวในแดนหน้า ส่วนนักเตะที่ลงมาแทนเบสอย่างวูคคิชหรือตัวสำรองอย่างอาร์ฟาทำอะไรไม่ได้เลย เมื่อดูจากประสิทธิภาพการจบสกอร์ของนักเตะนิวคาสเซิลแล้ว ถ้าวันนี้พวกเขามีเบสลงมาช่วยบาแล้วหาโอกาสได้มากกว่านี้ คนที่ต้องแพ้อาจไม่ใช่นิวคาสเซิลก็ได้ นอกจากเบสแล้ว นิวคาสเซิลยังมีปัญหาเรื่องความฟิตของนักเตะด้วย เนื่องจากสภาพทีมเล็ก ต้องใช้นักเตะชุดเดิมแทบทุกนัด บางคนพึ่งหายเจ็บก็ต้องลงเล่น บางคนเล่นได้แต่ก็ดูจะไม่ฟิตเต็มร้อย พอมาเจอการไล่เพรซซิ่งเลยทำให้ดูมีปัญหามากกว่าที่คิด


          เลยเสียสถิติยิงนำแล้วชนะรวดทุกนัดเลย....


----------------------------------

นัดนี้เล่นได้ดี

เรน่า - ไม่ได้ทำงานมากนัก ไม่มีข้อผิดพลาดในการออกมาตัดบอลและเปิดบอล ลูกที่เสียก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว


เอนริเก้ - หลายครั้งฝืนเก็บบอลไว้กับตัวได้ชวนหวาดเสียวมากแต่ก็เอาตัวรอดได้เกือบทั้งหมด ยังฟอร์มดีคงเส้นคงวา


แอกเกอร์ - เล่นได้ดีทั้งการดักตัดบอลและเข้าสกัด พาบอลขึ้นมาได้ดีหลายครั้งด้วย พลาดนิดหน่อยในจังหวะที่ปล่อยให้บาโฉบไปถึงบอลเกือบทำให้ทีมโดนตีเสมอ


สเคอเทล - แข็งแกร่งในการเข้าปะทะ ประกบบาได้ดี เซฟบอลบนเส้นได้ดีเหลือเชื่อในมุมที่ไม่น่าจะสกัดออกจากเส้นประตูได้แล้ว


จอห์นสัน - พลาดในจังหวะเสียประตูแรก ทั้งการสกัดไม่ดูตาม้าตาเรือและตามไปปิดพื้นที่ช้า แต่นอกนั้นก็เล่นได้ดีโดยเฉพาะเกมรุกที่เติมขึ้นไปได้ดีตลอดเกม กดดันแนวรับนิวคาสเซิลได้ดีกว่ากองกลางซะอีก


ดาวนิ่ง - เล่นได้ดีขึ้น ทำเกมด้วยการเลี้ยงจี้เข้าใส่กองหลังได้ดี ลดข้อผิดพลาดในการเล่นจังหวะสุดท้ายลงได้บ้างแล้ว


อดัม - เมื่อได้เล่นเกมรุกเต็มตัวทำได้ดีกว่าตอนที่ต้องเล่นทั้งรุกและรับ เล่นได้ดีกว่าเฮนเดอร์สันด้วยซ้ำ เหตุผลเดียวที่ถูกเปลี่ยนตัวออกไปเพราะดัลกลิชคงไม่อยากเปลี่ยนแทคติ คมากกว่า (อดัมเล่นสูงกว่าเฮนเดอร์สันเป็นส่วนใหญ่)


เฮนเดอร์สัน - เล่นได้ดีขึ้นกว่านัดที่แล้ว จ่ายทะลุให้เจอราดไปยิงได้ด้วย รวมไปถึงการไล่เพรซซิ่งก็ทำได้ดี แต่ฟอร์มโดยรวมยังแค่พอใช้ไม่ถึงขั้นดีมาก


สเปียริ่ง - กลางรับที่งานน้อยที่สุดในโลก เพราะมีคนอื่นคอยไล่ให้ตั้งแต่ข้างหน้า แค่รอสกัดบอลที่ทะลักเข้ามาเท่านั้น ที่ดีแบบแปลกๆ ในวันนี้คือสเปียริ่งที่ตัวเท่าลูกแมวโหม่งสกัดบอลกลางอากาศกองกลางนิวคาส เซิลได้เป็นส่วนใหญ่มันซะงั้น


เบลามี่ - ประสานงานกับเอนริเก้ได้ดี (ดีกว่าดาวนิ่งหรือมักซี่) ดูในเกมแล้วได้บอลน้อยกว่าและทำเกมรุกได้อันตรายน้อยกว่าดาวนิ่งอีก แต่เบลามี่มีทีเด็ดตรงความเด็ดขาด นอกจากจะยิงสองประตูแล้ว การครอสบอลรวมไปถึงลูกเตะมุมกดดันกองหลังนิวคาสเซิลได้ดีกว่านักเตะ(ตัวจริง)คนอื่นๆ


คาโรล - เล่นได้ดีทีเดียว ออกบอลจังหวะเดียวให้เพื่อนได้ดี เล่นลูกกลางอากาศพอใช้ได้และขยับหาตำแหน่งได้เร็วกว่านัดก่อนๆ ยิ่งพอมีเจอราดลงมาแล้วคาโรลได้โอกาสมากขึ้นกว่าเดิม แต่ดันทำบอลลั่นไป 1 ครั้ง โหม่งชนคาน 1 ครั้ง


ตัวสำรอง

เจอราด - อดัมเล่นได้ไม่เลว แต่เจอราดเล่นดีกว่ากันแบบเทียบไม่ได้ การหาโอกาสเปิดบอลเข้าเขตโทษให้คาโรลเป็นสิ่งที่อดัม(และเฮนเดอร์สัน)ทำไม่ ได้เลย พอเจอราดลงมาสามารถเปลี่ยนเกมได้ทันทีแบบไม่ต้องใช้เวลาในสนามอะไรมากมาย


เค้าท์ - ถ้าเบลามี่ไม่คิ้วแตกเลือดอาบคงไม่ได้ลง ยังอาศัยความขยันช่วยไล่บอลได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่กองกลางตัวอื่นๆ ช่วยกันไล่แบบนี้ยิ่งทำให้ทีมได้เปรียบ แต่นอกนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก


แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : เคร็ก เบลามี่...เจอราดลงมาเปลี่ยนเกม จอห์นสันเติมเกมได้สุดยอด แต่เบลามี่แสดงให้เห็นว่าการยิงประตูไม่ใช่เรื่องยาก ...แสดงให้ดูสองครั้งด้วยสิ

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ลิเวอร์พูล 1 - 1 แบล็คเบิร์น


...WTF...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-4-2

---------------ซัวเรส------คาโรล----------------
มักซี่-------อดัม------เฮนเดอร์สัน-------ดาวนิ่ง
เอนริเก้---แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน
-----------------------เรน่า-----------------------

          ลิเวอร์พูลได้เล่นในบ้านรับการมาเยือนของทีมบ๊วยของตารางอย่างแบล็คเบิร์นที่ขาดแนวรับตัวหลัวเกือบยกแผง มีเพียงแซมบ้าคนเดียวที่ลงได้ ดัลกลิชปรับมาเล่น 4-4-2 ใช้คาโรลกับซัวเรสยืนคู่กันข้างหน้าอีกครั้ง

-------------------------------------------------------

          เริ่มเกมลิเวอร์พูลก็เปิดเกมบุกใส่ทันที เ้น้นขึ้นบอลทางฝั่งขวา ส่วนแบล็คเบิร์นวิ่งไล่บอลและพยายามเปิดเกมรุกสู้ แต่ยิ่งเล่นก็ยิ่งถอยร่นกันลงไปรับลึกมากขึ้น ปล่อยให้ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายครองบอลใส่อยู่ฝ่ายเดียว แต่ลิเวอร์พูลเล่นกันช้าเลยเจาะแนวรับไม่ค่อยเข้า พอหาจังหวะได้บ้างแต่ก็ยิงหลุดกรอบไปเองเป็นส่วนมาก


          ก่อนหมดเวลาครึ่งแรก แบล็คเบิร์นได้ลูกเตะมุม เปิดมาทางเสาแรกแล้วเป็นอดัมที่สกัดผิดเหลี่ยมเข้าประตูไป ทีมเยือนขึ้นนำได้แบบงงๆ 1-0


          เข้าครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลเริ่มเกมแบบช๊อตๆ จ่ายบอลกันพลาดง่ายดูเสียสมาธิกันไปหมด ทางฝั่งแบล็คเบิร์นลงไปรับอย่างเดียว สกัดบอลทิ้งโดยแทบไม่สนใจที่จะทำเกมรุกโต้ขึ้นมา บอลยังคงเป็นของลิเวอร์พูลแทบทั้งหมด แต่จังหวะสุดท้ายยังเจาะกันเข้าไปไม่ค่อยได้ั


          แต่แล้วนาที 53 จากจังหวะต่อเนื่องจากลูกเตะมุม บอลกระดอนกลับเข้าไปในเขตโทษแล้วเป็นสเคอเทลที่ตักบอลมาทางเสาสองให้มักซี่ โหม่งเผาขนเข้าไปให้ลิเวอร์พูลตามตีเสมอ 1-1


          หลังจากนั้นเกมของลิเวอร์พูลดีขึ้นเล็กน้อย จ่ายบอลกันแม่นยำมากขึ้น แต่จังหวะสุดท้ายยังทำกันได้ไม่ดีพอ รวมไปถึงแผงกลางยังทำเกมรุกได้น้อยมากๆ ยิ่งเล่นลิเวอร์พูลยิ่งดูเนือยๆ ลงไป จนกระทั่ง นาที 69 เจอราดได้ลงมาแทนอดัมที่เล่นไม่ออก ลิเวอร์พูลถึงได้กลับมาเล่นอย่างกระฉับกระเฉงมากขึ้น


          นาที 81 เบลามี่ได้ลงแทนมักซี่ ลิเวอร์พูลพยายามเปิดเกมรุกเต็มที่แต่จังหวะสุดท้ายยังทำได้แค่ครอสบอลจากริมเส้นเข้าไปและเอาชนะกองหลังแบล็คเบิร์นไม่ได้ ส่วนแบล็คเบิร์นเริ่มเก็บบอลได้ดีขึ้นและหาจังหวะโต้กลับมาลุ้นประตูได้บ้าง แต่ก็ทำประตูเพิ่มไม่ได้ นาทีสุดท้ายของเกมลิเวอร์พูลยังได้ลุ้นประตูอีก 2 จังหวะแต่ยังติดเซฟโกลและคนคุมเสาไปอีก ทำให้จบเกมทำได้แค่เสมอ 1-1

------------------------------------------

          ดัลกลิชจัดแทคติคและจัดตัวลงสนามมาเน้นเกมรุกเต็มที่ ทั้งซัวเรสกับคาโรลที่ไม่ได้ลงเป็นตัวจริงคู่กันนานแล้ว ในแผงกลางก็ใช้แค่ 4 คน ที่เป็นตัวรุกทั้งหมด รวมไปถึงส่งเจอราดที่พึ่งฟิตเปลี่ยนลงมาด้วย ในส่วนของงานของดัลกลิชนั้นไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว เพราะแบล็คเบิร์นก็ไม่มีอะไรมารุก และทีมก็ได้ครองบอล มีอาวุธครบมือเท่าที่จะมีเล่นอยู่ในสนาม


          สาเหตุที่ทำให้ทีมได้แค่ผลเสมอนั้นชัดเจนมากว่ามาจากฟอร์มของนักเตะลิเวอร์พูลเองที่พร้อมใจกันเล่นต่ำกว่ามาตรฐาน โดยเฉพา่ะผู้เล่นในแดนกลางและแดนหน้าที่ทำผลงานได้ไม่น่าประทับใจเลย ในส่วนของการครองบอลและเชื่อมเกม วันนี้กลางคู่กลางของลิเวอร์พูลทั้งอดัมและเฮนเดอร์สันเล่นกันได้แย่มาก นอกจากจะไม่สามารถสร้างโอกาสในเกมรุกได้แล้ว กระทั่งผ่านบอลไปมาก็ยังจ่ายเสียกันไปเองบ่อยครั้ง เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ทีมถูกบีบให้ต้องไปจบด้วยการครอสบอลริมเส้น ซึ่งไม่ได้เปรียบกองหลังแบล็คเบิร์นมากนัก


          ยิ่งมองไปทางฝั่งแบล็คเบิร์นยิ่งน่าเสียดาย วันนี้แบล็คเบิร์นเองไม่ได้เล่นดีไปกว่านัดก่อนๆ เลย เก็บบอลไม่ได้ ครองบอลไม่อยู่ กระทั่งทำประตูยังต้องให้อดัมช่วยยิงให้ ในขณะที่เกมรับถึงแม้จะเสียแค่ประตูเดียวแต่ก็ใช่ว่าจะเล่นกันได้ดี แบคทั้งสองฝั่งแทบจะหยุดริมเส้นของลิเวอร์พูลไม่ได้เลย แต่เป็นริมเส้นของลิเวอร์พูลเองที่เล่นจังหวะสุดท้ายกันไม่ดีไม่ว่าจะยิง หรือจ่าย ดูแล้วยิ่งเครียด...

...นี่หรือทีมที่เก็บ 1 แต้มกลับออกไปได้จากแอนฟิลด์!!!...

----------------------------------

นัดนี้เล่นกันเกร็งๆ พาลเอาคนดูเกือบแทบชักกระตุก


เรน่า - ไม่มีอะไรผิดพลาด พอๆ กับที่ไม่มีอะไรให้ทำ


เอนริเก้ - แทบไม่ต้องเล่นเกมรับเลยยยยย ตลอดเกม ส่วนเกมรุกยกระดับจากนัดก่อนขึ้นมาได้บ้าง มีจังหวะฝืนเล่นมากไปหน่อยจนทำให้ทีมเสียโอกาสให้เห็นบ้าง


แอกเกอร์ - เป็นอีกนัดที่แทบไม่ต้องทำอะไร โผล่มาครั้งเดียวคือจังหวะที่ล้มเรียกจุดโทษ...ได้ใบเหลือง


สเคอเทล - เล่นได้ดี หนักแน่น ประกบยาคูบูจนทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันตลอดเกม ท้ายเกมดูสติหลุดไปบ้างแต่ก็ยังพอเอาตัวรอดได้


จอห์นสัน - เล่นเกมรุกอย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะจังหวะวิ่งเติม พาบอลไปกับตัวหรือล็อคบอลเข้าเขตโทษทำได้ดีไม่มีที่ติ ซึ่งตรงกันข้ามกับการเปิดบอลจังหวะสุดท้าย


ดาวนิ่ง - ฉีกไปรับบอลทางริมเส้นและพาบอลไปได้ดี แต่จังหวะสุดท้ายทำผิดพลาดไปหมด ฝืนยิงเองหลายครั้ง จังหวะโยนบอลก็แม่น


เฮนเดอร์สัน - หลอน...

อดัม - หลอนกว่า...

มักซี่ - คืนฟอร์มเดิม ไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับเกม แต่โผล่มาถูกที่ถูกเวลา น่าเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้อยู่ในสนามจนจบเกม


คาโรล - เล่นได้พื้นๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น หาโอกาสได้สองสามครั้ง ซึ่งนับว่าดูดีกว่านัดที่ผ่านมามากแล้ว ถ้าได้ลงเล่นต่อเนื่องน่าจะทำอะไรได้ดีกว่านี้


ซัวเรส - เล่นฝืนบ่อยครั้ง หลายทีล็อคบอลมากเกินไปจนทั้งตัวเองทั้งเพื่อนร่วมทีมเสียจังหวะ เล่นไม่ค่อยออก แต่ถึงอย่างนั้นตลอดเกมก็มีโอกาสยิงตั้ง 6-7 ครั้ง ...หลุดกรอบเรียบ


ตัวสำรอง

เจอราด - กดดันบริเวณหน้าเขตโทษได้ดีกว่าอดัมในช่วงก่อนหน้า ดึงกองหลังเปิดทางให้ดาวนิ่งได้เล่นง่ายๆ หลายครั้ง


เบลามี่ - เปลี่ยนเกมไม่ได้ แต่มีส่วนร่วมกับเกมมากกว่ามักซี่ที่อยู่ในสนามก่อนหน้านั้น

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จะแบนซัวเรสก็แบนไปเถอะ แต่...

***เพื่อให้อ่านง่าย ขอตัดรายละเอียดอ้างอิงเยอะแยะวุ่นวายออก หากมีเนื้อหาส่วนไหนที่คิดว่าไม่ใช่ข้อเท็จจริง สามารถค้นหาข้อมูลที่มีอยู่ให้เกลื่อนโลกผ่านทาง google เพิ่มเติมได้ครับ***

ลำดับเหตุการณ์สำคัญคร่าวๆ

       - ในวันแดงเดือด ซัวเรสที่ฉีกตัวไปรับบอลทางริมเส้นบ่อยครั้ง ทำให้กระทบกระทั่งกับเอฟร่าอยู่ตลอดเกม แต่ในตอนนั้นยังไม่มีภาพหรือเหตุการณ์อะไรรุนแรงเกิดขึ้น ในรายงานของผู้ตัดสินก็ไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการเหยียดผิวใดๆ

       - เรื่องมาเกิดหลังจบเกมไปแล้ว เอฟร่าไปให้สัมภาษณ์กับสื่อในฝรั่งเศสว่าซัวเรสใช้คำพูดเหยียดผิวเขาระหว่างเกมหลายครั้ง
       - FA นำเรื่องนี้ไปดำเนินการต่อ ระหว่างนั้นซัวเรสปฏิเสธว่าไม่ได้เหยียดผิวเอฟร่า
       - ระหว่างการดำเนินการของ FA เอฟร่าให้การว่าซัวเรสใช้คำพูดเหยียดผิว แต่ไม่มีภาพถูกบันทึกไว้ในกล้อง และไม่มีพยานยืนยันว่าได้ยินซัวเรสใช้คำพูดเหยียดผิว อย่างไรก็ตาม ซัวเรสยอมรับว่าตัวเขาเรียกเอฟร่าด้วยคำเดียวกับที่เพื่อนร่วมทีมแมนฯยูใช้ เรียกเอฟร่า โดยไม่ไ่ด้คิด/ไม่มีเจตนาจะเหยียดผิว
       - FA มีรายงานคำตัดสินอย่างเป็นทางการให้แบนซัวเรส 8 นัด ตัดสินว่าผิดจริงตามข้อกล่าวหา โดยปราศจากการชี้แจงในรายละเอียดและไม่ได้ระบุถึงหลักฐานที่ใช้ประกอบการ ตัดสิน

          หลังจากมีคำตัดสินออกมา มีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย รวมไปถึงเห็นด้วยเพียงบางส่วน โดยมีสิ่งที่นำมาประกอบความเห็นของตัวเองแตกต่างกันไป


       - มองความสะใจและผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง แฟนบอลลิเวอร์พูลบางส่วนไม่ได้สนใจเนื้อหาแต่แรกแล้ว สนแต่่ว่าจะมาแบนซัวเรสไม่ได้ ในขณะที่แฟนบอลทีมอื่นๆ บางคนก็มองกลับกัน ประเด็นนี้จบข่าวไม่ต้องอธิบายอะไรกันอีก

       - มอง FA เป็นที่ตั้ง แฟนบอลบางกลุ่ม (ไม่ว่าจะแฟนบอลทีมไหน) ศรัทธาใน FA แบบไม่สนใจในรายละเอียด ถ้า FA บอกผิดคือผิด ถูกคือถูก ใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับ FA คือพวกดื้อแพ่ง หน้าด้านไม่ยอมรับความจริง ประเด็นนี้ยังพอมีเหตุผลอยู่บ้าง เพราะถ้าทุกทีมพร้อมใจกันไม่ฟังคำตัดสินของ FA ฟุตบอลอังกฤษคงไม่ต้องเตะกันแล้วล่ะ เพราะไม่มีใครยอมฟังใคร แต่สิ่งที่เป็นคำถามคือ ถ้าคนที่มีอำนาจ ตัดสินโดยพละการ ปราศจากข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้และยอมรับได้ในวงกว้าง มันเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นแล้วหรือ

       - มองที่ำคำพูดของซัวเรส อันเนื่องมาจากซัวเรสยอมรับว่าเขาใช้เรียกเอฟร่าด้วยคำที่เจ้าตัวไม่ได้ คิด/ไม่ได้ตั้งใจจะเหยียดผิว ซึ่งเอฟร่า, บางส่วนในสังคมอังกฤษ และผู้พิจารณาคดีนี้เห็นว่าเป็นคำพูดเหยียดผิว สำหรับผู้ที่เห็นด้วยก็มองว่าเมื่อซัวเรสพูดจริง ก็ควรตัดสินว่าผิด จะมาบอกว่าไม่ตั้งใจ หรือไม่เข้าใจวัฒนธรรมอังกฤษเป็นสิ่งที่ฟังไม่ขึ้นเพราะซัวเรสมาเล่นฟุตบอล ในอังกฤษ ซัวเรสเป็นฝ่ายที่ต้องทำความเข้าใจและปรับตัว ควรรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่ใช่ให้ผู้คนในอังกฤษไปเข้าใจเขา ในขณะที่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินมองว่า FA ควรใส่ใจกับเจตนาด้วย

          นอกจากนั้น การแบน 8 นัด ยังเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกัน FA ใช้อะไรตัดสินว่าโทษต้องเป็น 8 นัด แม้แต่ในกลุ่มคนที่เห็นด้วยกับคำติดสิน ยังมีหลายคนที่คิดว่าการแบน 8 นัดมันมากเกินไป ส่วนคนที่เห็นด้วยอย่างเต็มที่มองว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าการ สร้างบรรทัดฐานและบทลงโทษที่รุนแรงเพื่อขจัดการเหยียดผิวออกไปจากฟุตบอลอังกฤษ คำถามที่น่าสนใจต่อจำนวนนัดที่แบนคือ ถ้าเทียบกับการเข้าปะทะคู่ต่อสู้ กรณีที่ไม่ตั้งใจแต่ปะทะรุนแรงโดนแบนแค่ 3 นัด ตั้งใจ(ในเกม)และรุนแรงอาจจะเป็น 5 ในขณะที่คนที่ตั้งใจทำร้ายนอกเกมยังโดนแบนยาวได้ ถ้าอย่างนั้นกรณีซัวเรสโดนไป 8 นักเตะที่มีกรณีคล้ายๆ กันอย่างเทอรี่ ที่มีภาพจับได้เป็นหลักฐานและเป็นคนอังกฤษใช้ภาษาอังกฤษเตะบอลในอังกฤษมาตลอด มิต้องโดนสัก 16 นัด (เกือบครึ่งฤดูกาล) ละหรือ? บ้าไปหรือปล่าว?

          ถ้า FA ปล่อยเรื่องนี้ไปกับสายลม ไม่คิดจะอธิบายใดๆ เพิ่มเิติม วันหนึ่งเกิดนักเตะที่พร้อมจะทำอะไร " แปลกๆ " อย่างบาโลเตลี่ลุกขึ้นมากล่าวหาลอยลมว่านักเตะฝั่งตรงข้าม 6 คนใช้คำพูดเหยียดผิว แล้วเรื่องมันจะเป็นยังไง แล้วถ้านักเตะผิวสีใช้เรื่องนี้เป็นอาวุธในการทำลายล้างคู่ต่อสู้ ฟุตบอลอังกฤษจะเป็นอย่างไร ทาง FA วันๆ คงไม่ต้องทำอะไรนอกจากตรวจสอบเรื่องพรรณ์นี้ ส่วนทางฝั่งทีมฟุตบอลเองมิต้องเซนสัญญาพวกนักเตะผิวสีเพื่อป้องกันข้อครหา เรื่องเหยียดผิวกันหรือ อีกสัก 5-6 ปี ฟุตบอลอังกฤษจะกลายเป็นนักเตะผิวสี 22 คนเล่นกันในสนามมั้ย

          จะดีกว่ามั้ย? ถ้า FA ทำอะไรให้มันชัดเจน ว่ากันตามหลักฐานที่พิสูจน์ได้ ชี้แจงรายละเอียดของกระบวนการตัิดสิน รวมไปถึงกรอบมาตราฐานในการลงโทษ

ป.ล. เขียนเรื่องนี้แต่ไม่บอกความเห็นส่วนตัวก็ยังไงอยู่ ผมคิดว่าเรื่องนี้ ซัวเรสควรโดนแบน อันเนื่องมาจากมีการใช้คำพูดที่ทำให้ผู้ถูกกระทำ(เอฟร่า)รู้สึกว่าโดนเหยียด ผิวจริง ถึงแม้ว่าจะไม่มีเจตนา เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนอันเนื่องมาจากความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรมก็ตาม เพราะซัวเรสควรจะเรียนรู้และทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมของประเทศที่เขากำลังทำ งานอยู่ โทษแบน 3 นัด และคาดโทษแบนเพิ่มเติมอีกสามนัด หากมีการตัดสินโทษในข้อกล่าวหาเดียวกันภายในระยะเวลาที่ค้าแข้งอยู่ในอังกฤษ


Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วีแกน 0 - 0 ลิเวอร์พูล

...ยิงไม่ได้...อีกแล้ว...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-5-1

----------------------ซัวเรส----------------------
ดาวนิ่ง----อดัม----มักซี่---เฮนเดอร์สัน---เค้าท์
เอนริเก้---แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน
-----------------------เรน่า-----------------------

          ลิเวอร์พูลต้องเล่นเกมเยือนอีกหนึ่งนัด โดยออกไปเยือนวีแกนที่ผลงานเริ่มกระเตื้องขึ้นมา นัดนี้ดัลกลิชยังคงใช้แผงกลาง 5 คนแต่มีการปรับตัวผู้เล่นเล็กน้อย ดาวนิ่งไปเล่นทางซ้าย เค้าท์ทางขวา และมักซี่ได้เล่นตรงกลาง ส่วนนักเตะฟอร์มดีจากนัดก่อนอย่างเบลามี่กับเชลวี่ย์ต้องเริ่มเกมจากม้านั่งสำรอง

-------------------------------------------------------

          เริ่มเกมเป็นลิเวอร์พูลที่เร่งเข้าใส่ก่อน ไล่เพรซซิ่งสูงและดันเกมกันขึ้นมาสูง วีแกนไม่ทันได้ตั้งหลักตั้งตัวได้แต่สกัดทิ้งสลับกับวางบอลยาวให้กองหน้าไม่ สามารถตั้งเกมของตัวเองได้มากนัก ถอยลงมาตั้งแคมป์อยู่ในเขตโทษตัวเองอยู่ 8-9 คน ส่วนลิเวอร์พูลที่ดันกันขึ้นมาทั้งแผงแย่งบอลกลับได้เร็วทำให้เกมในช่วงต้น ป้วนเปี้ยนอยู่แถวเขตโทษวีแกนตลอด โอกาสยิงของลิเวอร์พูลได้มาเรื่อยๆ แต่ยังยิงไปติดเซฟติดกองหลังกันเสียหมด


          หลังจากเร่งอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมงแต่ทำกันไม่ได้ ลิเวอร์พูลก็เริ่มเล่นช้าลงบ้าง และจ่ายบอลพลาดกันมากขึ้น ทำให้วีแกนได้โอกาสครองบอล ทำเกมรุกสวนกลับมาได้มากขึ้น ก่อนจะจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 0-0

          เข้าครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลกลับมาเริ่มเกมพร้อมสติมากขึ้น หลังจากท้ายขึ้นแรกเกมรวนไปหมด เล่นช้าลงนิดหน่อยและพยายามเน้นการครองเกมมากกว่าจะเน้นการบุกเข้าใส่อย่างในครึ่งแรก ทำให้รูปเกมดูดีขึ้นกว่าท้ายครึ่งแรกไม่น้อย นาที 50 ลิเวอร์พูลมาได้ลูกจุดโทษจากลูกที่ซัวเรสตีลังกายิงแล้วกองหลังวีแกนทำแฮนบอล อดัมรับหน้าที่ยิง

...แต่ติดเซฟ

          หลังจากนั้นวีแกนก็เหมือนได้ใจ กล้าเปิดเกมรุกมากขึ้น ทำให้เกมเร็วขึ้นและเปิดแแลกกัน ทั้งสองฝ่ายมีโอกาสลุ้นประตูด้วยกันทั้งคู่แต่ยังทำอะไรกันไม่ได้ บอลจังหวะสุดท้ายยังเปิดกันได้ไม่ดีพอ  ผ่าน 1 ชั่วโมงไปวีแกนเน้นไล่เพรซซิ่งมากยิ่งขึ้นไปอีก กดดันจนทำให้ลิเวอร์พูลขึ้นบอลลำบากตั้งแต่แดนหลัง ส่วนเกมรุกก็อาศัยโมเสสป่วนแนวรับลิเวอร์พูลได้อยู่ตลอด

          นาที 72 เบลามี่กับเชลวี่ย์ได้ลงแทนเค้าท์กับมักซี่ โดยเบลามี่ไปเล่นทางซ้าย โยกดาวนิ่งไปทางขวา และเชลวี่ย์เล่นตรงกลาแทนตำแหน่งของมักซี่ แต่ยังไม่สามารถเปลี่ยนเกมได้มากนัก โอกาสส่วนใหญ่มาจากลูกตั้งเตะกับลูกยิงไกล(มาก) ซึ่งไม่ดีพอที่จะเอาชนะกองหลังวีแกน รวมไปถึงไม่สามารถขึงเกมรุกไว้ตลอด เพราะวีแกนสกัดบอลกันค่อนข้างดี ไม่เตะทิ้งเตะขว้าง

          นาที 87 ดัลกลิชวัดดวงด้วยการส่งคาโรลลงมาแทนซัวเรส แต่ไม่มีปาฏิหารย์ใดๆ เกิดขึ้น จบเกมไปด้วยผลเสมอ 0-0

------------------------------------------

          เป็นผลเสมอที่ให้ความรู้สึกเหมือนแพ้เอามากๆ ว่ากันด้วยเรื่องแทคติคและตัวผู้เล่นก่อน ผมไม่ติดใจเรื่องการเล่นแผงกลาง 5 คนมากนัก เพราะเกมนี้ทำให้เข้าใจว่าทำไมดัลกลิชถึงไม่เลือกใช้แค่ 4 คน เพราะขนาดมี 5 คนยังหยุดเกมตรงกลางของวีแกนไม่ค่อยได้เลย ถ้าใช้แค่ 4 มีบรรลัยแน่ รวมไปถึงเบลามี่กับเชลวี่ย์ที่ไม่ได้ลงตัวจริง พอจะเข้าใจได้ว่ามีโปรแกรมหนักรออยู่ การสลับตัวผู้เล่นลงมาแบบนี้ก็สมเหตุสมผลดี แต่ที่ดูจะติดใจอยู่บ้างคือการเปลี่ยนตัวที่ค่อนข้างช้า ในนัดอื่นๆ ที่เกมยังดีอยู่ หรือเป็นเกมที่พอใจได้กับผลเสมอการเปลี่ยนตัวในช่วงนาที 70 กว่านี้ไม่แปลก แต่กับเกมที่เน้นจะเอาชนะ ถึงขนาดดันกันขึ้นไปถึงครึ่งสนามทั้งทีมแบบนี้ น่าจะเปลี่ยนตัวเร็วกว่านี้สักหน่อย

          สาเหตุที่ผลงานไม่เป็นอย่างที่หวังมีอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือนักเตะลิเวอร์พูลเองหลายคนทำผลงานต่ำกว่ามาตรฐาน เค้าท์กับดาวนิ่งทำผลงานได้ไม่ดีนัก ในขณะที่นักเตะคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ดูจะหมดพลังงานไปกับการเร่งเกมในครึ่งชั่วโมงแรกไปมาก ในช่วงครึ่งหลังดูจะหมดแรงวิ่งและขยับตัวกันได้น้อยลง ที่เห็นชัดๆ เลยคืออดัม,จอห์นสันและเอนริเก้ ซึ่งอันที่จริงวิธีการแบบนี้จะสมบูรณ์ลงตัวได้ก็ต่อเมื่อเน้นแล้วทำประตูนำ ได้ แต่เมื่อทำไม่ได้ ครึ่งหลังก็เลยเล่นได้อย่างอยากลำบากอย่างนี้

          อีกสาเหตุหนึ่งคือการเล่นของวีแกน วีแกนเล่นเกมนี้ได้อดทนมาก ในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกที่โงหัวแทบไม่ขึ้น นักเตะวีแกนทุกคนสมาธิดีมาก และปิดพื้นที่ในเขตโทษกันได้แน่นหนาพอสมควร (ถึงอย่างนั้นยังโดนล่อเป้าไป 3-4 หน) และที่ต้องให้เครดิตมากคือการหันมาไล่เพรซซิ่งเต็มสนามตั้งแต่ช่วงกลางครึ่ง หลัง ทำได้เร็ว แม่นยำดีมาก จนเกมของลิเวอร์พูลไม่ปะติดปะต่อและกดดันพวกเขาไม่ได้ ถ้าวีแกนโชคดีกว่านี้อีกสักหน่อยอาจจะถึงขั้นชนะได้แล้วด้วยซ้ำ

          สิ่งที่ดีสำหรับลิเวอร์พูลในนัดนี้คือ ทีมยังคงหาโอกาสจบสกอร์ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และมีความกล้าที่จะเสี่ยงแลกเอาชนะ รวมไปถึงในช่วงเวลาโดนคู่ต่อสู้กดดันยังอุตส่าห์หาจังหวะตอบโต้ขึ้นมาจนได้ ลุ้นอยู่เป็นระยะ แต่ก็นั่นแหล่ะ สุดท้ายแล้วประเด็นคือ...

...ยิงไม่ได้อีกแล้ว!!!

----------------------------------

นัดนี้เล่นกันหนักไปทางไม่ดีเป็นส่วนใหญ่

เรน่า - ยืนตำแหน่งได้สุดยอด อ่านเกมดีและเซฟลูกอันตรายได้


เอนริเก้ - วิ่งจนขาอ่อน พะวงกับเกมรุกมากจนโดนจ่ายตัดหลังได้หลายทีเหมือนกัน


แอกเกอร์ - รักษาตำแหน่งได้ไม่ดีนัก ดักตัดบอลก่อนถึงกองหน้าได้น้อย เล่นไปหงุดหงิดไป


สเคอเทล - ลูกกลางอากาศทำได้ดี การสกัดหนักหน่วงใช้ได้ แต่ที่ไม่ดีคือวันนี้เสียฟาลว์ง่าย


จอห์นสัน - เล่นแทบจะเป็นปีกเลย นานๆ ทีถึงจะลงมาช่วยเกมรับบ้าง เล่นเอาคนซ้อนอย่างสเคอเทลแทบตาย


ดาวนิ่ง - down-ing


อดัม - ยิงจุดโทษได้ไม่ดีเอามากๆ ไม่เหมือนตอนอยู่แบล็คพูล แต่ไม่นับจังหวะนั้น นี่คือนักเตะที่ทำงานหนักที่สุดของลิเวอร์พูลแล้ว วิ่งเยอะ รับภาระหนักทั้งเกมรุกเกมรับ ทำได้ดีอยู่ราวๆ 1 ชั่วโมงก่อนจะเหลือแต่แรงเดินในช่วงท้ายเกม


เฮนเดอร์สัน - ช่วยแบ่งเบาภาระของอดัมได้น้อยไป เคลื่อนที่ในเกมรับน้อย ส่วนในเกมรุกก็ดูจะไม่ชอบเสี่ยงเวลาเจอไล่ แม้จะไม่มีข้อผิดพลาด แต่ควรจะทำอะไรได้มากกว่านี้


เค้าท์ - มีจังหวะวูบวาบ 2-3 ครั้ง แต่โดนรวมแล้ววันนี้ทำเกมแทบไม่ได้ ยิงก็ไม่ดี ไล่บอลก็ทำได้ไม่มาก


มักซี่ - ครึ่งชั่วโมงทำผลงานได้โดดเด่นที่สุด บอลจังหวะเดียวของเขาทำให้ทีมสร้างเกมรุกได้ดีต่อเื่นื่อง แต่ครึ่งหลังเหมือนไม่ได้เดินออกมาจากห้องแต่งตัว


ซัวเรส - โดนอัดล้มกลิ้งล้มหงาย เป็นวันที่ได้ง้างเท้ายิงน้อยมาก นอกจากเรียกฟาลว์ได้เป็นระยะๆ แล้วแทบจะไม่มีโอกาสทำอะไร


ตัวสำรอง

เบลามี่ - ได้บอลน้อย ไม่มีโอกาสทำอะไร


เชลวี่ย์ - เล่นช้าไปนิด โดนวีแกนไล่เร็วแล้วทำอะไรไม่ได้ พอจะเริ่มปรับตัวกับเกมได้...หมดเวลาซะก่อน


คาโรล - ไม่เหลือเวลาให้ทำอะไรทั้งสิ้น


แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : ชาลี อดัม...ทุ่มเทและมีสมาธิกับเกมตลอด แต่ดันยิงจุดโทษไม่เข้ามันซะงั้น ตอนอยู่แบล็คพูลนี่แทบจะใส่สกอร์รอได้เลย

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แอสตัน วิลล่า 0 - 2 ลิเวอร์พูล

...มาปิคนิค...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลปรับมาเล่น 4-5-1

----------------------ซัวเรส----------------------
เบลามี่---อดัม---เชลวี่---เฮนเดอร์สัน---ดาวนิ่ง
เอนริเก้---แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน
-----------------------เรน่า-----------------------

          ลิเวอร์พูลออกไปเยือนวิลล่าที่ไม่มีทั้งอักบาลาฮอล์และเบนท์ ปรับแทคติคด้วยการเพิ่มแผงกลางเป็น 5 คน โดยส่งเชลวี่ย์กับเบลามี่เป็นตัวจริง นอกนั้นก็ยังเป็นทีมชุดเดิม

-------------------------------------------------------

          เริ่มเกมทั้งสองฝ่ายเล่นกันแบบระวังตัว วิลว่านั้นวิ่งไล่เพรซซิ่งสูงและดักล้ำหน้า ส่วนลิเวอร์พูลเล่นช้าเคาะหาช่อง เ้น้นขึ้นเกมทางริมเส้นจากการทำเกมของเบลามี่และดาวนิ่ง เล่นไปเล่นมาเกมก็เปิดมากขึ้นและเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ นาที 11 ลิเวอร์พูลได้ลูกเตะมุมครั้งแรกของเกม ดาวนิ่งเปิดเรียดเข้ามาทางเสาแรก เชลวี่ย์ตอกส้นเข้ากลาง ซัวเรสที่ถลำไปเล็กน้อยพยายามเปลี่ยนทางบอลไปติดโกล แต่บอลเด้งออกมาเข้าทางเบลามี่ซ้ำเผาขนเข้าไป 1-0

          หลังจากได้ประตูนำ เกมของลิเวอร์พูลยังดีต่อเนื่อง นาที 15 มาได้ลูกเตะมุมอีกครั้งคราวนี้เป็นเบลามี่เปิดเข้ามาให้สเคอเทลโฉบมาโหม่ง ที่เสาแรกไปเสียบเสาสองให้ลิเวอร์พูลนำห่างเป็น 2-0

          กรรมการเป่าหมดเวลา และจบเกม..มะ..ไม่ใช่สิ!

          วิลล่าที่ตาม 2 ประตูเริ่มตั้งสติค่อยๆ กลับมาตั้งเกมของตัวเองได้ดีมากขึ้น แต่เกมรุกก็ไม่กดดันและไม่มีความต่อเนื่อง ลิเวอร์พูลยังคงตัดบอลขึ้นมาเปิดเกมรุกได้เป็นระยะๆ แต่ดูเหมือนไม่ค่อยเน้นเท่าไหร่ ก่อนจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 2-0

          เข้าครึ่งหลัง วิลล่าหันมาดันสูงเปิดเกมรุกเต็มที่ แต่การขึ้นบอลพลาดตรงกลางสนามทำให้ลิเวอร์พูลโต้ขึ้นมาเกือบได้ประตูอยู่ 2-3 จังหวะตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง นาที 57 วิลล่าเปลี่ยนแบนแนนแทนเฮสกีและทำให้เกมของวิลล่าออกทะเลไปไกลไม่เห็นฝั่ง แม้จะครองบอลได้มากขึ้นแต่บอลสุดท้ายไร้คุณภาพ ได้แค่ลุ้นจากลูกยิงไกล (มากๆ) เป็นระยะและไม่กดดันเรน่าแม้แต่น้อย ส่วนลิเวอร์พูลยังอาศัยตัดบอลที่วิลล่าจ่ายกันพลาดขึ้นมาโต้อยู่เรื่อยๆ เช่นกัน

          เกมค่อนข้างอืด และไม่มีจังหวะลุ้นประตูกันมากนัก นาที 74 คาโรลลงแทนซัวเรส ลิเวอร์พูลยังเล่นกันแบบสบายๆ เน้นครองบอลมากกว่าจะบุกกดดันเอาประตูเพิ่ม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้พาบอลไปป้วนเปี้ยนแถวเขตโทษได้มากกว่าวิลล่าที่ พยายามเปิดเกมรุกซะอีก

          นาที 83 คาราเกอร์ได้ลงแทนเชลวี่ ต่อด้วยเค้าท์แทนเบลามี่ในนาที 88 ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะปิดเกมไปได้แบบสบายราวกับมาปิคนิคกันที่วิลล่า พาร์ค 2-0

------------------------------------------

          นัดก่อนพึ่งจะบ่นไปว่า ลิเวอร์พูลได้ลูกเตะมุมเยอะในฤดูนี้แต่ใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้ มานัดนี้ลูกทีมของดัลกลิชเลยจัดให้ดูกันสองดอกเน้นๆ ใช้โอกาสลูกเตะมุมสองครั้งแรกของเกมเปลี่ยนเป็น 2 ประตูตั้งแต่ช่วงต้นเกมและทำให้ทีมเล่นได้ง่าย และเป็นจุดเปลี่ยนที่ตัดสินเกมในวันนี้ด้วย


          เกมหลังจากนั้นลิเวอร์พูลผ่อนลงไปมาก เล่นแบบครองบอลไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะดูว่าจืดชืดขัดใจแฟนบอลไม่น้อย แต่ถ้าหันไปดูทางคู่ต่อสู้ การเล่นแบบนี้ของลิเวอร์พูลสามารถพูดเต็มปากได้ว่าเลือกได้ถูกต้องแล้ว เพราะแทนที่จะเน้นเกมรุกบุกให้ตายแล้วเสี่ยงกับการโดนโต้กลับเสียประตู สู้เล่นสบายๆ ตั้งรับเกมรุกที่ไม่ได้เรื่องของวิลล่าน่าจะง่ายกว่า

          แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เกมในวันนี้ออกมาเป็นแบบนี้คือเกมรุกของวิลล่า วิลล่าที่ขาดทั้งเบนและอักบาลาฮอล์ ไม่มีทั้งตัวจบสกอร์ ไม่มีทั้งตัวทำเกม ไม่สามารถทำเกมรุกที่มีประสิทธิภาพได้เลยตั้งแต่นาทีแรกยันนาทีสุดท้าย การขึ้นบอลขาดประสิทธิภาพหลายครั้งที่จ่ายเสียกันไปเองทั้งที่นักเตะลิเวอร์พูลยังไม่ทันได้ไล่กดดันอะไรมากนัก ไม่สามารถพาบอลเข้ามาถึงในเขตโทษได้เลยตลอดเกม ไม่สามารถครอสบอลที่กดดันกองหลัง ลูกยิงไกลก็ไร้น้ำหนัก ส่งผลให้วิลล่้าแพ้ไปแบบไม่ีมีลุ้นในที่สุด

          อย่าง ไรก็ตาม ลิเวอร์พูลยังดูมีปัญหาเล็กน้อยกับการไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับ นัดนี้ดัลกลิชใช้วิธีส่งเชลวี่ย์ลงมาช่วยอดัมกับเฮนเดอร์สันซึ่งได้ผลในระดับนึง แต่ก็ไม่สามารถปิดเกมกลางสนาม-หน้าเขตโทษของตัวเองได้ดีนัก วิลล่ายังได้ตั้งป้อมยิงไกลอยู่เป็นระยะ ไม่เหมือนตอนที่มีลูคัสอยู่ในสนามที่คู่ต่อสู้แทบจะไม่ได้ง้างเท้ายิงไกลเลย นอกจากนั้นการใส่กลางมา 5 ตัวยังทำให้ซัวเรสค่อนข้างโดดเดี่ยวในแดนหน้าด้วย


          ...แต่เหงาๆ แบบนั้น ซัวเรสก็ยังอุตส่าห์ทำได้ 1 เซฟ 1 คาน 1 เสา เลยนะนั่น!...


----------------------------------

นัดนี้เล่นกันแบบประคองตัว

เรน่า - ไม่ได้เซฟสักลูก มีออกมาตัดบอลโด่งได้ดี 2-3 ครั้ง นัดนี้เตะเปิดเกมเข้าขั้นแย่มาก


เอนริเก้ - จัดการกับปีกวิลล่าได้เด็ดขาด มีเกมรับที่ดีเช่นเดิม วันนี้ไม่ค่อยเติมเกมรุก


แอกเกอร์ - แทบไม่ได้ทำอะไร ว่างงานสุดๆ ส่วนใหญ่มีหน้าที่แค่เคาะบอลไปมา


สเคอเทล - ประกบกองหน้าและเล่นลูกกลางอากาศได้ดี ทำประตูได้ด้วย แต่เสียฟาลว์ง่ายไปหน่อย


จอห์นสัน - ดักจังหวะตัดบอลก่อนถึงผู้เตะวิลล่าได้ดี แต่ส่วนใหญ่เล่นไม่ค่อยระวัง เติมเกมรุกมาก หลายจังหวะที่วิ่งลอยอยู่ในแนวเซนเตอร์ของวิลล่าด้วยซ้ำ ยังดีว่าไม่มีข้อผิดพลาดอะไร


เบลามี่ - ยิง 1 จ่าย 1 ขยันวิ่ง ช่วยเกมรับ และมีจังหวะสปีดแซงแบควิลล่าให้ดูเป็นระยะ เป็นวันที่เล่นได้ดีมาก


อดัม - ยังคงกระจายบอลให้เพื่อนได้ดีอยู่ แต่มีเชลวี่มาแบ่งเบาภาระในเกมรุก เลยไม่ค่อยได้ผ่านบอลสวยๆ เท่าไหร่ วันนี้เล่นหนักไปทางเกมรับ เล่นไม่ค่อยเนียนนัก เข้าแต่ละจังหวะหวาดเสียวว่าจะเสียฟาลว์อยู่ตลอด


เฮนเดอร์สัน - หนักไปทางเคาะบอลไปมา ดีมากในเรื่องการเอาตัวรอด ไม่จ่ายบอลพลาด ไม่โดนแย่งบอล เชื่อมเกมแดนหลังกับกลางและริมเส้นได้ดี แต่ไม่มีจังหวะทีเด็ดทีขาดให้เห็นเลย ไม่ว่าจะเลี้ยงจี้ ยิงไกล หรือคิลเลอร์พาส


เชลวี่ย์ - เล่นเกมรุกเต็มตัว ทำได้ดีในการเล่นบอลจังหวะเดียว ทำให้จังหวะเข้าทำวันนี้ลิเวอร์พูลทำได้เร็วน่าพอใจ แต่การยิงไกลและการตัดสินใจในจังหวะสุดท้ายว่าจะยิงหรือจ่ายทำได้ไม่ดีนัก

ดาวนิ่ง - เล่นไปเครียดไป ทำได้ดีทุกอย่างไม่ว่าจะลงไปช่วยเกมรับ ตัดบอลกลางสนาม เลี้ยงจี้ แต่ไปตกม้าตายจังหวะสุดท้ายทุกครั้ง


ซัวเรส - ต้องชงเองกินเองทั้งเกม และยังทำได้ดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้บอลหรือทำชิ่งหรือหาจังหวะิยิงเอง เกือบทำแฮททริคได้ด้วยซ้ำ แต่ก็ทำได้แค่ 1 เซฟ 1 คาน 1 เสาอย่างที่ว่า



ตัวสำรอง

คาโรล - พอเพื่อนไม่เน้นก็ไม่เน้นไปด้วย ไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไหร่ หลายครั้งที่วิ่งเข้าไปในเขตโทษช้าเหลือเกิน บอลโด่งก็เบียดสู้กองหลังวิลล่าไม่ได้ เก็บบอลไม่ได้


คาราเกอร์ - ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากโดนเอนซอกเบียหลอกจนหัวหมุนไปรอบนึง


เค้าท์ - ได้ครอสบอลเข้าเขตโทษให้คาโรลหนนึง และแน่นอน...มันแรงไป

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : เคร็ก เบลลามี่...อันที่จริงซัวเรสก็ทำได้ดีมากในนัดนี้แต่ไม่มีประตูจากเขา เลยขอยกให้คนที่ยิง 1 จ่าย 1 และมีส่วนร่วมกับเกมตลอดอย่างเบลลามี่แทนก็แล้วกัน

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ลิเวอร์พูล 1 - 0 ควีนส์ปาร์คเรนเจอร์

...เผ็ด...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลกลับมาเล่น 4-4-2

--------------ซัวเรส-------เค้าท์-----------------
มักซี่-------อดัม-------เฮนเดอร์สัน-----ดาวนิ่ง
เอนริเก้---แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน
-----------------------เรน่า-----------------------

_______ ลิเวอร์พูลกลับมาเล่นในบ้านเจอกับ QPR ในแดนหน้าคาโรลยังเป็นแค่ตัวสำรอง โดยมีซัวเรสจับคู่กับเค้าท์ ในแดนกลางต้องปรับค่อนข้างมาก มักซี่กับดาวนิ่งได้เป็นตัวจริงทั้งคู่ ส่วนตรงกลางใช้อดัมกับเฮนเดอร์สัน โดยแผงหลังยังใช้ชุดเดิม

-------------------------------------------------------

_______เิริ่มเกมมาลิเวอร์พูลก็บุกใส่ โหมเกมตั้งแต่ต้น ส่วน QPR ใช้วิธีประกบติดและวิ่งเร็วในแดนกลาง เข้าปะทะหนัก แต่ยังเปิดช่องให้ลิเวอร์พูลทำเกมค่อนข้างมาก ทำให้ลิเวอร์พูลมีโอกาสกดดันถึงในเขตโทษบ่อยครั้ง และได้จบสกอร์อย่างต่อเนื่องแต่ยังไม่เป็นประตู

_______ผ่าน 15 นาทีแรกไป QPR เริ่มปิดพื้นที่กันได้ดีขึ้น แต่ตัวเองก็ตั้งเกมรุกขึ้นมาไม่ได้ ส่วนลิเวอร์พูลแม้จะบุกกดดันได้น้อยลง แต่ยังสามารถหาโอกาสจบสกอร์ได้เป็นระยะ รวมถึงลูกเตะมุมที่ได้เยอะมาก แต่ก็ยังเปลี่ยนเป็นประตูไม่ได้เหมือนเดิม ยิ่งเวลาผ่านไปโอกาสของลิเวอร์พูลหาได้น้อยลงเรื่อยๆ ก่อนจะจบครึ่งแรกที่สกอร์ 0-0

_______เข้าครึ่งหลังโดนบอล ยังไม่ทันจะครบทุกคน นาที 47 จากจังหวะต่อเนื่องจากลูกเตะมุม อดัมได้ตั้งป้อมโยนจากริมเส้นด้านซ้าย ซัวเรสที่ยืนอยู่โล่งๆ คนเดียวขึ้นโหม่งเสียบตาข่ายได้สำเร็จ 1-0

_______หลังจากได้ประตูขึ้นนำ ลิเวอร์พูลชลอเกมลงไปบ้าง เน้นเคาะบอลหาช่องไปเรื่อย ส่วน QPR เิริ่มหันมาเปิดเกมรุก และดันกันขึ้นมาสูงมากขึ้นกว่าในครึ่งแรก สามารถทำเกมเจาะตรงกลางได้ดีมากขึ้นเพราะพื้นที่หน้าเขตโทษของลิเวอร์พูลค่อนข้างหลวม แต่ยังยิงกันไม่เข้ากรอบ เมื่อ QPR ดันกันสูงขึ้น ลิเวอร์พูลเปลี่ยนมาใช้บอลยาววางไปที่ว่างอย่างได้ผล มีโอกาสจบสกอร์อีกเป็นระยะ และลูกเตะมุมที่ยังได้ต่อเนื่องแบบบ้าคลั่ง แต่ก็ยังทำประตูหนีห่างไม่ได้

_______ผ่านชั่วโมงแรกของ เกมไป QPR เริ่มบุกได้ต่อเนื่องมากขึ้น ในขณะที่ลิเวอร์พูลเริ่มเน้นเกมรับและโต้ไม่ค่อยขึ้น นาที 78 เบลามี่ได้ลงแทนมักซี่ QPR ยังคงบุกกดดันต่อจนลิเวอร์พูลต้องถอยกันไปรับถึงหน้าเขตโทษ เข้าช่วง 10 นาทีสุดท้าย QPR แทบจะครองบอลอยู่ฝ่ายเดียว แต่ยังเจาะเข้าไปได้ลำบากและยังหาโอกาสยิงเข้ากรอบไม่ได้

_______นาที 86 เชลวี่ย์ได้ลงแทนดาวนิ่ง ลิเวอร์พูลเน้นรับเต็มที่และประคองตัวไปได้จนจบเกม เบียดชนะได้สำเร็จ 1-0

------------------------------------------

_______ทั้งๆ ที่ทีมไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับแท้ๆ เหลืออยู่เลยในผู้เล่นชุดใหญ่ แต่วันนี้ดัลกลิชก็ยังคงเลือกใช้ 4-4-2 และใช้เพียงแค่อดัมกับเฮนเดอร์สันตรงกลาง ไม่ได้เพิ่มใครลงไปช่วย ซึ่งอันที่จริงรูปเกมที่ออกมาก็ต้องบอกว่าดัลกลิชเลือกถูก เกมรุก QPR ไม่มีดีมากพอที่จะเจาะเกมรับของลิเวอร์พูล เกมรุกลิเวอร์พูลก็ยังดีอยู่ หาโอกาสยิงได้เยอะสุดๆ เสียแต่ว่าจังหวะจบสกอร์ลิเวอร์พูลใช้โอกาสเปลือง เปลืองมากๆ เปลืองชนิดที่เรียกว่าถ้าเทียบกับการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ก็คงเผ็ดกันไปตั้งแต่ต้นยันปลายน้ำแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจจะชนะขาดสักครึ่งโหลก็ได้


_______นอกจากเรื่องเดิมๆ อย่างการจบสกอร์แล้ว วันนี้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับลูกเตะมุมซึ่งได้มาเกือบ 20 หน แต่ลิเวอร์พูลไม่สามารถใช้โอกาสตรงนี้กดดันได้มากนัก อย่าว่าแต่ได้โหม่ง แค่เบียดโหม่งให้โดนบอลยังทำได้น้อยมาก รวมไปถึงลูกพลิกแพลง, ความหลากหลายในการเล่นลูกเตะมุมก็ยังไม่มีให้เห็น ซึ่งน่าเสียดายเพราะเกมรุกนั้นทำกันได้ดีแล้วส่งผลให้ในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลได้ลูกเตะมุมค่อนข้างเยอะ ถ้าปรับปรุงตรงส่วนนี้ได้น่าจะทำให้เกมต่อๆ ไปเล่นกันได้ง่ายกว่านี้


_______ทางฝั่ง QPR ต้องบอกว่าผู้เล่นในแดนกลางสร้างประโยชน์ในเกมรุกได้น้อยไปหน่อย ทั้งๆ ที่ลิเวอร์พูลเปิดพื้นที่หน้าเขตโทษให้เยอะแล้ว แต่ทั้งลูกยิงไกล ทั้งการจ่ายทะลุช่องของ QPR แทบไม่มีให้เห็นเลย ส่วนที่เห็นถ้าไม่หลุดกรอบไปไกลก็ติดกองหลังหมด ส่วนเกมรับก็ปิดพื้นที่กันได้ไม่ดีนัก เปิดช่องให้ลิเวอร์พูลตลอดเกม


_______...ก็สมควรแล้วล่ะ...
----------------------------------

นัดนี้เล่นกันได้ดีเป็นส่วนใหญ่

เรน่า - งานสบาย รายได้ดี ยิ่งกว่าโฆษณารายได้เสริมทางอินเตอร์เนต ไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งเกม มีโชว์การวางบอลยาวสวยๆ ให้เห็นอยู่ 2-3 ครั้ง


เอนริเก้ - เป็นอีกเกมที่เติมเกมรุกได้ไม่น่าพอใจนัก และเกมรับในช่วงที่ QPR ดันกันขึ้นมาเยอะก็ดูจะมีปัญหาอยู่บ้าง ยังดีว่าพอเอาตัวรอดไปได้


แอกเกอร์ - ยังอ่านทางบอลที่จะทะลักเข้าเขตโทษและดักสกัดได้ดีอยู่ แต่โดยรวมก็ไม่มีอะไรให้ทำมากนัก


สเคอเทล - งานเข้าเยอะที่สุดในทีม มีหลายจังหวะที่เล่นหวาดเสียวไปบ้าง แต่โดยรวมทำได้ดีมาก แข็งแกร่งทั้งการประกบ, ปะทะ และการเล่นลูกกลางอากาศ


จอห์นสัน - เกมรุกจืดสนิท ส่วนเกมรับทำได้ดีพอใช้


มักซี่ - เล่นผิดฟอร์ม วันนี้มีส่วนร่วมกับเกมเยอะมาก และส่วนใหญ่เป็นจังหวะสำคัญ แต่โอกาสคงมากไปเลยยิงไม่ได้สักลูก


อดัม - ยังคงเป็นแกนหลักในเกมรุก เอาตัวรอดจากการโดนบีบเร็วได้ดี วางบอลสวยๆ หลายครั้ง รวมไปถึงเป็นคนเปิดให้ซัวเรสทำประตูได้ด้วย


เฮนเดอร์สัน - หน้าที่หลักเป็นเกมรับและทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ ที่ทำได้ดีคือการถ่ายบอล และเล่นได้แน่นอนไม่ถูกตัดบอลตรงกลางสนาม


ดาวนิ่ง -ต้นเกมดูวูบวาบมาก แต่หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้บอลแล้วก็ค่อยๆ หายไปจากเกม


เค้าท์ - ทำได้ดีในการรับบทเป็นกระสอบทรายเคลื่อนที่คอยเบียดปะทะกับกองหลัง ให้บอลค่อนข้างดีไม่ค่อยพลาด แต่หาโอกาสยิงเองแทบไม่ได้ และมีส่วนร่วมกับจังหวะจบสกอร์น้อยมากๆ


ซัวเรส - เคลื่อนที่และหาตำแหน่งได้ดีมาก ทำให้ได้บอลเล่นบ่อยครั้ง จังหวะสุดท้ายส่วนใหญ่ยังออกทะเลเหมือนเดิม แต่ยังดีที่ทำประตูชัยให้ทีมได้


ตัวสำรอง

เบลามี่ - พอลงมากลายเป็นทีมเริ่มหันไปตั้งรับ ไม่ค่อยได้บอลและแทบไม่มีส่วนกับเกม


เชลวี่ย์ - ลงมาช่วยเกะกะขวางทางนักเตะ QPR


แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : ชาลี อดัม ... แม้ว่าสเคอเทลจะเล่นได้อย่างโดดเด่นเด้งทะลุหน้าจอ แต่อดัมวันนี้ทำเกมรุกได้ดีโดยเฉพาะการให้บอลที่ทำให้เพื่อนได้เปรียบอยู่ ตลอด, ทำแอสซิสต์ รวมไปถึงการส่งเฟอร์ดินานออกนอกสนามได้ด้วย

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ฟูแล่ม 1 - 0 ลิเวอร์พูล



ยิงไม่เข้า...แล้วจะเอาอะไรไปชนะ

--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลปรับมาเล่น 4-3-3


------ซัวเรส-------คาโรล------เบลามี่----------
-------อดัม-----สเปียริ่ง-----เฮนเดอร์สัน-------
เอนริเก้---แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน
-----------------------เรน่า-----------------------

          ลิเวอร์พูลลงเล่นมันเดย์ไนท์ออกไปเยือนฟูแล่มโดยไม่มีลูคัสที่เจ็บยาวไปเรียบร้อย ปรับมาเล่น 4-3-3 ส่งทั้งซัวเรส,คาโรล และเบลามี่ลงพร้อมกัน ในแดนกลางเป็นอดัม,สเีปียริ่งและเฮนเดอร์สัน ส่วนแผงหลังยังใช้ชุึดหลักชุดเดิม

-------------------------------------------------------

          เริ่มเกมมาทั้งสองฝ่ายเล่นกันค่อนข้างระวังตัว ทางฝั่งลิเวอร์พูลเล่นช้าเน้นความแน่นอนเคาะหาช่องไปเรื่อยๆ ส่วนฟูแล่มเน้นเกมรับยืนปิดพื้นที่กันแ่น่น คอยหาจังหวะสวนกลับเร็ว ต้นเกมเป็นลิเวอร์พูลที่เปิดเกมรุกเต็มที่มีแบคสองฝั่งเติมสูงและแดนหน้ามีทางเลือกมากได้โอกาสผ่านบอลไปถึงพื้่นที่สุดท้ายเป็นระยะ แต่จังหวะยิงยังไม่ดีพอที่จะผ่านกองหลัง ชวาเซอร์และเสาประตูได้ทำให้ยังไม่สามารถทำประตูขึ้นนำ

          เกมเป็นของลิเวอร์พูลราว 15 นาที ฟูแล่มก็ปิดพื้นที่กันได้ดียิ่งขึ้นทำให้ลิเวอร์พูลเริ่มโดนดันถอยห่างจากเขตโทษ ในขณะที่ฟูแล่มตอบโต้ด้วยการยิงไกลจากนอกกรอบทุกครั้งที่มีโอกาสและทำกันได้ดีระดับหนึ่งแต่ยังไม่ผ่านมือเรน่า เวลายิ่งผ่านไปลิเวอร์พูลแม้จะยังหาจังหวะพาบอลเข้าไปถึงเขตโทษได้บ้างแต่ก็น้อยลงเรื่อยๆ กลับกันกับฟูแล่มที่มาป้วนเปี้ยนแถวหน้าเขตโทษลิเวอร์พูลได้มากขึ้น แต่สุดท้ายยังทำอะไรกันไม่ได้ จบครึ่งแรกยังเสมอกันอยู่ 0-0

          เข้าครึ่งหลังรูปเกมยังคงเหมือนครึ่งแรก ลิเวอร์พูลโหมบุกตั้งแต่ต้นและกดดันได้อย่างหนักจากลูกเตะมุมติดต่อกันแต่ยังทำประตูไม่ได้ ส่วนฟูแล่มเริ่มครองบอลได้มากขึ้นแต่ยังเล่นอย่างระวัง ไม่ได้ดันกันขึ้นมาทั้งแผง ใช้ตัวผู้เล่นน้อยเน้นจังหวะทำเร็วฉาบฉวย เกมเปิดมากขึ้นแต่ค่อนข้างสูสีไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ

          แต่แล้วนาที 72 เกมก็เปลี่ยน สเปียริ่งเข้าสกัดบอลแต่ไปเสียบเอาเ้ดมเบเล่ไปด้วย ผู้ตัดสินชักใบแดงไล่ออกทันทีทำให้ลิเวอร์พูลเหลือแค่ 10 คน ฟูแล่มได้ครองบอลมากขึ้น นาที 77 ดัลกลิชตัดสินใจเปลี่ยนเอาคาโรลกับเบลามี่ออกแล้วส่งเค้าท์กับดาวนิ่งลงไป แทน ฟูแล่มเปิดเกมรุกมากขึ้นและกดดันอยู่แถวหน้าเขตโทษลิเวอร์พูลได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนลิเวอร์พูลยังพยายามบุกตอบโต้ขึ้นไปบ้างแต่จังหวะสุดท้ายยังทำกันได้ไม่ดีพอจะเป็นประตู

          ฟูแล่มมาทำสำเร็จในนาที 85 เรน่ารับลูกยิงไกลแถวริมเส้นเขตโทษกระฉอก โดนเดมซี่ปรี่เข้ามาซ้ำให้ฟูแล่มนำ 1-0 หลังจากนั้นฟูแล่มก็เคาะครองบอลดึงเวลาและปิดเกมไปได้สำเร็จ 1-0

------------------------------------------

          ดัลกลิชตัดสินใจเ้ปิดหน้าแลกเต็มที่ด้วยการส่งกองหน้าลงมา 3 คน รวมไปถึงแบคสองฝั่งที่เติมขึ้นสูงตลอด หวังจะใช้เกมรุกบดเอาชนะฟูแล่มให้ได้ ซึ่งถ้าดูจากรูปเกมในช่วงก่อนจะเหลือ 10 คนแล้ว ดัลกลิชตัดสินใจได้ถูกต้อง แม้รูปเกมจะไม่ได้จับฟูแล่มขึงพืดอยู่ครึ่งสนาม แต่ลิเวอร์พูลสามารถสร้างโอกาสในการยิงประตูได้เยอะ กองหน้าทั้ง 3 คนต่างมีโอกาสยิงคนละ 2-3 ครั้ง (รวมกันก็เป็น 10 แล้วนะเนี่ย) แต่กลับทำไม่ได้กันไปเอง แม้กระทั่งตอนที่เหลือ 10 คนแล้ว การเปลี่ยนตัวของดัลกลิชก็ยังลุ้นที่จะประตูไม่ได้เน้นเปลี่ยนมาเพื่อเน้นอุดเอาผลเสมอ เกือบจะทำได้ด้วยทั้งจากดาวนิ่งและอดัมแต่ก็ไม่สำเร็จ


          จุดเปลี่ยนสำคัญของเกมคงหนีไม่พ้นการโดนใบแดงของสเปียริ่ง จังหวะนั้นสเปียริ่งสกัดโดนบอลก่อนก็จริงแต่เป็นการเข้าทั้งตัวอัดทั้งคน ทั้งบอล ทั้งๆ ที่เพียงแค่หยุดไม่ให้ฟูแล่มสามารถเล่นต่อ, จ่ายบอลเร็ว หรือพลิกบอลไปได้ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเข้าหนักขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากเจตนาการเข้าบอล รวมไปถึงการสกัดโดนบอลก่อน จังหวะนี้ให้เพียงใบเหลืองก็น่าจะได้ ถึงอย่างนั้นแทนที่จะโทษกรรมการ ก็ควรจะโทษสเปียริ่งเองด้วยที่เล่นจังหวะนี้ได้ไม่เนียนพอ


          สิ่งที่ลิเวอร์พูลควรแก้ไข ไม่น่าจะใช่ไปซื้อกองหน้ามาเพิ่ม แต่ควรจะเป็นการปรับปรุงการจบสกอร์ของกองหน้าให้ดีกว่านี้ ดูในแผงกลาง ทั้งอดัม ดาวนิ่ง เฮนเดอร์สันยังจบสกอร์ได้ดีกว่า, ใกล้เคียงกว่ากองหน้าซะอีก คาโรลนั้นควรจะอยู่ใกล้เขตโทษกว่านี้ เรียนวิชาหาพื้นที่จบสกอร์จากมักซี่บ้าง รวมไปถึงการปรับการยิงจังหวะแรกให้เข้าเป้ากว่านี้ ส่วนซัวเรสคงไม่มีอะไรมากไปกว่าช่วยยิงลูกง่ายๆ ให้ได้บ้างก็จะดี รู้สึกว่าถ้าไม่ได้แตะลอดขา ล๊อคหลบโกล ยิงมุมแคบ หรือกระดกบอลข้ามหัวใคร ซัวเรสจะยิงแทบไม่เข้ากรอบเลย สำหรับเบลามี่ก็ปล่อยลุงแกไปเถอะ เพราะดูเหมือนหน้าที่หลักจะเป็นการพาบอลขึ้นมาและเปิดป้อนมากกว่า


          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ต่อให้มีปืนกลกับกระสุน 10 ตับ ก็สู้หนังสติ๊กกับลูกหินนัดเดียวที่ดีดเข้าเป้าไม่ได้

----------------------------------

นัดนี้เล่นกันได้ดีบ้างไม่ดีบ้าง

เรน่า - ทำดีมาตลอดเกม เซฟลูกยิงไกลยากๆ ได้เหมือนเป็นเรื่องง่ายทุกลูก แต่มาพลาดเอาจังหวะเสียประตูที่เสียดายบอล คิดจะรับเพื่อครองบอลไว้กับตัวจนบอลกระฉอก ถ้าเรน่าคิดจะปัดแต่แรกมั่นใจว่าเขาสามารถปัดบอลลูกนี้ออกหลังได้


เอนริเก้ - ฟอร์มส่วนตัวยังดีอยู่ ที่ดูดรอปลงไปนิดหน่อยคือการเปิดบอลจังหวะสุดท้ายที่ขาดๆ เกินๆ


แอกเกอร์ - นัดนี้มีจังหวะที่ปล่อยให้ฟูแล่มง้างเท้ายิงในกรอบให้เห็นไม่น้อย แต่จังหวะที่เบียดปะทะและเข้าสกัดยังทำได้เด็ดขาด


สเคอเทล - ประกบหน้าเป้าของฟูแล่มไ้ด้ดี แต่จังหวะเข้าไปซ้อนแบคน่าจะทำได้ดีกว่านี้อีกสักหน่อย


จอห์นสัน - ทำได้ดีระดับนึงทั้งเกมรุกและรับ แต่ยังมีปัญหากับการปิดจังหวะที่คู่ต่อสู้จะพลิกบอลไปเปิดหรือยิง ซึ่งยังทำได้ไม่ดีพอ ถ้าไปเทียบกับเอนริเก้ที่แทบไม่ปล่อยให้คู่ต่อสู้ได้ส่งบอลผ่านเข้ามาในกรอบ ได้ง่ายๆ จะเห็นได้ชัดมาก


อดัม - กลายเป็นผู้เล่นสำคัญในแดนกลางตามสถานการณ์พาไป ทำได้ดีในการแจกจ่ายบอลให้เพื่อนเอาไปทำเกมต่อ และหาโอกาสสอดขึ้นมาทำประตูได้บ้าง ส่วนเกมรับยังแค่พอใช้เพราะปล่อยให้คู่ต่อสู้พลิกบอลเลี้ยงจี้เข้าไปถึงแผงหลังบ่อยครั้ง


สเปียริ่ง - ยังคงอาศัยความขยันหากิน ทำได้ดีกับการเข้าไปเร่งให้คู่ต่อสู้ต้องรีบออกบอล แต่การปิดพื้นที่หน้าเขตโทษและเก็บบอลจังหวะสองยังไม่ดีพอ ส่วนการเข้าสกัดทำได้ดีมากและอาจจะดีไปจนกระทั่งโดนไล่ออกเลย


เฮนเดอร์สัน - หุบเข้ามาเล่นกลางอีก 1 นัด ทำผลงานในเกมรุกได้ไม่แพ้อดัม ทั้งยังต้องฉีกออกมาเล่นริมเส้นบ่อยครั้งด้วย ทำผลงานได้ดี แต่เกมรับที่มีพื้นที่ต้องดูแลกว้างขนาดนั้นยังช่วยอดัมกับสเปียริ่งได้น้อยไปหน่อย


ซัวเรส - โดนอัดหนักตลอดเกมและทำให้เสียสมาธิไม่น้อย หลายครั้งที่พยายามเรียกเอาฟาลว์มากเกินไป แต่ในเกมก็ยังทำได้ดี บังบอลได้ดีกว่าคาโรล จังหวะพลิกบอลก็ยังกดดันกองหลังได้


เบลามี่ - เป็นกองหน้าที่ลงมาล้วงบอลบ่อยกว่าอีก 2 คน แต่เมื่อเจอโซนรับที่แน่นและแทบไม่เหลือพื้นที่ให้เล่น เบลามี่ทำเกมได้น้อยกว่านัดก่อนที่เจอเชลซี


คาโรล - โดนประกบติดจนทำอะไรแทบไม่ได้ ลูกกลางอากาศเอาชนะกองหลังฟูแ่ล่มไม่ได้เลย และมักจะถอยห่างออกจากเขตโทษบ่อยเกินไป ทั้งๆ ที่ตัวคาโรลเองถ้าอยู่ห่างเขตโทษแทบจะทำอะไรไม่ได้


ตัวสำรอง

เค้าท์ - ลงมารับบท 2 in 1 ทั้งกองกลางที่วิ่งไล่บอล และกองหน้าที่เข้าปะทะ ทำได้ดีทีเดียว ช่วยเปิดทางให้เพื่อนได้เปิดบอลหรือยิงได้ด้วย


ดาวนิ่ง - จำเป็นต้องไปคนเดียวแทบทุกจังหวะและทำได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ทำได้ดีทุกอย่างยกเว้นจังหวะครอสบอลที่ไม่แม่นเลย


---------------------------------------------------------

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เชลซี 0 - 2 ลิเวอร์พูล


กำแพงสีแดง
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลยังคงเล่น 4-5-1

---------------------คาโรล-----------------------
มักซี่---สเปียริ่ง---เบลามี่---ลูคัส--เฮนเดอร์สัน
เอนริเก้----โคอาเตส-----คาราเกอร์-----เคลลี่
-----------------------เรน่า-----------------------

       ตอนจบของหนังไตรภาค นัดนี้เป็นบอลถ้วอยคาร์ลิ่ง คัพ ซึ่งลิเวอร์พูลต้องกลับไปเล่นที่สแตมฟอร์ด บริดจ์อีกครั้ง หลังจากที่ 9 วันก่อนก็พึ่งเตะที่นี่ ปรับนักเตะหลายตำแหน่งจากนัดที่แล้ว โดยในแดนหน้า ซัวเรส ได้พักเป็นคาโรลที่ได้กลับมาเป็นตัวจริง ส่วนแผงกลางนักเตะตัวจริงชุดบอลถ้วยอย่างมักซี่และเบลามี่ได้ลงสนาม ส่วนในแดนหลังเปลี่ยนถึงสามคน คู่เซนเตอร์เป็นโคอาเตสกับคาราเกอร์ และเคลลี่ได้ลงในตำแหน่งแบคขวา ทางฝั่งเชลซีเล่น 4-3-3 วางตอเรสเป็นหน้าเป้า และมีนักเตะดาวรุ่งอย่างแมคอีชลันกับเบลฟรานลงเป็นตัวจริง

-------------------------------------------------------

       เริ่มเกมมาทั้งสองฝั่งก็วิ่งใส่กันทันที เกมเร็วและสู้กันบนพื้นเป็นส่วนใหญ่ ลิเวอร์ในจังหวะเข้าทำเน้นให้แบคซ้าย - ขวาเติมขึ้นมาโยนไปให้คาโรล ส่วนเชลซีใช้บอลสั้นค่อยๆ เจาะเข้าไปจากตรงกลาง และเป็นเชลซีที่ครองบอลเปิดเกมรุกเข้าใส่ ส่วนลิเวอร์พูลเล่นรัดกุม แนวรับถ้าโดนไล่จะสาดบอลยาวทันที


       ลิเวอร์พูลมีโอกาสลุ้นประตูก่อน นาที 21 จากจังหวะคาโรลเบียดโหม่งกับอเล็กซ์แล้วอเล็กซ์ไปทำแฮนด์บอล เสียจุดโทษ คาโรลรับหน้าที่ยิงเองแต่ยิงได้ไม่ดีพอ ไปติดเซฟของเทิร์นบูล หลังจากนั้นก็เป็นเชลซีที่ได้ครองบอลมากกว่า แต่ยังเจาะแนวรับลิเวอร์พูลเข้าไปไม่ได้ ส่วนลิเวอร์พูลโจมตีโดยไปที่การเล่นของเบลามี่กับเอนริเก้ทางฝั่งซ้ายเป็นหลัก

       เวลาที่เหลืออยู่้ทั้งสองฝ่ายยังทำอะไรกันแทบไม่ได้ ก่อนจะจบครึ่งแรกที่สกอร์ 0-0

       เข้าครึ่งหลัง เชลซีเริ่มดันแผงหลังสูงขึ้น ส่วนลิเวอร์พูลสลับตำแหน่งเอาเฮนเดอร์สันเข้ากลางแล้วโยกเบลามี่ไปขึ้นทางขวาแทน มีจังหวะเล่นโต้กลับมากกว่าในครึ่งแรก นาที 55 เชลซีได้ลูกฟรีคิกแล้วเป็นมาลูด้าเข้าชาร์จถึงบอลแต่บอลไปชนคาน ตกลงมาเข้าทางหลุยส์ก็ยังโหม่งไปชนตัวโคอาเตสหลุดเสาไป ถึงตรงนี้เกมเริ่มเปิดแลกกันแล้ว

       หลังจากเกมเปิดไ้ด้ไม่นาน เป็นลิเวอร์พูลที่ทำได้ก่อน นาที 58 จากจังหวะโต้กลับที่หลังเชลซียืนลอยสูง เฮนเดอร์สันจ่ายทะลุช่องให้เบลามี่ลากเข้าเปิดถวายพานให้ขาเก่าเจ้าประจำ อย่างมักซี่วิ่งเข้ามาแปโล่งๆ ให้ทีมขึ้นนำ 1-0

       เชลซีเสียประตูแล้วก็พยายามเร่งจะเอาประตูคืน แต่ยังหาจบสกอร์แทบไม่ได้ กลายเป็นลิเวอร์พูลที่ได้ซ้ำดาบสอง นาที 63 ลิเวอร์พูลได้ฟรีคิก เบลามี่เปิดบอลไปเสาสองแล้วเป็นเคลลี่ที่สลัดตัวประกบมาได้โหม่งเข้าให้ทีม นำห่าง 2-0

       เชลซีส่งอเนลก้ากับมาต้าลงมาแทนมาลูด้ากับลูกากู แต่ทั้งคู่ก็ยังช่วยทำเกมไม่ได้มากนัก นาที 70 ลูคัสเจ็บจากจังหวะที่โดนรามิเลสเสียบเล่นต่อไม่ไหว อดัมได้ลงมาแทน หลังจากนั้นเชลซีก็โหมรุกเต็มที่ แต่ยังหาช่องเจาะกันไม่เจอ นาที 79 เค้าท์ลงมาแทนเบลามี่ ช่วง 10 นาทีสุดท้าย กองหลังทั้งแผงของเชลซียืนกันลอยกันอยู่แถวครึ่งสนามเท่านั้น พยายามกดดันลิเวอร์พูลเต็มที่ สามารถขึงเกมให้อยู่ครึ่งสนามได้แล้ว ลิเวอร์พูลไม่สามารถโต้กลับขึ้นไปได้เลย แต่เชลซีก็ทำได้แค่ลุ้นจากการโยนบอลเข้าไปจากริมเส้นซึ่งก็ไม่ผ่านกองหลังลิ เวอร์พูล นาที 89 สเคอเทลลงมาแทนมักซี่ เพื่อเน้นเกมรุกและเกมกลางอากาศมากขึ้นไปอีก ก่อนที่จบเกมไปด้วยชัยชนะของทีมเยือน 2-0

------------------------------------------

       นัดนี้ดัลกลิชยังคงใช้แทคติคคล้ายเดิมจากที่ใช้มาช่วงอ 2 นัดล่าสุด โดยพักผู้เล่นหลายคน ในแดนหน้าที่ไม่มีซัวเรสนั้น หันมาทำเกมรุกด้วยการเลี้ยงจี้ขึ้นไปทางริมเส้นของเบลามี่ ซึ่งได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง เบลามี่ที่นัดนี้ยืนต่ำฝังตัวอยู่ในแผงกองกลางทำให้มีโอกาสได้เลี้ยงบอลจี้ ขึ้นไปมากกว่าการขึ้นไปยืนค้ำในแดนหน้าแบบซัวเรส ส่วนในแนวรับที่เปลี่ยนถึงสามคนแต่ประสิทธิภาพที่ออกมาก็ยังไม่ได้ด้อยลงไป เท่าใดนัก

       สาเหตุสำคัญที่ทำให้ทีมคว้าชัยมาได้ในนัดนี้ ยังอยู่ที่เกมรับ ในส่วนกองหลังนั้นคงไม่มีอะไรมากไปกว่าตัวสำรองที่ทำหน้าที่ทดแทนตัวจริงได้ แบบไม่ขี้เหร่ แต่ที่โดดเด่นมากคือแผงกลางโดยเฉพาะริมเส้นทั้งสองฝั่งไม่่ว่าจะเป็นเฮ นเดอร์สัน มักซี่ หรือเบลามี่ที่เล่นเกมรับกันได้เป็นอย่างดี ทำให้แผงกลางของเชลซีไม่สามารถทำเกมได้ ซึ่งส่งผลทำให้กองหน้าตัวอันตรายอย่างตอเรสต้องระเห็ดไปรอบอลอยู่นอกกรอบบ่อยครั้งด้วย

       ทางฝั่งเชลซีเอง ต้องบอกว่าตัวรุกอย่างมาลูด้าและแลมพาร์ดฟอร์มแผ่วอย่างน่าใจหาย การที่ทั้งคู่เล่นไม่ออก ผนวกกับนักเตะที่เสริมเข้ามาอย่างลูมิอูกับลูคาคูยังโชว์ฟอร์มไม่ออก ทำเอาเกมรุกของเชลซีเข้ารกเข้าพงสุดกู่ จังหวะที่ได้ลุ้นส่วนใหญ่ในเกมมาจากการโยนบอลเข้าไปซึ่งจุดนี้แม้ตอเรสจะ เล่นลูกกลางอากาศใช้ได้ แต่กลายเป็นว่าไม่ได้เปรียบคู่เซ็นเตอร์ลิเวอร์พูล ในขณะที่แผงกลางที่เคยขึ้นมาช่วยยิงประตูได้ นัดนี้อย่าว่าแต่ยิงเข้ากรอบ โอกาสจะง้างยิงจากนอกเขตยังหาแทบไม่ได้

       ...แล้วต้องมาเจอกับกำแพงสีแดงก็เลยเอวังด้วยประการฉะนี้...
----------------------------------

นัดนี้เล่นกันได้ดีเป็นส่วนใหญ่

เรน่า - ยังคงไม่ได้เซฟอะไรมากนักอีกนัดหนึ่ง ทำได้ดีกับการคว้าบอลโหม่งที่ไม่แรงมากนัก กับจังหวะที่ออกมาเร็วปิดมุมไม่ให้อเนลก้ายิงได้

เอนริเก้ - เติมขึ้นลงได้ตลอดเกม โยนบอลเข้าไปยังดีบ้างไม่ดีบ้าง ส่วนเกมรับยังไว้ใจได้เช่นเคย

โคอาเตส - นัดนี้เล่นได้ดี แม้ช่วงต้นเกมจะมีจังหวะการเข้าบอลที่หวาดเสียวอยู่บ้าง แต่นอกจากนั้นก็เข้าสกัดได้ดีทั้งบนพื้นและกลางอากาศ

คาราเกอร์ - ยืนยิ้มอยู่ริมจุดโทษ ไม่ได้ทำอะไรนอกจากรอซ้อนบอลที่ทะลักเข้ามาบ้าง เป็นนัดที่เล่นได้สบายและไม่มีความผิดพลาดให้เห็น

เคลลี่ - เกมรับเหนียวแน่น วันนี้มีทีเด็ดจากการขึ้นไปโหม่งลูกเซตพีซเป็นประตูด้วย

มักซี่ - หาตำแหน่งจบสกอร์ได้ดีเหมือนเดิม การช่วยเล่นเกมรับอยู่ตลอดทำให้เอนริเก้วิ่งเติมขึ้นไปได้อย่างสบายใจ

สเปีย ริ่ง - แม้จะมีความพยายามในการวิ่งไล่บอลอยู่ตลอด แต่ยังอ่านเกมได้ไม่ดีนัก มีหลายครั้งที่วิ่งไปแล้วไม่เจอบอล ทำผลงานแค่พอใช้ได้เท่านั้น

ลูคัส - เหมือนนัดก่อน

เฮนเดอร์สัน - มีพัฒนาการในทางที่แฟนบอลลิเวอร์พูลอาจจะไม่ได้หวังจากตัวเขาเท่าไหร่นัก นั่นคือเกมรับ ช่วงที่ยืนริมเส้นลงมาช่วยเคลลี่ได้ดีอยู่บ่อยครั้ง ช่วงที่ยืนตรงกลางก็ลดภาระของลูคัส+สเปียริ่งได้มาก วันนี้มีลูกจ่ายทะลุดีๆ ที่นำมาซึ่งประตูที่ 2 ด้วย

เบลามี่ - ครึ่งแรกพอเสียบอลแล้วไม่ค่อยไล่ ทำได้ดีระดับนึงกับการวิ่งตีคู่ไปกับเอนริเก้ ส่วนครึ่งหลังที่อยู่ทางขวา นอกจากจะเล่นจังหวะโต้กลับได้ดีที่ทำให้ทีมนำ 2-0 แล้ว ยังวิ่งไล่และลงมาช่วยรับถึงสุดเส้นหลังด้วย

คาโรล - 1 ชั่วโมงแรกของเกมทำได้ดีพอใช้กับการเก็บบอลและโหม่งชง แต่หลังจากทีมนำ 2-0  คาโรลเก็บบอลแทบไม่ได้เลย เกมนี้ยังคงหาตำแหน่งจบสกอร์ได้ไม่ดีนัก โดยรวมทำได้ดีขึ้นแต่ยังไม่น่าประทับใจ

ตัวสำรอง

เค้าท์ - ไม่ได้ทำอะไรนอกจากช่วยวิ่งไล่บอลแทนเบลามี่ทำเริ่มล้าแล้ว

สเคอเทล - ลงมาช่วยหยุดการบอมบ์ของเชลซีอีกคนหนึ่ง แต่ก็แทบไม่ได้ทำอะไร

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : เคร็ก เบลามี่ ... เนื่องจากลูคัสเล่นดีซ้ำซากมาสามนัดแล้วเลยเบื่อ ส่วนมักซี่ก็เล่นเหมือนเดิมทุกครั้งที่ลงสนาม ลงสามนัดยิงสามนัด เลยเบื่อเช่นกัน เลยขอยกให้ตำแหน่งนี้ให้กับเคร็กเบลามี่ที่เป็นศูนย์กลางเกมรุกของทีมในวันนี้ก็แล้วกัน

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลิเวอร์พูล 1 - 1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้



เกือบแพ้...เกือบชนะ...จบเสมอ
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลปรับมาเล่น 4-5-1

---------------------ซัวเรส-----------------------
ดาวนิ่ง----อดัม----เฮนเดอร์สัน----ลูคัส---เค้าท์
เอนริเก้---แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน
-----------------------เรน่า-----------------------

ภาคต่อของซีรี่ย์โหด ลิเวอร์พูลเปิดบ้านรับทีมจ่าฝูง แมนเชสเตอร์ซิตี้ที่พึ่งไปสะดุดแพ้นาโปลีมาในเกมยุโรป นัดนี้ดัลกลิชใช้ซัวเรสเป็นหน้าเป้าคนเดียว อัดแผงกลางมา 5 คน โดยมีเฮนเดอร์สันและดาวนิ่งที่ได้กลับมาเป็นตัวจริง ส่วนแผงหลังยังใช้ชุดเดิมที่ทำผลงานได้ดีมาในหลายนัดหลัง ส่วนแมนซิตี้ใช้หน้าเป้าตัวเดียวเช่นกันคือ กุน แต่ส่งแผงกลางในฝันของใครหลายคนประกอบด้วย ตูเร่-แบรี่-มิลเเนอร์-ซิลบา-นาสรี่ ลงเป็นตัวจริง

-------------------------------------------------------

เริ่มเกมมาเป็นซิตี้ที่ใส่เกียร์ 5 วิ่งไล่บอลตั้งแต่แดนหน้าแล้วใช้บอลสั้นบนพื้นต่อเกมกันขึ้นไปกดดัน ส่วนลิเวอร์พูลใช้แผงกลาง 5 คนช่วยกันเล่นเกมรับแล้วเน้นใช้จังหวะฉาบฉวยในการเข้าทำ ไม่ครองบอลสู้ ช่วงต้นเกมเป็นซิตี้ที่ครองบอลได้มากกว่า แต่ยังผ่านบอลเข้าไปไม่ถึงในเขตโทษ

ครึ่งชั่วโมงผ่านไปที่ ซิตี้ได้บอลบุกอย่างต่อเนื่องแต่ยังหาโอกาสจบสกอร์แทบไม่ได้ ส่วนลิเวอร์พูลได้ลุ้นิดหน่อยจากจังหวะฉวยโอกาสแต่ยังไ่ม่มีโอกาสจบสกอร์แบบเป็นชิ้นเป็นอันเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ในเกมโอเพ่นพเลย์ซิตี้จะทำไม่ได้แต่มาได้จากลูกเซตเพลย์ นาที 31 ซิตี้ได้ลูกเตะมุม เป็นคอมพานีที่วิ่งโฉบมาเสาแรกโหม่งเสียบเสาสองเข้าไปให้ซิตี้ขึ้นนำ 1-0

หลังจากได้ประตูขึ้นนำยังไม่ทันจะหายเครียด นาทีถัดมา อดัมได้โอกาสยิงไกล เป็นเลสคอตที่ยื่นเท้าสกัดโดนไม่เต็มบอลแฉลบเปลี่ยนทางเข้าประตูไปให้ลิเวอร์พูลตามตีเสมออย่างรวดเร็ว 1-1

เมื่อเกมกลับมาเสมอ กลับเป็นฝั่งลิเวอร์พูลที่ทำกันได้ดีขึ้น สามารถครองบอลได้มากขึ้นทำให้เกมเริ่มกลับมาสูสี แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำอะไรก็จบครึ่งแรกไปเสียก่อน

เข้าครึ่งหลังลิเวอร์พูลเริ่มเน้นครองบอลมากขึ้น รูปเกมยังคล้ายช่วงปลายครึ่งแรกที่ลิเวอร์พูลเริ่มเก็บบอลได้และเกมค่อนข้างสูสีอย่างไรก็ตาม คุณภาพการจ่ายบอลของซิตี้ที่แม่นยำมากในครึ่งแรกเริ่มลดถอยลง มีจังหวะที่จ่ายบอลเสียให้เห็นมากขึ้น ทำให้เกมค่อนข้างเทไปทางลิเวอร์พูลทีละน้อย

มันชินี่เริ่ม ขยับก่อนโดยการส่งบาโลเตลี่ลงมาแทนนาสรี่ที่เล่นไม่ออกในนาที 65 โดยให้ยืนหน้าคู่กุนปรับมาเล่น 4-4-2 ทำให้กดดันลิเวอร์พูลในแถวเขตโทษได้น่ากลัวขึ้น แต่เปิดพื้นที่แดนกลางให้ลิเวอร์พูลได้มีโอกาสเล่นมากขึ้นเช่นกัน เกมเริ่มเปิดแลกกันมากขึ้นกว่าช่วงครึ่งแรก

นาที 71 แฟนบอลลิเวอร์พูลหัวใจเกือบวายตายเมื่อสเคอเทลไปลื่น บอลเข้าทางบาโลเตลี่และทางข้างหน้าโล่งว่าง แต่ก่อนที่บาโลเตลี่จะทันทำอะไรก็ดันลื่นล้มไปเองซะอีกคน ถัดจากนั้น 5 นาที บาโลเตลี่ยังมาโดนใบเหลืองแบบโง่ๆ จากการวิ่งไปดึงเสื้อจอห์นสันจนล้มคว่ำ

เมื่อเกมเปิดลิเวอร์พูลก็มีโอกาสลุ้นทำประตูมากขึ้นแต่ยังไม่จะแจ้งนัก นาที 82 มันชินี่ส่งเซโก้ลงมาแทนกุนหวังจะปรับแทคติคเกมรุก แต่ต้องมาฝันสลายเมื่อนาทีถัดมา บาโลเตลี่ไปศอกใส่สเคอเทลในจังหวะที่จะเบียดโหม่ง ทำให้โดนใบเหลืองแดงไล่ออกไป ดัลกลิชไปเสียเวลาคิดมาก ส่งคาโรลลงไปแทนเค้าท์ทันที หวังจะอาศัยจังหวะเพลี่ยงพล้ำของซิตี้ซ้ำให้ตาย

เวลาที่เหลือลิเวอร์พูลพยายามโหมเกมรุก และได้ลุ้นเป็นระยะ ส่วนซิตี้ได้ลุ้นจากจังหวะที่เซโก้่กระชากหลุดขึ้นไปจ่ายซิลบาเกือบได้ยิง แต่ทำไม่สำเร็จ นาทีสุดท้ายของเกม โจ ฮาร์ท โชว์เซฟลูกโหม่งของคาโรลต่อด้วยลูกซ้ำมุมแคบของซัวเรสได้อย่างเหลือเชื่อ ทำให้จบเกมซิตี้รอดกลับออกไปได้ด้วยผลเสมอ 1-1
------------------------------------------

ดัลกลิชจัดทีมแบบระมัดระวังเต็มที่ ส่งกลางมาถึง 5 คน และเป็นกลางชุดที่เล่นเกมรับได้ดีทุกคน แต่นอกเหนือไปจากแทคติคแล้ว วันนี้ต้องให้เครดิตกับนักเตะเป็นอย่างมาก เพราะช่วยกันเล่นเกมรับได้ดี อีกทั้งหลังจากสกัดบอลได้แ้ล้วยังไม่สาดบอลทิ้งมั่วซั่วแต่เลือกที่จะเก็บบอลไว้อีกด้วย นอกจากนั้น ในช่วงท้ายเกมที่ซิตี้เหลือ 10 ดัลกลิชคงจะได้ใจแฟนบอลไปอีกไม่น้อย ที่ส่งคาโรลลงมาทันทีที่บาโลเตลี่ถูกไล่ออก ไม่เสียเวลาคิดนาน แสดงให้เห็นถึงความกล้าและความพร้อมที่จะบุกเอาชนะเมื่อโอกาสมาถึง แล้วรูปเกมหลังจากที่คาโรลลงมาแล้วมันก็เป็นไปในทางนั้นด้วย


อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนที่สำคัญของเกมนี้คงจะอยู่ที่การไล่ตีเสมอได้เร็ว ซิตี้นั้นนอกจากจะมีเกมรุกที่ดีแล้ว เกมโต้กลับก็มีประสิทธิภาพเอามากๆ ถ้าลิเวอร์พูลไม่สามารถตีเสมอได้ในจังหวะนั้น จะทำให้กลางซิตี้ไม่ต้องห่วงเกมรุกแล้วหันมาสนใจเกมรับได้มากขึ้น รวมไปถึงแบคที่ไม่ต้องเสี่ยงเติมขึ้นไปสูงๆ บ่อยนัก อาจทำให้เกมไหลไปเข้าทางซิตี้ แล้วจบลงด้วยการที่ลิเวอร์พูลต้องบุกเพื่อเอาประตูคืนแล้วโดนซิตี้โต้กลับจนไส้ไหลแบบที่หลายๆ ทีมโดนมาก็เป็นได้ ก็ต้องเรียกว่าเป็นโชคดีที่ลูกนั้นแฉลบเข้าไป

นอกจากนั้น ก็คงหนีไม่พ้นความบ้องตื้นของบาโลเตลี่ น่างสงสารมันชินี่ที่อุตส่าห์ส่งเซโก้ลงไปแล้ว ด้วยความเร็ว, ความแข็งแกร่งและการเล่นลูกกลางอากาศของทั้งเซโก้และบาโลเตลี่ อาจจะทำให้เกมรุกของซิตี้กลับมาวูบวาบได้อีกครั้ง แต่บาโลเตลี่ก็ทำฟาลว์แบบไม่จำเป็นทั้ง 2 ครั้ง ที่ต้องเป็นใบเหลืองแบบเถียงไม่ได้ทั้ง 2 ครั้งแล้วก็โดนไล่ออกไป ทำให้ท้ายเกมแทนที่จะเป็นซิตี้ที่มีตัวเลือกในม้านั่งสำรองมากกว่าได้ลุ้นกดดันเอาประตูชัย กลับต้องมาตั้งรับแล้วเกือบจะถึงขั้นแพ้เอาด้วยซ้ำ

...คบเด็กสร้างบ้านก็คงต้องทำใจหน่อยนะ มันชินี่...
----------------------------------

วันนี้เล่นกันได้ดีทุกคน

เรน่า - แม้จะไม่ต้องออกแรงเซฟจะๆ แต่ออกมาตัดบอลเร็วนอกเขตโทษได้ดีถึง 3-4 ครั้ง ไม่อย่างนั้นอาจโดนซิตี้ล่อเป้า แพ้เละเทะไปแล้วก็เป็นได้


เอนริเก้ - เกือบทำทีมเจ๊งในนาที 17 ที่ส่งบอลคืนหลังสั้นมากจนเกือบโดนซิตี้ตัดไปได้ แต่หลังจากนั้นก็เล่นได้ดีตลอด โดยเฉพาะเกมรับที่ซิตี้เจาะก็ไม่เข้า โยนก็ไม่ได้


แอกเกอร์ - ดักสกัดได้ดี เล่นลูกกลางอากาศได้เด็ดขาด แม้จะเสี่ยงเก็บบอลไว้กับตัวอย่างหวาดเสียวหลายครั้ง แต่ก็ไม่พลาด


สเคอเทล - เป็นฟอร์มที่ดีที่สุดอีกนัดนึงของสเคอเทล แม้จะมีหัวทิ่มหัวตำไปบ้าง แต่การประกบและชิงจังหวะเข้าสกัดก่อนบอลถึงกองหน้าทำได้ดีมาก นัดนี้สามารถตัดกุนออกไปจากเกมได้เลย


จอห์นสัน - เกมรับยังคงน่าห่วงอยู่บ้าง เมื่อปล่อยให้ซิตี้ได้โยนบ่อยมากๆ ยังดีว่าไม่มีจังหวะโดนเผาแบบวิ่งตัดหลัง แต่ในส่วนเกมรุกทำได้ดีในระดับน่าพอใจ เติมได้เร็วและประสานงานกับกองกลางกองหน้าได้ดี


ดาวนิ่ง - ครึ่งแรกเงียบมาก หนักไปทางวิ่งไล่ แต่พอเข้าครึ่งหลังที่เกมเปิดมากขึ้น พาบอลวิ่งจี้เข้าใส่กองหลังซิตี้ได้น่าพอใจ เสียดายที่จังหวะยิง 2-3 ครั้งยังไม่คม ไม่สามารถคุมบอลให้เข้ากรอบได้


อดัม - เป็นคนยิงจนนำมาซึ่งประตูตีเสมอ และยิงอีกครั้งเกือบทำให้ทีมนำแต่ติดเซฟ ถ่ายบอลออกด้านกว้างได้ดี แม้เกมรับจะเข้าบอลน่าหวาดเสียวไปบ้าง แต่ก็ถือว่าทำได้ดี


ลูคัส - องค์ลง ซิตี้ไม่มีโอกาสทำอะไรหน้าเขตโทษเลย ไม่ว่าจะยิงไกลหรือจ่ายทะลุเข้าเขตโทษ นอกจากจะสกัดได้แม่นยำเด็ดขาดแล้ว การเปิดบอลในวันนี้ยังไม่ค่อยพลาดให้เห็นด้วย


เฮนเดอร์สัน - ยังคงเล่นแบบเน้นชัวร์ไว้ก่อน ไม่ชอบเสี่ยง ไม่ว่าจะเกมรุกหรือเกมรับ ข้อดีคือทำให้บอลแดนกลางไหลลื่น แต่ข้อเสียคือจังหวะทีเด็ดทีขาดไม่ว่าจะจ่ายทะลุ, ครอสเร็ว หรือยิงประตูยังทำได้ไม่ดีนัก


เค้าท์ - มีส่วนร่วมกับเกมเยอะมากตั้งแต่ต้นเกม ไม่ว่าจะเกมรุกหรือเกมรับ เสียดายที่วันนี้อยู่ห่างจากเขตโทษมากไปหน่อยทำให้ไม่มีโอกาสมีส่วนร่วมกับจังหวะจบสกอร์เลย


ซัวเรส - น่วมและเหนื่อย ต้องโดดเดี่ยวอยู่ภายใต้การประกบติดของทั้งเลสคอตและคอมพานี ทำได้ดีเท่าที่จะทำได้แล้ว ที่ดูน่าเสียดายอยู่บ้างคือจังหวะยิงที่หาได้ 2-3 ครั้งอย่างยากลำบากก็ทำไม่ได้


ตัวสำรอง


คาโรล - มีเวลาในสนามไม่มาก เพื่อนก็โยนไปไหนไม่รู้ซะเยอะ แต่จังหวะที่บอลโยนมาดีก็แสดงให้เห็นแล้วว่ายังทำได้ดีอยู่ น่าเสียดายที่ลูกโหม่งท้ายเกมไม่เป็นประตู


แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : ลูคัส เลว่า กับฟอร์มที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นจากผู้ชายคนนี้

----------------------------------------------------------------
ป.ล. รอฟังคำว่า "ฟลุ๊ค" และ "ไม่มีปัญญาชนะ 10 คน" ได้เลย ให้ยิ้มแล้วตอบกลับไปด้วยว่า ลิเวอร์พูลเป็นทีมแรกที่เล่นกับซิตี้แล้วมีโอกาสยิงเข้ากรอบมากกว่า

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เชลซี 1 - 2 ลิเวอร์พูล

อย่าโลภมาก...ลาภจะหาย

--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-4-2


-------------ซัวเรส-------เบลามี่----------------
มักซี่-----------อดัม---------ลูคัส---------เค้าท์
เอนริเก้---แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน
----------------------เรน่า-----------------------

       หลังจากมีเกมทีมชาติมาขั้น พรีเมียร์ลีคกลับมาเตะอีกครั้ง โดยนัดนี้ลิเ้วอร์พูลเริ่มนัดแรกของซี่รี่ย์สุดโหด เชลซี-ซิตี้-เชลซี แถมนัดนี้ยังต้องออกไปเยือนเชลซีด้วย มีการปรับตัวผู้เล่นนิดหน่อย โดยเบลามี่ได้ลงแทนคาโรลในแดนหน้า, แดนกลาง มักซี่กับเค้าท์ได้ลงก่อนดาวนิ่งและเฮนเดอร์สัน ส่วนแผงหลังยังใช้ผู้เล่นชุดเดิม ส่วนทางด้านเชลซี เลือกใช้ดรอกบาก่อนตอเรส และแดนกลางส่งกลางเชิงรับมาถึงสองคนคือ รามิเลสและมิเกล

-------------------------------------------------------

       เริ่มเกมมาเชลซีวิ่งไล่บอลถึงตัวตลอดเวลาและเป็นฝ่ายแย่งบอลไป ครองได้แทบจะฝ่ายเดียว แต่จังหวะเข้าทำยังทำกันช้า ทำให้ไม่สามารถสร้างโอกาสได้มากนัก ลิเวอร์พูลต้องรอกว่า 10 นาทีถึงจะเริ่มครองบอลบุกตอบโต้ได้บ้าง โดยเ้น้นขึ้นเกมทางฝั่งขวาที่มีเค้าท์กับจอห์นสันอยู่ ทำให้รูปเกมกลับมาสูสี สู้กันที่กลางสนามเป็นส่วนใหญ่

       ทั้งคู่ยังเล่นกันอย่างระมัดระวังและไม่มีจังหวะเข้าทำกันสักเท่าไหร่ แต่ในนาที 34 เชลซีขึ้นบอลพลาดในแดนตัวเอง มิเกลโดนอดัมปั้มบอลได้ บอลทะลักไปเข้าทางเบลามี่ ทำชิ่งกับซัวเรสก่อนที่จังหวะสุดท้ายจะผ่านบอลไปให้มักซี่ได้ยิงผ่านตัวเชค เข้าไปให้ลิเวอร์พูลนำ 1-0

       เวลาที่เหลือเชลซีพยายามจะ เร่งแต่เร่งไม่ขึ้น เพราะทั้งดรอกบา มาลูดา มาต้าเล่นไม่ออก ทั้งจังหวะขึ้นเกมรุกยังทำกันได้ช้า ทำให้จบครึ่งแรกลิเวอร์พูลยังรักษาสกอร์นำ 1-0 เอาไว้ได้

       เข้าครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลเริ่มเล่นช้าลงและพยายามเน้นความแน่นอนให้มากขึ้น เปลี่ยนเบลามี่ไปเล่นทางซ้ายแล้วเอามักซี่มายืนตรงกลาง ทิ้งซัวเรสไว้ข้างหน้าคนเดียว ส่วนทางเชลซีเปลี่ยนเอามิเกลออก ส่งสเตอริดจ์ลงมา โหมบุกตั้งแต่เริ่มเกมและกดดันถึงหน้าเขตโทษลิเวอร์พูลได้ตลอด โดยเฉพาะจังหวะการเข้าทำที่รวดเร็วมากขึ้นกว่าในครึ่งแรก ทำให้ลิเวอร์พูลได้แต่ถอยไปรับกันลึกแถวหน้าเขตโทษเท่านั้น

       ไม่นานเชลซีก็ทำสำเร็จ นาที 55 มาลูด้ามาบอลมาทางริมเส้น นักเตะลิเวอร์พูลวิ่งถอยหลังกันหมดไม่มีใครเข้าบอล ทำให้มาลูด้าได้ยิง บอลไม่เข้ากรอบแต่ไปเข้าทางสเตอริดจ์ที่วิ่งเข้ามาทางเสาสองแปโล่งๆ เข้าไปให้เชลซีตามตีเสมอเป็น 1-1

       หลังจากนั้นเชลซีก็ยังโหมบุกอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ลิเวอร์พูลเริ่มรวนกันอย่างเห็นได้ชัด เปิดโอกาสให้เชลซีได้ลุ้นจบสกอร์เป็นระยะ นาที 66 เฮนเดอร์สันได้ลงแทนเบลามี่ที่หายไปจากเกม ทำให้เกมตรงกลางดูดีขึ้นเล็กน้อยในเกมรับ แต่ก็ยังโดนบุกหนักอยู่ดี นาที 77 ดาวนิ่งได้ลงแทนมักซี่ที่หายไปจากเกมเช่นกัน และรูปเกมก็ยังคงเหมือนเดิม ลิเวอร์พูลยังโดนพับสนามบุกอยู่ต่อเนื่อง แถมยังโต้กลับได้ไม่ดี ส่วนเชลซีเองแม้จะได้บุกใส่อยู่ตลอดแต่หาโอกาสจบได้ไม่มากพอ รวมไปถึงจบสกอร์กันได้ไม่ดีพอด้วย


       แต่แล้วโบอาสก็ตัดสินใจเสี่ยงมากขึ้น นาที 84 ตอเรสกับไมราเลสได้ลงมาแทนดรอกบาและรามิเลส หวังจะทุบลิเวอร์พูลให้ตายคาสนาม กลับกลายเป็นว่า 3 นาทีถัดมา อดัมได้โอกาสวางบอลยาวให้จอห์นสันที่แอบวิ่งเติมขึ้นไป ก่อนที่จอห์นสันจะลากบอลเข้าไปในเขตโทษและยิงผ่านทั้งเชคและเทอรี่เข้าไปได้ ให้ลิเวอร์พูลแซงนำได้อย่างเหลือเชื่อ(เมื่อดูจากรูปเกม) 2-1

       ท้ายเกม นาที 89 คาโรลได้ลงแทนซัวเรส ก่อนที่จะเกมจะจบไปด้วยสกอร์ 2-1
------------------------------------------

       ดัลกลิชปรับตัวผู้เล่น 3 ตำแหน่งซึ่งเป็น 3 คนที่ฟอร์มไม่ค่อยดีในระยะหลัง ทั้งคาโรล, ดาวนิ่ง, เฮนเดอร์สัน แต่รูปเกมก็ไม่ได้ต่างออกไปจากก่อนหน้านี้มากนัก แต่วันนี้สิ่งที่ลิเวอร์พูลทำไ้ด้ดีคือทีมเวิร์ค ในครึ่งแรก เวลานักเตะเชลซีได้บอล จะมีนักเตะลิเวอร์พูลกรูกันเข้าไปรุมแย่งบอลอยู่ตลอด ทำให้เชลซีไม่สามารถต่อบอลกันได้สะดวก ทำให้เกมรุกของเชลซีช้าและถึงกับเสียประตูในจังหวะที่มิเกลโดนอดัมกับเบลามี่รุมกินโต๊ะ ในครึ่งหลัง แม้จะโดนบุกกดดันหนักอย่างต่อเนื่อง แต่แผงกองกลางวิ่งลงมาช่วยกองหลังไล่อยู่ตลอด ทำให้เชลซีแม้จะได้บอลเยอะ พาบอลไปป้วนเปี้ยนแถวเขตโทษได้เยอะ แต่ก็ทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก

       อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ตัดสินเกมนี้คือแทคติคของทางฝั่งเชลซีเอง ผู้เล่นตัวจริงของเชลซี ใช้กลางรับถึงสองคน ในขณะที่เกมรุกหวังพึ่งนักเตะที่อยู่ในช่วงขาลงอย่างดรอกบากับมาลูด้าเป็น หลัก ทำให้ครึ่งแรกเกมของเชลซีดูไม่จืดเลย เล่นแบบไม่มีความเร็วและไม่มีความคิดสร้างสรรค์ พอมาถึงครึ่งหลังที่ส่งสเตอริดจ์ลงมา รวมไปถึงการดันแผงหลังอย่าง หลุยส์, โคล, อิวาโนวิช ทำให้เกมรุกกดดันได้อย่างหนัก แสดงให้เห็นแล้วว่าถ้าเชลซีตัดสินใจเปิดหน้าแลกกันตั้งแต่ต้น ด้วยการส่งผู้เล่นที่เล่นเกมรุกได้ดีกว่าอย่างตอเรส, สเตอร์ริดจ หรือแม้กระทั่งไมราเลส แล้วเล่นเกมเร็วบุกหนักแบบที่ทำในต้นครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลอาจพังไปตั้งแต่ครึ่งแรกแล้วก็ได้

       ที่เด็ดที่สุดคงหนีไม่พ้นการเปลี่ยนตอเรสกับไมราเลสลงมา ทั้งยังดันกันขึ้นมาสูงจนนักเตะทุกคนแทบจะยืนอยู่ในฝั่งลิเวอร์พูล หวังจะทำประตูชัยให้ได้ จนเป็นที่มาของประตู 2-1 ของลิเวอร์พูล ทั้งๆ ที่ถ้ามองย้อนไปกับเกมที่เชลซีโดนอาร์เซนอลอัดยับมาก็เป็นกรณีคล้ายๆ กันคือเชลซีตีเสมอได้แล้ว แต่กลับเสี่ยงที่จะเปิดเกมรุกจนแบบไม่ระวังจนกระทั่งอาร์เซนอลได้โต้กลับจน เชลซีต้องเป็นฝ่ายเจ็บเสียเองมาแล้ว แต่โบอาสก็คงยังไม่ระวังตัวอีก

       ...ก็ต้องบอกว่าเจ็บแล้วไม่จำเองนี่หว่า!
----------------------------------

วันนี้เล่นกันเกือบดี

เรน่า - ตัดบอลและเซฟจังหวะสำคัญได้หลายครั้ง อยู่ในฟอร์มที่ดีมาก


เอนริเก้ - เติมเกมรุกน้อยกว่าที่ผ่านมา จังหวะที่ขึ้นไปบ้างก็ทำอะไรไม่ได้ แต่เกมรับยังเหนียวแน่นปิดเกมเชลซีได้ตลอด


แอกเกอร์ - เข้าสกัดและเล่นลูกกลางอากาศได้ดี เป็นอีกคนที่ฟอร์มกำลังเข้าฝัก


สเคอเทล - ฟอร์มยังดีอยู่ต่อเนื่อง มีจังหวะพลาดให้เห็นอยู่บ้าง แต่ถ้าเทียบกับโจทย์ยากอย่างเชลซี รวมไปถึงรูปเกมในครึ่งหลังแล้ว ต้องถือว่าทำได้น่าพอใจ


จอห์นสัน - เกมรับทำได้ดีระดับนึง แต่ยังจัดการกับการครอสบอลของเชลซีได้ไม่ดีนัก มีหลายครั้งที่ปล่อยให้ครอสบอลได้ง่ายเกินไป ส่วนเกมรุก ในครึ่งแรกทำได้ดีกับการเติมขึ้นไปทำเกม ส่วนครึ่งหลังที่แทบไม่ได้ขึ้นไปเลย พอแอบขึ้นไปก็ยิงประตูชัยได้มันซะงั้น


มักซี่ - เป็นนักเตะที่สม่ำเสมอมากกับการโผล่มายิงแล้วหายไปจากเกม นัดนี้ก็ไม่มีอะไรผิดฟอร์ม


อดัม - เป็นนัดที่เล่นได้ดีอีกนัด มีจังหวะเข้าสกัดที่ดีหลายหน และเปิดบอลยาวในจังหวะประตูที่สองได้อย่างสุดยอด แต่ดูจะมีปัญหากับการขึ้นแล้วลงไม่ทัน ปล่อยให้กลางเชลซีพาบอลไปได้ในจังหวะโต้กลับอยู่บ่อยเหมือนกัน


ลูคัส - เข้าบอลได้แม่นยำและขยันกว่า 2-3 นัดที่ผ่านมา เสียฟาลว์น้อยด้วย ปิดพื้นที่หน้าเขตโทษได้ดีมาก


เค้าท์ : ครึ่งแรกยังดูเป็นเค้าท์คนเดิมอยู่ แต่พอเข้าครึ่งหลังดูเหมือนหมดแรง วิ่งไล่ได้ไม่มากเท่าที่เคยทำได้ มีส่วนร่วมกับเกมรุกไม่มากนัก


เบลามี่ - เล่นได้ไม่ดี ไม่ค่อยไล่บอล มีส่วนร่วมกับเกมน้อยตั้งแต่ครึ่งแรก เข้าครึ่งหลังยิ่งหายเงียบไปเลย


ซัวเรส - ฟอร์มหลุดหนักกว่านัดที่เล่นกับสวอนซี หลายจังหวะที่ควรไปไม่กล้าไป และให้บอลพลาดบ่อย ส่วนหนึ่งต้องบอกว่าลิเวอร์พูลทิ้งให้ซัวเรสอยู่คนเดียวกว่า 50 นาทีด้วย โดนประกบ 2 ตัวอยู่เกือบตลอดเกม


เฮนเดอร์สัน - ลงมาเล่นตรงกลางแทนมักซี่ ทำให้แดนกลางดูดีขึ้นกว่า่ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย


ดาวนิ่ง - เกือบลืมว่าได้ลงสนาม อาจเป็นเพราะรูปเกมที่โดนบุกพับอยู่ฝ่ายเดียวด้วย แทบไม่ได้บอลเลย

คาโรล - มีเวลาในสนามแค่ 4 นาที ลงมาบังบอลเรียกฟาลว์ แต่กรรมการไม่เป่าให้สักจังหวะ

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : เฟอร์นานโด ตอเรส ... ลงมา 3 นาทีลิเวอร์พูลยิงได้เลย สุดยอดจริงๆ

----------------------------------------------------------------
Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลิเวอร์พูล 0 - 0 สวอนซี

เจ็บ
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-4-2 ทีมเดิม


--------------ซัวเรส-------คาโรล----------------
ดาวนิ่ง--------อดัม------ลูคัส------เฮนเดอร์สัน
เอนริเก้---แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน
----------------------เรน่า-----------------------

       ลิเวอร์พูลกลับมาเล่นในบ้านด้วยตัวผู้เล่นชุดเดิมจากนัดก่อน เจอกับสวอนซีที่เล่นเกมเยือน 5 นัดทำได้แค่คะแนนเดียว

-------------------------------------------------------

       เริ่มเกมมาลิเวอร์พูลไล่บอลสูงตั้งแต่แดนหน้าทันที เน้นขึ้นเกมทางด้านซ้าย ส่วนสวอนซีเล่นบอลสั้นกับพื้นเป็นหลัก ส่งบอลกันแม่นมากและรักษาตำแหน่งในเกมรับได้ดี เกมรุกของลิเวอร์พูลขึ้นบอลค่อนข้างช้าและกดดันได้ไม่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลยังได้โอกาสลุ้นในนาที 7 คาโรลได้ชาร์จจ่อๆ แต่บอลชนคานออกไป

       ลิเวอร์พูลแม้จะครองบอลได้มากขึ้น เรื่อยๆ แต่สวอนซีก็ลงไปช่วยกันรับลึก ปิดพื้นที่อันตรายได้ดี ทำให้ลิเวอร์พูลหาจังหวะจบสกอร์ได้น้อย ผ่านครึ่งชั่วโมงแรกของเกมไปแล้ว ลิเวอร์พูลก็เริ่มแผ่วลงไป ไล่เพรซซิ่งกันน้อยลง ในขณะที่บอลสั้นของสวอนซียังทำงานอยู่และประคองตัวจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ 0-0 แบบไม่ยากเย็นนัก

       เข้าครึ่งหลัง เค้าท์ได้ลงมาแทนเฮนเดอร์สัน และเล่นทางฝั่งขวา ลิเวอร์พูลดูเหมือนจะพยายามเร่งเกมให้เร็วขึ้น แต่ก็ยังฝ่ากองหลังสวอนซีไปไม่ได้ ในขณะที่สวอนซีเองยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ บอลเท้าสู่เท้ายังแม่นยำและครองบอลได้นานขึ้น มากขึ้น

       ผ่าน 1 ชั่วโมงไปแล้ว เค้าท์กับดาวนิ่งสลับฝั่งกันเล่น แต่เกมของลิเวอร์พูลยังไม่ดีขึ้น กลับกลายเป็นฝั่งสวอนซีที่เริ่มป้วนเปี้ยนเข้ามาใกล้เขตโทษได้มากกว่าครึ่ง แรก มีโอกาสจบสกอร์หลายครั้งแต่เรน่ายังเซฟไว้ได้หมด

       นาที 75 เบลามี่ได้ลงแทนคาโรลที่ครึ่งหลังหายไปจากเกม หลังจากนั้นเกมรุกของลิเวอร์พูลทำได้เร็วมากขึ้น กดดันสวอนซีให้ต้องถอยไปตั้งรับกันมากขึ้น ในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ลิเวอร์พูลกดดันสวอนซีได้ต่อเนื่องและได้ลุ้นทำประตูทั้งจากลูกครอส, ลูกฟรีคิก, ลูกเตะมุม และลูกยิงไกล แต่ก็ยังติดเซฟบ้างหลุดกรอบบ้าง ยังไม่ได้ประตู

       นาที 88 ลิเวอร์พูลยังต้องเฮเก้อ เมื่อเค้าท์โหม่งจ่อๆ เข้าประตูไปแต่เป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อน นาที 89 ซัวเรสได้ยิงก็ติดเซฟ นาที 90 เกลนได้วอลเล่ย์เต็มข้อก็ยังติดเซฟ ในที่สุดก็ทำอะไรสวอนซีไม่ได้ จบเกมไปด้วยสกอร์ 0-0
------------------------------------------

       ลิเวอร์พูลกลายเป็นหงส์แก้แหไปซะแล้ว เมื่อแก้ปัญหาอย่างหนึ่งได้แต่กลับต้องมาเจอปัญหาอีกอย่างแทน พอเกมนอกบ้านเริ่มจะกระเตื้องขึ้น เกมในบ้านที่เคยดีมาก่อน กลับกลายเป็นเสมอ 3 เกมติด เกมรับที่ดูจะเริ่มดีขึ้นมา เกมรุกกลับเริ่มมีปัญหา จังหวะัเข้าทำที่เคยทำได้มากมายในช่วงต้นฤดูกาล ดูจะเริ่มลดน้อยถอยลงไป

       จังหวะเปลี่ยนรับเป็นรุกและการ ขึ้นเกมรุก นัดนี้ทำได้ช้ามาก กว่าบอลจะขึ้นไปเลยครึ่งสนาม สวอนซีก็ลงไปรับกันแ่น่นหมดแล้ว บอลขึ้นตรงไปข้างหน้าไม่ได้ ต้องเคาะไปเคาะมากันอยู่หลายจังหวะ นอกจากนั้น นักเตะหลายคนก็พากันฟอร์มหลุดด้วย นอกจากเฮนเดอร์สันที่หลุดไปหลายนัดแล้ว ยังตามมาด้วยดาวนิ่งที่ยังไม่กลับมา และที่สำคัญคือซัวเรสดันมาหลุดตามไปด้วยเลยยิ่งเข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่

       อันที่จริงตอนนี้นักเตะในทีมก็ต้องถือว่าลงตัวแล้ว ทีมผู้เล่นตัวจริงชุดนี้ต้องเป็นตัวหลักต่อไปอย่างน้อยในฤดูกาลนี้อย่างแน่ นอน ดูแล้วทีมไม่น่าจะต้องการการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเรื่องแทคติคหรือตัวผู้เล่น แต่ต้องการความสม่ำเสมอมากกว่านี้ และต้องเล่นเพื่อผลการแข่งขันให้มีประสิทธิภาพได้มากกว่านี้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่เล่นเหมือน 10 นาทีสุดท้ายของเกมนี้ให้ได้สัก 20 นาที หรือครึ่งชั่วโมง รับรองว่าคู่ต่อสู้จะรับดีขนาดไหนต้องโดนสักลูกนั่นแหล่ะ

       ส่วนทางสวอนซี ต้องชมกันดังๆ สำหรับบอลบนพื้นที่สวยงามและมีประสิทธิภาพมาก เกมรับก็เล่นกันได้อย่างมีวินัย แผงหลังยืนตรงไลน์เป๊ะอย่างกับเอาไม้บรรทัดขีด ดูแล้วก็งงว่าเกมเยือน 5 นัดก่อนมันแพ้ไปซะ 4 และเสมออีก 1 ไปได้ยังไง
----------------------------------

วันนี้เล่นกันไม่ค่อยดี

เรน่า - พลาดออกบอลช้า 1 ครั้งเกือบทำทีมเจ๊ง แต่มีจังหวะเซฟสวยๆ หลายครั้งมาทดแทนได้


เอนริเก้ - มีเพียงช่วงต้นเกมที่เกือบโดนดายเออร์เผา แต่หลังจากนั้นก็จัดการปีกสวอนซีได้ดีตลอด เติมเกมรุกทั้งเกมแต่จังหวะสุดท้ายไม่ว่าเปิดหรือยิงทำได้ไม่ดีเท่าไหร่


แอกเกอร์ - ประกบกองหน้าและชิงจังหวะเล่นก่อนได้ดี


สเคอเทล - เหมือนแอกเกอร์แต่เล่นได้ดีกว่า

*คู่เซนเตอร์พลาดครั้งนึงในนาที 84 ที่ประกบกองหน้าสวอนซีพลาดทั้งคู่ ปล่อยให้โหม่งชงได้ง่ายๆ ดีว่าสวอนซีเองก็ยิงไม่เข้ากรอบ*

จอห์นสัน - เกมรับเหนียวแน่น เกมรุกก็ทำได้ดีพอใช้ ฟอร์มดีขึ้นเรื่อยๆ


ดาวนิ่ง - เล่นหลุดฟอร์มไปมาก ครอสบอลพลาดเยอะ เลี้ยงก็ไม่ผ่าน ประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมก็ไม่ค่อยดี (copy มาจากนัดก่อน)


อดัม - ออกไปได้ดีพอใช้ และเป็นกลางคนเดียวที่เร่งจังหวะออกบอลได้(บ้าง) เสียดายที่ยืนต่ำไป น่าจะช่วยเติมแถวสองได้มากกว่านี้


ลูคัส - สวอนซีไม่เน้นเกมรุกเท่าไหร่ งานของลูคัสก็น้อยลงไปด้วย ตัดเกมกลางสนามได้ดีทีเดียว แต่จังหวะทำเกมรุกออกบอลช้ามาก


เฮนเดอร์สัน : ผีมักซี่เข้าสิง


คาโรล - ต้นเกมเล่นได้ดี นอกจากจังหวะยิงชนคานแล้วก็มีส่วนร่วมกับทีมตลอด แต่ยิ่งเล่นยิ่งหาย พอเข้าครึ่งหลังนี่ยังดับสนิทก่อนจะถูกเปลี่ยนออกในที่สุด


ซัวเรส - ฟอร์มหลุด ส่วนนึงต้องชมกองหลังสวอนซีด้วยที่ทั้งประกบและเข้าซ้อนได้ดีตลอด แต่ถึงอย่างนั้นซัวเรสก็ยังเรียกฟาลว์และหาจังหวะยิงได้อยู่บ้าง ไม่ถึงกับหายไปกับพื้นหญ้าซะทีเดียว

เค้าท์ - ทำเกมไม่ได้ เอาลูกขยันเข้าช่วยตัดเกมและวิ่งทำทางได้บ้าง ดูดีกว่าเฮนเดอร์สันเล็กน้อยเท่านั้น

เบลามี่ - ลงมาทำให้เกมของลิเวอร์พูลเร็วขึ้นบ้าง แต่ได้บอลน้อย ไม่มีโอกาสทำอะไรมากนัก


แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : โฮเซ่ เรน่า ... ไม่ได้เรน่าช่วยไว้ 3-4 หน นัดนี้ถึงขั้นพังกันเลยทีเดียว

----------------------------------------------------------------
Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 0 - 2 ลิเวอร์พูล

คลีนชีต...นอกบ้านด้วย
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-4-2

--------------ซัวเรส-------คาโรล----------------
ดาวนิ่ง--------อดัม------ลูคัส------เฮนเดอร์สัน
เอนริเก้---แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน
----------------------เรน่า-----------------------

       ลิเวอร์พูลออกไปเยือนทีมที่กำลังฟอร์มดีอย่าง WBA มีการปรับทีมหลายตำแหน่ง เฮนเดอร์สันได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้งแต่ไม่มีชื่อเจอราดทั้งตัวจริงและ สำรอง ส่วนในแผงหลังแอกเกอร์กับสเคอเทลได้ลงตัวจริงคู่กันเป็นนัดแรก

-------------------------------------------------------

       เริ่มเกมมาแบบค่อนข้างระมัดระวังทั้งสองฝ่าย ลิเวอร์พูลเล่นช้ากว่านัดที่ผ่านๆ มา ส่วน WBA เองก็ไม่เร่งเกม ตั้งเกมของตัวเองไม่ได้ จ่ายบอลพลาดกันไปเองหลายครั้ง เพียงแค่นาที 8 ซัวเรสโดนเบียดตรงบริเวณมุมเขตโทษล้มลงไป ผู้กำกับเส้นโบกธงให้ฟาลว์ กรรมการเลยเป่าให้จุดโทษ อดัมรับหน้าที่ยิงไม่พลาด ลิเวอร์พูลขึ้นนำเร็ว 1-0

       WBA พยายามเ้น้นเกมรุกมากขึ้น แต่ยังไม่มีอะไรนอกจากความพยายาม ส่วนลิเวอร์พูลครองบอลได้น้อยลง หันมาเล่นบอลยาวให้คาโรลพักบอลลงเล่นก็ไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่ เกมส่วนใหญ่ยังสู้กันอยู่ที่กลางสนาม

       เกมค่อนข้างเอื่อย WBA ไม่มีอะไรจะมากดดันลิเวอร์พูลได้เลย กองหน้าโดนประกบติดเล่นไม่ออก กองกลางทำเกมไม่ได้ ทดเวลาเจ็บนาทีแรกยังมาโดนเข้าอีกลูกจากจังหวะโต้กลับ ซัวเรสเปิดบอลเร็วให้คาโรลจิ้มบอลผ่านผู้รักษาประตูไปได้ให้ลิเวอร์พูลนำ ห่างเป็น 2-0 ก่อนจะจบครึ่งแรก

       เข้าครึ่งหลัง  รูปเกมยังคงคล้ายครึ่งแรก แต่ดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลจะเน้นลงไปตั้งรับกันมากขึ้น แล้วอาศัยจังหวะโต้กลับเข้าเล่นงาน WBA ยิ่งเล่น WBA ก็ยิงออกทะเลไปไกลลิบ ส่วนลิเวอร์พูลได้บอลมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ได้เน้นเกมรุกมากนัก ประกอบกับตัวทำเกมอย่าง ซัวเรส,ดาวนิ่ง,เฮนเดอร์สัน เล่นค่อนข้างผิดฟอร์มไปมาก ทำให้เกมส่วนใหญ่ก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันอยู่ตรงกลางสนาม

       นาที 81 เบลามี่ลงแทนซัวเรส และ 10 นาทีสุดท้ายเป็น WBA ได้ครองบอลมากขึ้น บุกเข้าใส่ลิเวอร์พูลได้มากขึ้น แต่บอลจังหวะสุดท้ายอย่าว่าแต่ได้ยิง แค่เปิดบอลเข้าไปให้กดดันยังทำไม่ได้จนจบเกม ทำให้ลิเวอร์พูลชนะไปแบบไม่ยากเย็นนัก 2-0
------------------------------------------

       เกมนี้ค่อนข้างจะจืดชืดไม่น้อย เมื่อเกมส่วนใหญ่ค่อนข้างช้าและมีจังหวะลุ้นประตูไม่มากนัก จุดเปลี่ยนสำคัญของเกมก็คงเป็นลูกจุดโทษตั้งแต่ต้นเกม จังหวะนั้นจะว่าฟาลว์มันก็ฟาลว์ แต่ดูจะโชคดีไม่น้อยที่ได้จุดโทษ เพราะซัวเรสเองก็อยู่ค่อนข้างห่างบอล แถมหันหลังให้ประตูอีกต่างหาก ส่วนกองหลัง WBA ก็แค่บังบอลธรรมดา ไม่ได้เล่นอะไรตุกติกรุนแรง ซึ่งถ้ากรรมการไม่เป่าให้จุดโทษก็ดูไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่

       เหตุผลสำคัญที่ทำให้รูปเกมออกมาเป็นแบบนี้คือการเล่นของ WBA เมื่อแผน A ผิดพลาดไปแล้ว (คือเสียประตูไปก่อน) กลับกลายเป็นว่านอกจากจะไม่มีแผน B แล้วยังไม่มีความมุ่งมั่นอีกด้วย ทั้งตัวผู้เล่นด้วยกันเอง หรือตัวผู้จัดการทีมก็กระตุ้นทีมให้คึกคักไม่ได้ จนต้องแพ้แบบแทบไม่ได้สู้ในที่สุด

       สำหรับลิเวอร์พูล สิ่งที่ทำใด้ดีในวันนี้คือ เกมรับ ไม่ใช่เฉพาะผลลัพธ์ที่สามารถเก็บคลีนชีตได้เท่านั้น แต่นักเตะทุกคนเล่นเกมรับกันได้ดีจริงๆ คู่เซนเตอร์เล่นได้แข็งแกร่ง แบคซ้ายขวาที่เล่นได้ทั้งรุกและรับ รวมไปถึแผงกองกลางที่ลงมาช่วยรับกันตลอดเวลา นับเป็นเรื่องดีสำหรับทีมที่เสียประตูมาทุกนัดในระยะหลังๆ
----------------------------------

วันนี้เล่นกันได้ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง


เรน่า - กลับมาเล่นได้ดีอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นัดนี้ไม่ได้ถูกทดสอบอะไรมากนัก


เอนริเก้ - โดดเด่นทั้งเกมรุกและรับ ในเกมรุก เล่นได้เด่นกว่าปีกอย่างดาวนิ่ง ส่วนเกมรับก็ปิดเกมรุกฝั่งขวาของ WBA ได้สนิท


แอกเกอร์ - สกัดบอลที่ทะลักเข้ามาในเขตโทษได้ดี


สเคอเทล - ไม่เสียฟาลว์ เล่นลูกกลางอากาศได้ดี ประกบกองหน้า WBA ได้อยู่หมัด เป็นวันที่เล่นได้ดีมาก


จอห์นสัน - ดันสูงอยู่ตลอดเกม เติมเกมได้ดีพอใช้ แต่จังหวะเปิดบอลสุดท้ายทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ ส่วนเกมรับวันนี้ทำได้ดี


ดาวนิ่ง - เล่นหลุดฟอร์มไปมาก ครอสบอลพลาดเยอะ เลี้ยงก็ไม่ผ่าน ประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมก็ไม่ค่อยดี


อดัม - วันนี้เล่นเน้นไปทางเกมรับ รัำกษาพื้นที่แดนกลางได้ดี แต่ไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับเกมรุกเท่าไหร่ จังหวะวางบอลสวยๆ ก็ไม่ค่อยมีให้เห็น


ลูคัส - เล่นได้หนักหน่วงดี  ปิดพื้นที่หน้าเขตโทษได้เด็ดขาด


เฮนเดอร์สัน : มีส่วนกับเกมตรงกลางมากขึ้นเพราะมีจอห์นสันเติมสูงในพื้นที่ริมเส้น มีส่วนช่วยในการครองบอลของทีมในแดนกลาง เพราะจ่ายบอลเสียน้อยและจ่ายบอลเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่โดนไล่อยู่ได้ดี แต่การเล่นเกมรุกและการเปิดบอลทำได้ไม่ดีเลย


คาโรล -  เก็บบอลไม่ค่อยอยู่ เชคตำแหน่งล้ำหน้าไม่ค่อยดี ทั้งยังชอบดึงตัวออกมาอยู่นอกเขตโทษ ไม่ค่อยวิ่งทำทางเข้าไปจบสกอร์ในเขต ทำให้หาโอกาสยิงได้น้อยไปนิด แต่ลูกที่สองก็ถือว่ายิงได้ดีทีเดียว


ซัวเรส - มีจังหวะจ่ายบอลเร็วที่ดี ทำให้เพื่อนเล่นง่ายหลายครั้ง แต่หลายจังหวะที่พยายามเล่นเอง ฝืนเล่นยากบ่อยครั้งแล้วไม่ค่อยได้ผล ยิงไม่เข้ากรอบเลยด้วย



เบลามี่ - แทบไม่ได้แตะบอลเลย

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : โฮเซ่ เอนริเก้ ... สเคอเทลนั้นเล่นได้ดีที่สุดตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา แต่ถึงอย่างนั้น เอนริเก้ก็ยังดูดีกว่าเมื่อเด่นทั้งเกมรุกและรับ ทำได้ยอดเยี่ยมเอามากๆ

----------------------------------------------------------------
Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สโต๊ค 1 - 2 ลิเวอร์พูล

สะ...สตาร์วอร์ส สินะ
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-4-2

-------------ซัวเรส-------คาโรล----------------
มักซี่------สเปียริ่ง------ลูคัส------เฮนเดอร์สัน
แอกเกอร์---โคอาเตส----คาราเกอร์----เคลลี่
----------------------เรน่า-----------------------

       ลิเวอร์พูลปรับผู้เล่นหลายตำแหน่ง  นักเตะตัวหลักชุดบอลถ้วยได้ลงกันพร้อมหน้าทั้งโคอาเตส,สเปียริ่ง,มักซี่ มีเซอร์ไพรส์เล็กน้อยเมื่อมีชื่อแอกเกอร์ได้ลงในตำแหน่งแบคซ้าย
------------------------------------------------------

       เริ่มเกมมาก็แทบจะเป็นหนังม้วนเดิมจากภาคแรก ลิเวอร์พูลบุกเข้าใส่ เร่งจังหวะเข้าทำเร็ว ส่วนสโต๊คก็ใช้บอลยาวสาดไปเรื่อยๆ ช่วง 20 นาทีแรกลิเวอร์พูลบุกกดดันได้ดี แบคสองข้างเติมกันขึ้นมาหมด มีโอกาสยิงได้แต่ ซัวเรสยิงพลาดไปเอง
     
       พอผ่าน 20 นาทีไป  สโต๊คเริ่มใช้กับดักล้ำหน้า,การวิ่งไล่เร็วในแดนกลาง และการประกบกองหน้าอย่างเหนียวแน่นปิดเกมของลิเวอร์พูลได้ดี ทำให้ลิเวอร์พูลเริ่มบุกไม่ขึ้น (คุ้นๆ ไหม) นาที 34 สโต๊คโหม่งเข้าประตูไปได้แต่กรรมการเป่าฟาลว์ไปก่อน ด้วยสาเหตุลึกลับ...

       นึกว่ารอดแล้ว แต่นาทีสุดก่อนทดเวลาเจ็บ โคอาเตสบังบอลพลาดแถวริมเส้น โดนซัตตันแย่งไปได้ก่อนจะลากไปสุดเส้นแล้วเปิดกลับเข้ามาให้โจนส์โหม่งเช็ด เข้าไปได้ให้เจ้าบ้านนำ 1-0 และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ดังกล่าว

       เข้าครึ่งหลัง สเคอเทลได้ลงมาแทนคาราเกอร์ สโต๊คเริ่มเกมได้อย่างคึกคักกว่า โยนใส่กดดันลิเวอร์พูลได้ดีกว่าในครึ่งแรก ลิเวอร์พูลได้แต่สกัดไปเรื่อยๆ บอลมาทางไหนไปทางนั้น ตั้งเกมของตัวเองไม่ได้ แต่แล้วในสถานการณ์ที่เป็นรองนั้น นาที 54 ซัีวเรสฉีกไปรับบอลทางริมเส้นซ้าย แตะลอดขากองหลังแล้วปั่นจากมุมเขตโทษเลี้ยวเข้าเสาสองไปอย่างสวยงามให้ทีมตี เสมอได้ 1-1

       หลังจากนั้นเกมเริ่มกลับมาเป็นของลิเวอร์พูลมากขึ้น แต่พอฝั่งสโต๊คเติมค่อยขยับส่งตัวรุกลงสนาม ทั้งแพนแนนท์ในนาที 60และเจอโรมในนาที 64 สโต๊คก็เริ่มตั้งเกมของตัวเองได้มากขึ้น ในขณะที่ลิเวอร์พูลเริ่มเล่นตามเกมของสโต๊คมากขึ้นเช่นกัน แต่ยังสกัดบอลจังหวะสุดท้ายเอาไว้

       นาที 82 เบลามี่ได้ลงแทนมักซี่ แล้วก็เหมือนนำโชคลงมาให้ นาที 85 กองหลังสโต๊คสกัดบอลไม่ขาด บอลไปเข้าทางเฮนเดอร์สัน เบิ้ลโด่งมาเสาสองทันที ซัวเรสยืนอยู่โล่งๆ โหม่งย้อนเข้าเสาแรกให้ทีมนำ 2-1 ได้สำเร็จ

       หลังจากเสียประตู สโต๊คยังคงพยายามโหมบุก นาที 88 สโต๊คส่งเคร้าช์ลงแทนโจนส์ ส่วนลิเวอร์พูลส่งเค้าท์ลงแทนซัวเรสที่เดินกระเผลกออกจากสนาม แล้วนาทีสุดท้ายก่อนทดเจ็บก็เป็นเคร้าช์ที่เกือบนำความซวยมาให้ ในจังหวะที่ได้ดีดบอลจ่อๆ หลุดกรอบไปนิดหน่อย ทำให้ลิเวอร์พูลเบียดเอาชนะสโต๊คไปได้ 2-1
------------------------------------------

 ...เมื่อยคอ...จะโยนอะไรกันนักหนา

       รูปเกมนั้นต้องบอก ว่าสโต๊คเป็นฝ่ายคุมเกมเอาไว้ได้มากกว่า ลิเวอร์พูลเล่นเกมของตัวเองได้แค่ 20 นาทีแรก แต่หลังจากนั้นก็ตั้งเกมของตัวเองไม่ได้เลย จังหวะการเล่นเป็นไปในแบบที่สโต๊คถนัดมากกว่า  แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้ลิเวอร์พูลชนะมาได้ คือตัวผู้เล่นที่ดัลกลิชส่งลงสนามช่วยทำให้ทีมรอดจากการโดนบอบม์ตายคาที่มา ได้ด้วยการส่งเซนเตอร์ถึง 4 แอกเกอร์ โคอาเตส คาราเกอร์ เคลลี่(อดีตเซนเตอร์) เข้าครึ่งหลังยังเปลี่ยนสเคอเทลลงแทนคาราเกอร์ ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร แต่ที่แน่ๆ สเคอเทลลงมาเบียดปะทะเล่นลูกกลางอากาศกับกองหน้าสโต๊คได้ดีกว่าคาราเกอร์

       นอกจากนั้นคาโรลยังลงมาช่วยรับมือในลูกตั้งเตะได้ดีตลอดเกม ไม่น่าจะน้อยกว่า 1 ใน 3 ของการสกัดลูกตั้งเตะ ทั้งลูกทุ่ม เตะมุม ฟรีคิก เป็นคาโรลที่สกัดออกไปได้ ... ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องดีหรือเปล่า แต่เอาเป็นว่ามันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รอดมาได้ก็แล้วกัน

       สำหรับข้อด้อยในวันนี้คงจะเกมรับที่พลาดอีกแล้ว รวมไปถึงจังหวะการเข้าทำ แม้จะทำได้ 2 ประตู แต่ก็ไม่ได้มาจากการประสานงานที่ดีสักเท่าไหร่ ลูกแรกเป็นความสามารถเฉพาะตัว ลูกที่สองมีโชคนิดๆ ที่บอลมันเข้าทางเฮนเดอร์สันพอดี ในวันที่ไม่มีเจอราด ดาวนิ่ง อดัม กองกลางของลิเวอร์พูลดูจะด้อยในเรื่องการสร้างโอกาสทำประตูลงไปถนัดตา

       อาจมีบางคนคิดว่ารูปเกมเป็นยังไงก็ช่าง ชนะได้เป็นพอ แต่วันนี้ถ้าซัวเรสเกิืดยิงไม่เข้ากรอบเหมือน 2 นัดล่าสุดที่เสมอมารวด ลิเวอร์พูลก็แพ้ไปเีรียบร้อยแล้วนะครับ และสำหรับบางคนที่ไม่ชอบเรื่องโชคลาง วันนี้ลิเวอร์พูลโชคดีถึง 3 ชั้น เมื่อลูกที่สโต๊คทำได้ในนาที 34 ถูกเป่าฟาลว์ไปก่อน(หลังเกมอาจจะมีคำตอบว่าทำไม แต่ที่แน่ๆ ในนาทีนั้นถ้ากรรมการไม่เป่าก็คงไม่แปลก) ประตูที่สองในนาที 85 ก็เป็นกองหลังสโต๊คโหม่งชงมาให้เฮนเดอร์สันอย่างเหมาะเจาะ และนาทีสุดท้ายของเกมที่เคร้าช์ยิงพลาดไปนิดเดียวไม่งั้นก็เสมอแล้ว

...รูปเกมกับโชค เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้สำหรับฟุตบอลครับ...
----------------------------------

วันนี้ส่วนใหญ่เล่นกันได้แค่เสมอตัว...ค่อนไปทางไม่ดี

เรน่า - จิตตก หลอน หวาดผวา ตัดบอลพลาดหลายครั้งและเปิดบอลพลาดทั้งเกม ยังดีว่าไม่มีข้อผิดพลาดจนถึงขั้นทำให้ทีมเสียหายหนัก


แอกเกอร์ - เติมเกมรุกสูงมากทำได้ดีในเรื่องนั้น  แต่บางครั้งก็บุกเพลินจนลงไม่ทัน


โคอาเสต - จังหวะบังบอลพลาดแบบไม่น่าให้อภัย แต่นอกจากจังหวะนั้นก็เข้าบอลได้ดี และเล่นลูกกลางอากาศได้ดีด้วย


คาราเกอร์ - เบียดปะทะกองหน้าได้ไม่ดีนัก ยังดีว่าช่วงเวลาที่อยู่ในสนามสโต๊คยังไม่ได้เปิดเกมรุกสักเท่าไหร่


เคลลี่ - เหมือนแอกเกอร์

มักซี่ - ได้ลงสนามนะ กราฟฟิคก่อนเกมขึ้นไม่ผิด


สเปียริ่ง - ทำตัวเกะกะได้ดี มีความหนักและการสกัดที่หนักหน่วงใช้ได้ แต่การขึ้นบอลทำได้ช้าไป


ลูคัส - เหมือนสเปียริ่งแต่เล่นได้ดีกว่า ไม่เปิดโอกาสให้สโต๊คได้เก็บบอลหรือยิงไกลแถวๆ หน้าเขตโทษเลยตลอดเกม


เฮนเดอร์สัน : เป็นกองกลางคนเดียวที่ดูจะพึ่งพาให้เปิดบอลเข้าทำได้มากที่สุดแล้ว แต่โยนไปไหนไม่รู้ตลอดทั้งเกม ยกเว้นจังหวะเดียวที่แม่น คือจังหวะที่ได้ลูกที่สอง


คาโรล -  เก็บบอลได้ดี โหม่งชงและทำชิ่งกับเพื่อนเยี่ยม แต่หาตำแหน่งทำประตูได้น้อยไปหน่อย นัดนี้มีพิเศษใส่ไข่ในการลงมาช่วยเกมรับในจังหวะลูกตั้งเตะได้ดีตลอดเกม


ซัวเรส - แม้จะยิงพลาดไปไม่น้อย แต่ก็ยังทำได้ 2 ประตู ลงมาทำเกมแทนกองกลางอยู่ตลอดด้วย

สเคอเทล - เล่นได้แข็งแกร่งและไม่น่าเชื่อว่าเป็นกองหลังคนเดียวที่ดูจะสกัดบอลแบบมีทิศทางที่สุดของลิเวอร์พูลในนัดนี้

เบลามี่ - มีโอกาสได้ยิงถากเสาหนึ่งครั้ง นอกนั้นก็แทบไม่ได้บอล


เค้าท์ - มีเวลาอยู่ในสนามไม่มาก ไม่ได้ทำอะไร


แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : หลุยส์ ซัวเรส...เบื่อกันรึยัง ชื่อนี้?

----------------------------------------------------------------
Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ลิเวอร์พูล 1 - 1 นอริช ซิตี้


กรอบประตูมันเล็กไปหน่อย
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลกลับมาเล่น 4-4-2

--------------ซัวเรส-------เค้าท์----------------
เบลามี่-------อดัม--------เจอราด-------ดาวนิ่ง
เอนริเก้---สเคอเทล---คาราเกอร์----จอห์นสัน
----------------------เรน่า-----------------------

       ลิเวอร์พูลกลับมาเล่น 4-4-2  แต่มีการปรับบางตำแหน่ง เค้าท์ได้เล่นข้างหน้า ส่วนเบลามี่ได้ลงตัวจริงทางฝั่งซ้าย แล้วโยกเอาดาวนิ่งไปเล่นทางขวา แผงหลังได้จอห์นสันมายืนแบคขวาอีกครั้ง ส่วนนักเตะที่คาดว่าจะได้ลงอย่างเฮนเดอร์สันกับคาโรลได้เริ่มเกมบนม้าันั่งสำรอง
-------------------------------------------------------

       เริ่มเกมมานอริชเน้นเกมรับ รักษาพื้นที่ของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ในจังหวะเกมรุกขึ้นมากันน้อย ส่วนทางลิเวอร์พูลเร่งเกมตั้งแต่ต้นและได้โอกาสกดดันอยู่ตลอด 15 นาทีแรกเป็นเกมของลิเวอร์พูลฝ่ายเดียวแต่จังหวะจบสกอร์ัยังทำได้แค่ชนเสา ชนคาน 

       ผ่าน 15 นาทีไปแล้วนอริชพยายามเล่นให้ช้าลงและหันมาเ้น้นการดักล้ำหน้า จนสามารถลดทอนประสิทธิภาพเกมรุกของลิเวอร์พูลลงไปได้มาก แต่นอริชเองก็ยังไม่กล้าบุกขึ้นมา ทำให้เกมส่วนใหญ่สู้กันอยู่ที่กลางสนาม

       เกมครึ่งแรกทำท่าว่าจะจบแบบไร้ประตู แต่ในช่วงนาทีสุดท้าย เอนริเก้วางบอลยาวให้ซัวเรสโดนทำฟาลว์แต่ผู้ตัดสินให้เป็นลูกได้เปรียบ ทำให้เบลามี่ที่เก็บบอลได้ลากเข้าไปยิงให้ทีมขึ้นนำ 1-0

       เข้าครึ่งหลัง นอริชหันมาเปิดเกมรุกเต็มตัวและทำได้ดี เกมเปิดมากขึ้นเพราะลิเวอร์พูลก็มีพื้นที่เล่นมากขึ้นเช่นเดียวกัน แล้วก็เป็นลิเวอร์พูลที่ยังคงได้ลุ้นมากกว่าแต่ยังทำประตูเพิ่มไม่ได้

       นาที 57 นอริชปรับเกมด้วยการส่ง โฮลท์ ลงมาแทนเบนเนท แล้วหันมาเล่นบอลยาวเน้นการโจมตีด้วยลูกกลางอากาศของโฮลท์ ซึ่งได้ผลทันตาเห็น เพียงแค่ 3 นาทีถัดมาก็สามารถตีเสมอได้จากลูกครอสเข้าไปในเขตโทษแล้วโฮลท์สามารถโฉบโหม่งตัดหน้าคาราเกอร์และเรน่าเข้าไปได้ ทำให้เกมมาเสมอที่ 1-1

       หลังได้ประตูขึ้นนำนอริชแม้จะไม่โหมบุกหนักมากนักแต่ลูกกลางอากาศของโฮลท์ยังกดดันลิเวอร์พูลได้ต่อเนื่อง จนดัลกลิชต้องปรับเกมบ้าง นาที 69 ส่งเฮนเดอร์สันมาแทนเบลามี่ ให้เฮนเดอร์สันเล่นทางขวาแล้วโยกดาวนิ่งมาเล่นทางซ้าย แต่เกมรุกของลิเวอร์พูลยังไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่

       นาที 80 คาโรลได้ลงมาแทนดาวนิ่ง ลิเวอร์พูลเริ่มบุกไม่ค่อยขึ้นและขึ้นบอลเสียไปเองหลายครั้ง ทำให้นอริชพอได้ลุ้นบ้างจากลูกยิงไกลนอกเขตกับการครอสบอลไปลุ้นในเขตโทษแต่กองหลังลิเวอร์พูลยังไม่พลาด

       นาที 91 ดัลกลิชทิ้งไพ่ใบสุดท้ายด้วยการส่งแอกเกอร์ลงมาแทนเค้าท์ ปรับเล่นกองหลังสามคน ดันเอนริเก้ขึ้นไปเล่นปีก สามารถกดดันกองหลังนอริชได้มากขึ้น แต่จังหวะจบสกอร์ยังทำได้แค่เฉียดไปเฉียดมาเหมือนเดิม จบเกมจึงทำได้แค่เสมอกับนอริชไป 0-0
------------------------------------------

       การทำได้แค่เสมอกับนอริชในบ้านย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่ลิเวอร์พูลก็ไม่ได้เล่นแย่อะไร ไม่ว่าจะเป็นแผนการเล่นหรือฟอร์มของนักเตะเองก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว สิ่งที่ลิเวอร์พูลทำได้ดีในนัดนี้คือการทำเกมรุก สามารถขึ้นบอลได้หลากหลาย ใช้พื้นที่เต็มสนาม แบคสองข้างทำงานของตัวเองได้ดี ถ้าจังหวะจบสกอร์บอลมันเป็นใจกว่านี้อีกสักนิด คงชนะขาดไปได้ไม่ยาก

       ส่วนสิ่งที่ดูจะไม่ค่อยดีนักก็คงจะเป็นแดนกลางตรงกลาง เจอราดกับอดัมเล่นเกมรุกร่วมกันได้วูบวาบและเพลินตาดีเหลือเกินในครึ่งแรกที่ผลัดกันวางบอล ผลัดกันเติมได้ดีตลอด แต่พอเข้าครึ่งหลังที่นอริชหันมาบุกสู้มากขึ้น เจอราดกับอดัมปล่อยให้นอริชขึ้นเกมได้ง่ายไปหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิ่งตามแถวสองของนอริชที่เติมขึ้นมารับบอลจากโฮลท์นั้นทำได้ไม่ดีเอามากๆ 

       มองไปที่การเปลี่ยนตัวและการปรับแทคติคของดัลกลิช วันนี้มีเรื่องน่าแปลกใจอยู่อย่างเดียวคือจังหวะที่เปลี่ยนคาโรลลงแล้วถอดดาวนิ่งออก คือคาโรลในนาทีนั้นแ่น่นอนว่าส่งลงไปเพื่อเล่นลูกกลางอากาศและเข้าชาร์จในเขตโทษ แต่ดันเปลี่ยนคนที่ครอสบอลเข้าไปในเขตโทษได้ดีที่สุดในสนามอย่างดาวนิ่งออก นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจมากนัก
----------------------------------

วันนี้ส่วนใหญ่เล่นกันดี

เรน่า - ออกมาตัดบอลพลาดครั้งเดียวเป็นเรื่องเลย นอกนั้นก็ทำได้ีดีตลอดโดยเฉพาะการเซฟลูกโหม่งเผาขนได้ครั้งหนึ่ง

เอนริเก้ - ยังเล่นเกมรับได้ดีอยู่ ส่วนเกมรุกก็เติมขึ้นไปตลอดเพียงแต่วันนี้บอลที่ครอสเข้ากลางไม่ผ่านกองหลังเลย

สเคอเทล - เสียฟาลว์น้อย เล่นลูกกลางอากาศได้ดีพอใช้

คาราเกอร์ - ช้าลงและไม่แข็งแกร่งเหมือนแต่ก่อน ถ้าย้อนไปสัก 2-3 ปี ลูกที่เสียประตู โฮลท์ไม่มีทางเข้าถึงบอลเด็ดขาด

จอห์นสัน - เกมรับทำได้ดี ส่วนเกมรุกมีจังหวะวูบวาบแค่ช่วงต้นเกม หลังจากนั้นก็หายไป 

ดาวนิ่ง - เลี้ยงบอลไม่ผ่านเลย การยิงก็ทำได้ไม่ดี แต่การครอสบอลเข้ากลางนี่ทำไ้ด้ดีสุดๆ บรรจงวางเข้าหัวซัวเรส เค้าท์ เบลามี่ไปคนละลูกสองลูก แต่คนโหม่งทำได้ดีไม่ดีพอกันไปเอง

อดัม - วางบอลได้ดีอยู่ แต่ช่วยเกมรับน้อยเกินไป และยืนสูงเกินไปสำหรับแทคติคแบบนี้ ถ้าเล่น 4-5-1 จะไม่เป็นปัญหาเลย

เจอราด - เล่นได้ดีอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นดูหมดแรงอย่างชัดเจน วิ่งเข้าไปถึงเขตโทษไม่ว่าจะเป็นฝั่งตัวเองหรือฝั่งตรงข้ามไม่ไหว

เบลามี่ : ครึ่งแรกพยายามทำเกมร่วมกับเอนริเก้แต่วันนี้ฝ่าด่านกองหลังไปไม่ค่อยได้ แต่มาทำได้ดีในจังหวะที่เป็นประตู 

เค้าท์ -  เล่นในฐานะหน้าต่ำได้ดีพอใช้ ขาดเพียงแค่ทีเด็ดทีขาดในการจ่ายบอลและยิงประตู...ซึ่งเค้าท์ก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้ว

ซัวเรส - ล้มง่ายไปหน่อย บางจังหวะถ้าฝืนไปอีกสักนิดน่าจะดีกว่า แต่การชิงจังหวะบอลกับกองหลังและการพลิกตัวหาจังหวะยิงถือว่าทำได้สุดยอด เสียดายที่วันนี้ยิงยังไงก็ไม่เข้ากรอบ

เฮนเดอร์สัน - แทบไม่มีบทบาททำอะไร

คาโรล - เกือบได้เป็นฮีโร่ หาโอกาสได้ดีแล้ว โหม่งพลาดไปแค่ไม่กี่ินิ้ว 

แอกเกอร์ - ลงมาเพื่อเปิดโอกาสให้เอนริเก้ได้ขึ้นไปข้างหน้า แค่นั้น

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : กรอบประตู...จะโหม่ง จะยิง จะแฉลบ มันเซฟได้หมด
----------------------------------------------------------------