วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

บทสรุปลิเวอร์พูล ฤดูกาล 2015-2016



บทสรุปลิเวอร์พูล ฤดูกาล 2015-2016

_______ เป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในทีมเยอะเหลือเกิน ทีมเริ่มต้นกับร็อดเจอร์แบบไม่น่าเชื่อและการไล่ล่าโควต้า UCL ก่อนจะจบลงด้วยการชิงบอลถ้วย 2 ครั้ง กับผู้จัดการทีมคนใหม่ เจอร์เก้นคล็อป

_______ ระหว่างฤดูกาล ช่วงระหว่างเปลี่ยนผ่านผู้จัดการทีมทำให้ 11 ตัวจริงเปลี่ยนไปมา, อาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างหนักหน่วง อิ้งค์กับโกเมสปิดเทอมยาวไปก่อนใคร, เฮนเดอร์สันที่ควรจะเป็นตัวหลักก็เจ็บไปหลายเดือน, คนอื่นๆ ก็เจ็บกันคนละสองสามอาทิตย์แบบถ้วนทั่วทุกตัวคน รวมไปถึงจำนวนนัดแข่งขันที่ีล่อไป 63 เกม!, นักเตะบางคนฟอร์มหายไปดื้อๆ และคำสาบ 2-0…. ทำให้ฤดูกาลนี้ทีมแกว่งไปมา ฟอร์มขึ้นๆ ลงๆ ให้เห็นเยอะอยู่

_______ เรามาย้ำเตือนความทรงจำกันดีกว่าว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้าง

สิงหาคม - “เอาจริงดิ”

_______ จากผลงานที่น่าผิดหวังอย่างที่สุดในฤดูกาลก่อน แถมตบท้ายด้วยการพ่ายแพ้หมดรูปต่อสโต๊ค 6-1 ในนัดปิดฤดูกาลก่อนหน้า ทั้งสื่อทั้งแฟนบอลต่างมั่นอกมั่นใจกันไปตามๆ กันว่าแบรนดอน ร็อดเจอร์ต้องเด้งแน่ ไม่รอดแน่ แต่สุดท้ายแล้วเขายังได้ทำทีมต่อในฤดูถัดมา แถมโชว์ของตั้งแต่เปิดฤดูฯ ด้วยการส่งโจ โกเมส เซ็นเตอร์ดาวรุ่งถนัดเท้าขวาจากลีคล่างที่พึ่งซื้อมา ลงเล่นเป็นแบ็คซ้ายตัวจริงให้กับทีมตลอดเดือนแรกของฤดูฯ ...ทั้งๆ ที่โมเรโน่ลงได้ ...เอาจริงดิ

กันยายน - “#saverodgers”

_______ เดือนถัดมาร็อดเจอร์ก็เก้าอี้ระอุขึ้นมาทันที เริ่มตั้งแต่แพ้เวสต์แฮมเละเทะ 3-0 คาบ้านแบบไร้รูสู้ช่วงปลายเดือนสิงหา, แพ้แมนฯยูในเกมแดงอุ่น เล่นกันมุ้งมิ้งๆ น่ารัก, ต่อด้วยเกมไม่เอาแล้วโว้ยยูโรป้าส่งเด็กไปเสมอบอร์กโดซ์, แล้วกลับมาเสมอทีมนางทาสอย่างนอริช 1-1, ร็อดเจอร์จวนไปมิไปแหล่ แต่นัดสุดท้ายของเดือน ยอดกุนซือสมองเพชร(เก๊)อย่างทิม เชอร์วู๊ด พาลูกทีมมาเล่นแบบปอดแหกจนแพ้ลิเวอร์พูล 3-2 บุกมาเป็นยิงเข้าแต่พี่แกไม่บุก ทำให้ร็อดเจอร์ผ่านเดือนนี้ไปได้อย่างเหลือเชื่อ ...แต่โกเมสไม่รอดแล้ว เริ่มหลุดจากทีมไป (คุณน้องหลุดทีมก่อน แล้วถึงจะไปขาหักเอากลางเดือนถัดไปในเกมทีมชาติ u21)

ตุลาคม - “เฮฟวี่เมทัล”

_______ แม้เชอร์วู๊ดจะช่วยร็อดเจอร์ไว้ได้แปปนึง แต่ทีมยังไม่ชนะต่อมาอีกสองนัดจนในที่สุดทีมก็ตัดสินใจครั้งใหญ่ที่ทำให้แฟนบอลทั้งโลกต้องตะลึง(ว่า-ึงไม่ทำงี้ไปตั้งแต่ซัมเมอร์ล่ะโว้ย) ด้วยการปลดร็อดเจอร์ ตั้งคล็อปเข้ามาคุมทีมแทน ซึ่งคล็อปก็ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง สั่งทีมเดินหน้าลุยมันทุกเกม ไล่มันตั้งแต่นาทีแรก เป็นจังหวะการเล่นที่ไม่ได้เห็นจากทีมมานานมากแล้ว และที่สำคัญ เดือนนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความบ้าคลั่งของฤดูนี้ด้วยจำนวนการเล่นถึง 7 นัด! ภายในเดือนเดียว ซึ่งทีมจะเล่นเยอะแบบนี้ไปอีกตลอดฤดูที่เหลือ

พฤศจิกายน - “ทำได้ยังไง?”

_______ เป็นเดือนที่ผลงานของทีมพุ่งกระฉูดหยุดไม่อยู่เลยทีเดียว ในลีคเก็บชัยชนะได้อีกสองนัด ส่วนในเกมยุโรป คล็อปกเบนเข็มมาเน้นยูโรป้าเต็มที่ ซึ่งเอาชนะได้ทั้งคาซานและบอร์กโดซ์ การันตีการเข้ารอบของทีมก่อนจะไปเล่นนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มด้วยซ้ำ ความพ่ายแพ้ครั้งเดียวในเดือนนี้ต่อพาเลซเป็นความพ่ายแพ้ที่ “เข้าใจได้” เพราะพึ่งบินไกลไปรัสเซีย(เล่นกับคาซาน)มา แถมได้พักน้อยอีกต่างหาก แต่ที่เหลือเชื่อที่สุด และเป็นที่มาของคำโปรยประจำเดือนก็คือ… เดือนนี้คล็อปสลับสับเปลี่ยนคนเล่นและตำแหน่งที่เล่นกันให้วุ่นไปหมดเพราะยังหาทีมที่ดีที่สุดไม่ได้ แล้วดูผลงานที่ออกมาสิ!

ธันวาคม - “ลางร้าย”

_______ จากผลงานขาขึ้นเมื่อเดือนก่อน มาถึงเดือนนี้แม้จะจั่วหัวอย่างโหดด้วยการไล่ถล่ม “ซิกซ์แธมป์ตัน” ไป 6-1 ในเกมแคปปิตอลวันคัพ แต่หลังจากนั้นทีมมีปัญหากับการยิงประตูเหลือเกิน, เตะกับทีมเล็ก(หมายถึงพวกไม่ได้หวังลุ้นแชมป์หรือลุ้นไปยุโรป) แล้วมีปัญหามากอย่างเหลือเชื่อจนถึงขั้นแพ้ทั้งนิวคาสเซิล วัตฟอร์ดและเกือบตายในการเจอกับ WBA ...ความฮาในเดือนนี้คือทีมดันทะลึ่งชนะเลสเตอร์มันซะงั้น ทั้งฤดูนี้เลสเตอร์แพ้อยู่สองทีมเท่านั้นคือลิเวอร์พูลกับอาร์เซนอล! คุยกับพ่อ(กูนเนอร์ส)เรื่องนี้ทีไรฮากระจายทั้งน้ำตาทุกที

มกราคม - “เทพบอลถ้วย”

_______ 9 นัด! ใช่ครับ ทีมเล่นเดือนนี้เดือนเดียว 9 นัด ไม่รู้มีปอดอะไหล่เอาไว้เปลี่ยนกันรึยังไง ส่วนนึงก็ต้องบอกว่าทำตัวเองด้วยนั่นแหล่ะ ทั้งในด้านดีคือการหลุดเข้าไปถึงรอบรองแคปปิตอลวันคัพซึ่งต้องเล่นแบบไปกลับ, เข้ารอบเอฟเอคัพ ทั้งในด้านร้ายคือการไปเสมอทีมรองบ่อนอย่างเอ็กเซเตอร์ในเอฟเอคัพจนทำให้มีนัดรีเพลย์งอกขึ้นมาอีกหนึ่งนัด ผลลัพธ์ในบอลถ้วยต้องจัดว่าเยี่ยม เพราะนอกจากผ่านเข้ารอบยูโรป้าในเดือนก่อน ในเดือนนี้ยังผ่านสโต๊คเข้าไปชิงแคปปิตอลวันคัพได้สำเร็จ, เอฟเอคัพก็ยังไม่ตกรอบ ส่วนฟอร์มในพรีเมียร์ลีคก็ลืมๆ ไปก่อนแล้วกัน (ชนะ 1, เสมอ 1, แพ้ 2)

กุมภาพันธ์ - “คืนนั้น สวรรค์ล่ม”

_______ ไม่ใช่ล่มรอบเดียวแต่ล่มหลายรอบ ล่มกันทั้งเดือน เริ่มตั้งแต่นำสองลูกแต่โดนซันเดอร์แลนด์ ซันเดอร์แลนด์!!! (ถ้าเป็นซิตี้, สเปอร์จะไม่คิดเลย) ตีเสมอ แล้วยังมาล่มต่อในเอฟเอคัพที่โดนเวสต์แฮมยิงตอนทดเวลาบาดเจ็บของช่วงต่อเวลาพิเศษ นาที 120+1 ตกรอบเอฟเอคัพ เท่านั้นยังล่มไปพอ นัดชิงแคปปิตอลวันคัพกับซิตี้ แพ้ไปตอนดวลจุดโทษให้มันสะเทือนใจเล่นเข้าไปอีก เรียกว่าชัยนะ 6-0 ในการเจอกับแอสตัน “แชมเปี้ยนชิพ” วิลล่า หรือการผ่านเข้ารอบยูโรป้าในการเตะไปกลับกับเอ๊าซ์บวร์กไม่ได้ช่วยปลอบประโลมใจได้เลย

มีนาคม - “อย่างน้อยก็สะใจ”

_______ วืดแคปปิตอลไปแล้ว, เอฟเอคัพก็ร่วง, อันดับในลีค(ตอนนั้น) แม้คะแนนจะไม่ได้ห่างมากแต่ก็ยากจะลุ้นที่ 4 แต่กลายเป็นว่าเดือนนี้เป็นเดือนที่ทีมหันหัวเรือกลับฝั่งได้อย่างสวยงาม ชนะซิตี้(เท่ากับฤดูนี้ชนะไปกลับด้วย), ชนะพาเลซ และไฮไลท์สำคัญคือการเขี่ยแมนฯยูฯ ที่พึ่งตกรอบ UCL มาให้ตกรอบยูโรป้าต่อด้วยผลรวม 3-1 ในการเจอกันไปกลับ ...ก่อนที่จะเรียกเสียงฮาด้วยการนำ 2-0 แต่จบเกมแพ้ 3-2 ด้วยฟอร์มของกัปตัน(เรือ)สเคอเทลอันลือลั่นในนัดเจอเซาท์แธมป์ตัน จบนัดนี้ทั้งฟอร์มของสเคอเทลเอง, ความเชื่อใจของคล็อปที่ผ่านมาทางการจัดตัวจริง,ตัวสำรอง การเปลี่ยนตัวสำรอง ต้องบอกว่าสเคอเทลกับลิเวอร์พูล “จบแล้ว”


เมษายน - “#lucha libre”

_______ ทุกสายตาจ้องมองไปที่ยูโรป้าแต่เพียงอย่างเดียวแล้ว เพราะเรื่องราวทั้งหมดมาสุมอยู่ที่นี่ ทั้งการที่พึ่งเขี่ยแมนยูตกรอบไป เจอกับทีมเก่าและเต็งแชมป์ถ้วยนี้อย่างดอร์ทมุนด์ และเกมที่สุดยอดที่สุดอีกนัดนึงในประวัติศาสตร์สโมสรกับการกลับมาแซงชนะดอร์ทมุนด์ได้อย่างเหลือเชื่อ และจบเดือนด้วยการแพ้บียารีลในนัดแรกแค่ 1-0 ทำให้ยังมีหวังหลุดเข้าชิงได้อยู่ ส่วนพรีเมี่ยร์ลีคนะเหรอ?  เดือนนี้ทีมฟอร์มดีเหลือเชื่อ(เหลือเชื่อเพราะต้องแบ่งสมาธิและหมุนเวียนผู้เล่นกับถ้วยยูโรป้า) ชนะได้สองนัด เสมอกับทีมลุ้นแชมป์อย่างสเปอร์ ซึ่งทั้งสามนัดที่ว่ามาถูกพูดถึงน้อยกว่านัดที่นำ 2-0(อีกแล้ว) แต่เสมอ 2-2 กับ...นิวคาสเซิล

พฤกษาคม - “ความเจ็บปวด”

_______ เดือนสุดท้ายของฤดูกาล นอกจากชัยชนะต่อบียารีลที่ทำให้ทีมเข้าไปชิงยูโรป้าแล้ว เกมในลีคต้องเรียกว่า “ช่างแม่ง” ไปเรียบร้อย ทั้งคนเล่นคนดูก็เตะก็ดูแก้บนกันไป ขนาดเกมนัดสุดท้ายในแอนฟิลด์ หรือเกมสุดท้ายของฤดูที่ออกไปเยือน WBA ก็ล้วนไม่ได้ยินเสียงเชียร์ของแฟนบอลในสนามเท่าไหร่แล้ว ทุกคนรอแค่นัดชิงยูโรป้าและเมื่อเวลามาถึงก็…
________________________________________

_______ ฤดูกาลนี้จบไปเรียบร้อยแล้ว ลิเวอร์พูลจบอันดับ 8 ในลีค มี 60 คะแนน ตามหลังแชมป์อย่างเลสเตอร์อยู่ 21 คะแนน, ตามหลังซิตี้อับดับ 4 อยู่ 6 คะแนน, ไปถึงรอบชิงยูโรป้าลีคและแคปปิตอลวันคัพ, ในเอฟเอคัพตกรอบ 4 ด้วยการพ่ายเวสต์แฮม


_______ ถึงวันนี้ ตามข่าวเท่าที่ทราบ ทีมกำลังตะลุยตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์อย่างรุนแรงและเหมือนต้องการจะปิดดีลให้ได้ก่อนทัวร์นาเม้นต์ยูโรฯจะเริ่มขึ้น ตอนนี้ได้โกล์ใหม่มาคนนึงแล้ว และดูจากข่าวแบ็คซ้ายก็จะมาแน่ๆ ด้วยแต่ยังไม่รู้จะเป็นใคร ตำแหน่งอื่นๆ รอดูกันต่อไปครับ

_______ ขอบคุณที่ตามอ่านกันมาอีกหนึ่งฤดูกาล หวังว่าฤดูกาลหน้าทั้งคนอ่านและคนเขียนจะยังสามารถจัดเวลามาดู มาอ่าน มาคุยกันต่อได้นะครับ 555+

ป.ล. จะเขียนคอมเม้นต์นักเตะรายบุคคลอีกรอบนึงครับ ตั้งใจจะโพสพรุ่งนี้ช่วงหัวค่ำ(ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มเลย)  ถ้ายังไม่เบื่อกันซะก่อนไว้รออ่านกันได้นะ

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ลิเวอร์พูล 1-3 เซบีย่า (ยูโรป้านัดชิงฯ)


“ถ้า”
___________________________

ลิเวอร์พูลเล่นด้วย 4-2-3-1

-------------------สเตอริดจ์-----------------
คูตินโย่-----------เฟอมิโน่--------ลัลลาน่า
------------ชาน-----------มิลเนอร์----------
โมเรโน่-----ตูเร่-------ลอฟเรน------ไคลน์
--------------------มินโยเล่------------------

_______ เกมนัดชิงยูโรป้าลีคกับเซบีย่า นัดนี้ชานกับมิลเนอร์ยืนคู่กันในแดนกลาง เฮนเดอร์สันกับอัลเลนยังเป็นแค่ตัวสำรอง แดนหน้าสเตอริดจ์ได้ลงก่อนทั้งเบนเทเก้และโอริกิ
-------------------------------------------------------

________ ลิเวอร์พูลเริ่มต้นเกมด้วยการบีบแดนกลางให้แคบ หลังขึ้นมาถึงกลางแดน ตรงกลางเข้าบอลให้เร็ว ในเกมรุกไม่ต่อบอลแดนหลังเลยแต่รีบจ่ายขึ้นหน้า ส่วนเซบีย่าต่อบอลบุกได้มากกว่า เน้นการโยนลึกเข้าเขตโทษและเน้นการเล่นฟรีคิกด้วยการโยนยาว ทั้งสองทีมตัดฟาล์วกันบ่อยเพราะไม่อยากโดนโต้กลับ

_______ เซบีย่าดูดีกว่าในแง่การครองบอลบุกแต่การหาโอกาสลุ้นประตูลิเวอร์พูลทำได้ดีกว่า เกมทางขวาทำได้ไหลลื่นทั้งไคลน์ที่เติมขึ้นมาได้เยี่ยม ลัลลาน่ากับมิลเนอร์ที่ขยับช่วยกันออกไปรับส่งบอลได้ดี พอผ่าน 20 นาทีของเกมไปลิเวอร์พูลก็ครองบอลได้มากขึ้น ทำให้เกมเริ่มดีกว่าชัดเจนแล้ว

_______ นาที 35 ลิเวอร์พูลขึ้นนำได้สำเร็์จ เฟอมิโน่ได้บอลกลางแดนเซบีย่าก่อนส่งต่อให้คูตินโย่ต่อไปถึงสเตอริดจ์ที่ขยับไปรับบอลเยื้องไปทางมุมซ้ายในเขตโทษ ก่อนเจ้าตัวตัดสินยิงแบบเหนือชั้น คาดไม่ถึง ด้วยการใช้เท้าซ้าย(ทั้งๆ ที่ก็อยู่มุมซ้ายอยู่แล้วนะ) ปั่นไซร้ก้อย บอลเลี้ยวหนีมือผู้รักษาประตูเสียบเสาสองเข้าไปได้อย่างสวยและงงในเวลาเดียวกัน 1-0

_______ พอขึ้นนำได้ ลิเวอร์พูลเก็บบอลไว้กับตัวดึงให้เซบีย่าขึ้นมาไล่มากขึ้น คุมจังหวะเกมได้ เกมดีกว่าชัดเจน นาที 39 จากลูกเตะมุมลอฟเรนก็โหม่งเข้าไปแล้วแต่สเตอริดจ์ที่ล้ำหน้าอยู่ทางเสาหนึ่งดันไปยกขาจะเล่นเลยโดนจับล้ำหน้าอดได้ประตูที่สอง แถมตลอดครึ่งแรกนี่เซบีย่าทำแฮนด์บอลจะๆ ในเขตโทษถึงสามครั้งแต่ไม่เสียจุดโทษแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้แม้เกมจะดีกว่าชัด เจาะเข้าไปได้ถึงเขตโทษ แต่สุดท้ายแล้วจบครึ่งแรก ลิเวอร์พูลนำอยู่แค่ 1-0

_______ เข้าครึ่งหลัง เซบีย่าเป็นฝ่ายเขี่ยบอล และจากการรุกครั้งเดียวนี้ก็ตีเสมอได้อย่างรวดเร็วแค่ 18 วินาที จากจังหวะที่เปิดบอลมาทางโมเรโน่ซึ่งกระโดดตัดบอลได้แล้วแต่เคลียร์ไม่ขาด เซบีย่าเก็บบอลสองได้อีกจ่ายบอลขึ้นมาทางริมเส้น แล้วก็เป็นโมเรโน่อีกครั้งที่โดนแตะบอลลอดขาจนทำให้มาริอาโน่ได้หลุดเปิดเรียดเข้ากลาง กาเมโร่ชาร์จไม่พลาด 1-1

_______ พอตีเสมอได้ชนิดลิเวอร์พูลช็อคกันไปทั้งโลก เกมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที เซบีย่าขยับขึ้นมาไล่ในแดนลิเวอร์พูลมากขึ้น ในขณะที่ทางฝั่งลิเวอร์พูลเสียสมาธิอย่างเห็นได้ชัด รับส่งต่อบอลติดขัด ตัดสินใจพลาด แม้จะพยายามรุกขึ้นไปทางขวาจนถึงมุมธงได้อยู่ แต่คุมเกมไม่ได้ และครองบอลบุกต่อเนื่องก็ไม่ได้ เป็นเซบีย่าที่ตัดบอลแล้วทำเร็วกดดันได้ดีกว่า

_______ ยิ่งเวลาผ่านไป ลิเวอร์พูลยิ่งแย่ลงๆ การวิ่งไล่บอลในแดนหน้าที่ทำได้ดีมากในครึ่งแรกหยุดไปแล้ว ซ้ำร้ายการต่อบอลจากหลังไปหน้าก็เริ่มทำได้แย่ลง เอาชนะการวิ่งไล่ไม่ค่อยได้จนทำให้ต้องวางบอลยาวบ่อย ซึ่งพลาดมากกว่าดี

_______ นาที 64 เซบีย่าพลิกนำได้สำเร็จจากการเข้าทำด้วยบอลชิ่งเข้ามาง่ายๆ จบด้วยโคเก้วิ่งตัดเข้ามาได้ยิงไม่พลาด 2-1 ถึงตรงนี้เซบีย่าคุมเกมได้หมดแล้ว ส่วนลิเวอร์พูลก็เป๋ไปหมดแล้ว รวมสมาธิไม่ได้ เล่นกันผิดพลาดไปหมด

_______ นาที 69 คล็อปส่งโอริกิลงมาแทนเฟอมิโน่หวังแก้สถานการณ์ แต่นาทีถัดมาทีมโดนไปอีกลูกจากจังหวะที่แนวรับสกัดบอลไม่ดีเอามากๆ บอลเด้งกลับเข้าไปในเขตโทษ แถมไปเข้าทางโคเก้ที่ยืนโล่งอีกต่างหาก ...3-1 สิครับ

_______ นาที 73 อัลเลนลงมาแทนลัลลาน่า ลิเวอร์พูลพยายามบุกต่อแต่เกมเสียหมดแล้ว ครองบอลไม่อยู่ เอาบอลขึ้นหน้ายังติดๆ ขัดๆ ไม่ต้องไปพูดถึงเปิดบอลเข้าทำด้วยซ้ำ บอลจากหลังไปหน้าโดนกดดันให้ต้องวางยาวแล้วกองหน้าก็เก็บไม่ได้ แถมอีกหลายจังหวะยังไม่ทันโดนกดดันแต่ลิเวอร์พูลใจร้อนจะเอาบอลไปข้างหน้าเร็วๆ ก็เปิดยาวพลาดกันไปเองเพิ่มเข้าให้อีก เกมรุกทางขวาที่หวังไว้แถมเอามิลเนอร์ไปยืนรอเปิดบอลตลอดก็ไม่ได้ผล

_______ นาที 82 คล็อปทิ้งไพ่ใบสุดท้ายด้วยการส่งเบนเทเก้ลงแทนตูเร่ ถอยชานไปยืนต่ำเป็นคนวางบอลยาว แต่ผลลัพธ์ออกมาแย่กว่าเดิม สิบนาทีท้ายนั้นสเตอริดจ์หมดแรงสนิท วิ่งทำทางไม่ได้ ไปไม่ถึงบอล หมดแรงเบียด ส่วนเบนเทเก้กับโอริกิลงมาก็หนักไปทางเสียฟาล์วบ่อยในจังหวะขึ้นโหม่ง และแดนหลังแดนกลางของทีมก็ไม่สามารถวิ่งทำทางรับส่งบอลสั้นกันได้แบบมีประสิทธิภาพอีกแล้ว ได้แต่วางยาว วางยาว วางยาว แล้วก็เสียฟาล์วไปเองบ้าง บอลไปเข้าเท้าคู่ต่อสู้บ้าง หาทางกลับไม่เจอและแพ้ไปด้วยสกอร์ 3-1
-----------------------------------------

_______ คุณต้องซาดิสม์ระดับนึงเลยนะถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ได้เนี่ย

_______ โอเค เราแพ้ครับ นั่นคือข้อเท็จจริง และถึงแม้ว่าถ้าดูครึ่งแรกจะเสียดายหนักมาก แต่ผมก็ยังคิดว่าเซบีย่าทำดีกว่าเราในนัดนี้จริงๆ นั่นแหล่ะ

_______ ในส่วนของคล็อป ทั้งการจัดตัว แทคติคเริ่มเกม เขาทำได้ดีที่สุดแล้ว ถ้ามีโชคอีกสักนิดเกมจบไปตั้งแต่ครึ่งแรกแล้วด้วยซ้ำ โดยรวมผมยังคิดว่าทำงานของเขาได้ดี แต่กับการเปลี่ยนตัวผมไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนลัลลาน่ากับเฟอมิโน่ออกแทนที่จะเป็นคูตินโย่ ส่วนนึงคือคูตินโย่เล่นไม่ออกจริงๆ (ฟอร์มแบบนี้มาหลายนัดแล้วด้วย) อีกส่วนนึงคือในรายของลัลลาน่า เขาช่วยวิ่งไล่และวิ่งทำทางให้ทีมได้ที่สุดในบรรดาแนวรุก พอเขาออกไปบอลสั้นจากหลังไปหน้าเราดับไปเลย ส่วนเฟอมิโน่นั้นถึงจะไม่ได้มีอะไรวูบวาบ แต่การขยับตัวหาที่รับบอลยังดูดีกว่าคูตินโย่อีก

_______ เก็บคูตินโย่ไว้ทำไม?

_______ แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ทำให้เราเป็นได้แค่รองแชมป์คือ “สมาธิ” ครับ ล้วนๆ เลยล่ะ

_______ ทั้งเกมครึ่งแรกที่ดีกว่า(แล้วได้แค่ลูกเดียว) ทั้งจุดโทษจากแฮนด์บอลที่ควรได้ถึงสามครั้ง (แล้วหลุดมือไป) ทั้งการเสียประตูแบบทำร้ายจิตใจในต้นครึ่งแรก ส่งผลแบบมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลยว่านักเตะลิเวอร์พูลรับมือกับมันไม่ได้เลย

_______ ทีมสลัดความคิดที่ว่า “ถ้าได้จุดโทษ, ถ้านำสองศูนย์, ถ้าไม่โดนตีเสมอ, ถ้าฯลฯ” ไม่ออกเลย

_______ ฟุตบอลมันก็เป็นแบบนี้ กรรมการไม่ได้ตัดสิน “อย่างที่ควร” ไปเสียทุกครั้ง และบอลมันไม่เด้งเข้าทางเราทุกครั้ง คนที่รวบรวมสมาธิ ลืมความผิดพลาด ลืมโอกาสที่หลุดมือ แล้วจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าได้ดีกว่าและเร็วกว่าก็มีโอกาสจะที่ชนะได้มากกว่า ...เหมือนอย่างที่เซบีย่าทำให้เราดูในวันนี้

_______ สมาธิที่แตกกระจายในครึ่งหลัง อันดับแรกคือนักเตะขาดประสบการณ์ หลายคนพึ่งพ้นช่วงดาวรุ่งมาไม่นาน หลายคนยังไม่เคยเจอเกมใหญ่ระดับนี้ (อย่าได้เอาเกมนี้ไปเทียบกับแคปปิตอลวันคัพทีเดียว) อันดับต่อมาคือการขาดผู้นำในสนาม อันนี้ไม่ได้พูดถึงคนที่จะมาเปลี่ยนหรือว่ายิงประตูให้ทีมได้ แต่พูดถึงคนที่สามารถกระตุ้นเพื่อน, คุมสมาธิ, สั่งการ, หรือกระทั่งด่า โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามิลเนอร์ทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่าเฮนเดอร์สันอย่างเห็นได้ชัด แต่ดีไม่พอ การหากัปตันคนใหม่ หรือกระทั่งตั้งมิลเนอร์เป็นกัปตันไปเลยน่าจะเป็นสิ่งที่คล็อปอาจต้องคิดเผื่อไว้บ้างแล้วเหมือนกัน

_______ ส่วนนักเตะ ...ก็ตามที่เห็น ก่อนจะไปไกลถึงฤดูหน้า ช่วงซัมเมอร์นี้ทีมน่าจะต้องซื้อนักเตะใหม่เพิ่มอีกหลายคนตั้งแต่ตัวจริงยันสำรองเลยทีเดียว นี่น่าจะเป็นซัมเมอร์ที่ลิเวอร์พูลยุ่งวุ่นวายกับตลาดนักเตะเยอะที่ทีเดียว ก็ตามดูกันต่อไปครับ
-----------------------------------------

นัดนี้เล่นครึ่งแรกดี ครึ่งหลังดับ

มินโยเล่ - ฟอร์มส่วนตัวถือว่าใช้ได้ ตำแหน่งยืนโอเค ไม่ได้มีซูเปอร์เซฟอะไรให้เห็น แต่ก็เซฟได้บ้างไม่ใช่ตรงกรอบเป็นเข้า ลูกที่เสียไปคู่ต่อสู้ยิงดีด้วย

โมเรโน่ - เกมรับพลาดจังหวะสำคัญเยอะ โดยเฉพาะจังหวะเสียประตูแรก ยังคงเปิดพื้นที่ตัวเองไว้เยอะเกินไป แถมนัดนี้เชื่อมเกมไม่ดีไม่มีเกมรุกเข้าให้อีก กลายเป็นจุดบอดของทีมไปเลย

ตูเร่ - สกัดบอลได้เยอะ บล็อคและจิ้มบอลก่อนคู่ต่อสู้จะทำอะไรต่อได้เยอะมาก แต่ตูเร่เก็บบอลเล่นไม่ได้ หนักไปทางสกัดทิ้งขว้าง

ลอฟเรน - เล่นลูกกลางอากาศได้ดีโดยเฉพาะจังหวะที่ต้องขึ้นเบียดกับคู่ต่อสู้ สกัดบอลเปิดเข้าเขตโทษได้ดีมาก แต่จังหวะเจอเลี้ยงจี้หรือจังหวะที่ต้องซ้อนเพื่อนยังทำได้ไม่ดีนัก

ไคลน์ -  ครึ่งแรกเล่นได้อย่างหล่อ เติมขึ้นไปทั้งเชื่อมเกมทั้งเล่นเกมรุกได้ลื่นไหลตลอด ครึ่งหลังแม้ว่าเกมรับยังดูดีอยู่ แต่เริ่มเติมเกมรุกได้น้อยลง ได้บอลน้อยลง แถมเป็นคนที่วางบอลขึ้นหน้าแบบสะเปะสะปะ(ในครึ่งหลัง)ค่อนข้างบ่อยด้วย

ชาน - ช่วยเล่นลูกกลางอากาศได้ดี เก็บบอลสองได้มาก ครึ่งแรกยังทำได้ดีในแง่การเชื่อมเกม แต่ครึ่งหลังไปไม่เป็นเลย ได้บอลก็พลิกไม่ได้แถมไม่ค่อยขยับทำทางรับบอลด้วย ส่วนเกมรับเขาอ่านเกมได้ เบียดแย่งบอลได้ดี แต่กับคู่ต่อสู้ที่เลี้ยงจี้เข้าหาชานมีปัญหาเยอะเหมือนกัน รวมไปถึงการวิ่งไล่บอลที่ทำได้แค่ครึ่งแรก

มิลเนอร์ - ใช้แรงไปกับครึ่งแรกเยอะมาก มีส่วนทำให้ทีมได้บอลกลับมาเร็วและเชื่อมเกมได้ลื่นไหล่ ครึ่งหลังถึงจะยิ่งวิ่งอยู่แต่ถึงบอลช้าไปเยอะ เกมรับทำได้ดีกับการวิ่งไปเร่งให้คู่ต่อสู้ออกบอล แต่กับการแย่งบอลกลับมามีปัญหาไม่แพ้ชาน

คูตินโย่ - ครั้งเดียวในเกมที่คูตินโย่ทำได้ดีคือการไหลบอลให้สเตอริดจ์ยิง นอกนั้นคือดับ ดับสนิท เกมรุกไม่มี เชื่อมเกมธรรมดามาก เกมรับทำได้แค่วิ่งประคองคุมโซนไป พอรวมเข้ากับฟอร์มของโมเรโน่ยิ่งทำให้วันนี้เกมฝั่งซ้ายของทีมเดี้ยงสนิททั้งรับทั้งรุก

เฟอมิโน่ - ครึ่งแรกวิ่งทำทางได้ดี รับบอลและเชื่อมเกมได้ตลอด รวมไปถึงวิ่งไล่บอลได้ดีมากด้วย แต่ครึ่งหลังเริ่มหาพื้่นที่เล่นไม่ได้ สลัดตัววิ่งไล่ไม่ค่อยหลุดทำให้ได้บอลน้อยลงจนถูกเปลี่ยนตัวในที่สุด

ลัลลาน่า - วิ่งได้สุดยอด ครึ่งแรกทำทางรับบอลได้ดีที่สุดในบรรดาแนวรุก เสียแต่ออกบอลช้าไปนิด  เกมรับไล่ถึงบอลได้เร็วมากด้วย ครึ่งหลังดูเหมือนจะวิ่งได้น้อยลง ยังทำทางรับบอลก็ว่าน้อยแล้วแต่เรื่องไล่บอลนี่หายไปเยอะมาก

สเตอริดจ์ - ทำได้สุดยอดในจังหวะทำประตู ยิงคร่อมจังหวะชนิดที่ใครก็ไม่คิดว่าจะยิงได้ ครึ่งแรกยังเล่นได้ดีอยู่ เก็บบอลได้ ทำทางโอเค แต่ครึงหลังนี่แทบไม่รู้ว่าเลยอยู่ในสนาม หมดแรงเร็วมาก

ตัวสำรอง

อัลเลน - ลงมาจะช่วยเชื่อมเกแต่เพื่อนดันชอบวางบอลยาว ถึงอย่างนั้นจังหวะที่ได้บอลอยู่บ้างอัลเลนก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก และวิ่งสลัดตัวไล่ไม่พ้น

โอริกิ&เบนเทเก้- ลงมาทำฟาล์ว

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : ...เอ็มเร่ ชาน…นัดนี้มีชานกับตูเร่นี่ล่ะที่ดูดีกว่าคนอื่นอยู่ครึ่งช่วงตัว แต่ขอเลือกชานที่มีส่วนร่วมกับเกมแทบจะมากที่สุดในทีมก็แล้วกัน ...นี่เลือกเพราะต้องเลือกสักคนนะ
------------------------------------------------------------
เครดิตภาพจากเวปทางการ

ป.ล. นัดนี้ต้องขอขอบคุณที่อ่านจนจบ

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เวสต์บรอมวิช 1-1 ลิเวอร์พูล (พรีเมียร์ลีค)


งานวันเด็ก
___________________________

ลิเวอร์พูลเล่นด้วย 4-3-2-1

-------------------เบนเทเก้-----------------
โอโจ------------------------------------ไอบ์
---------------------อัลเลน------------------
---------สจ๊วต-----------บรานาแกน--------
สมิธ-----ลูคัส----สเคอเทล---ฟลานาแกน
-------------------บ็อกดาน-------------------

_______ ลิเวอร์พูลเล่นนัดสุดท้ายของพรีเมียร์ลีคฤดูกาลนี้ด้วยการส่งดาวรุ่งกับตัวสำรองลงกันเต็มตั้งแต่ตัวจริงยันม้านั่งสำรอง มีเซอร์ไพรส์เล็กน้อยเมื่ออิ้งค์กับเฮนเดอร์สันมีชื่อเป็นตัวสำรองด้วย
-------------------------------------------------------

________ เริ่มเกมมาลิเวอร์พูลเคาะต่อบอลกันช้าๆ ไม่รีบ ครองบอลได้แต่เจาะไม่ได้ ซ้ายดับ กลางไปไม่ถึงเขตโทษ มีเกมรุกด้านขวาที่พอเอาบอลขึ้นไปถึงมุมธงได้บ้าง แต่เกมรุกยังไม่ได้กดดันอะไรนัก

_______ ทางด้าน WBA คุมพื้นที่สูงแต่เน้นไล่บอลในแดนตัวเองมากกว่า ตัดบอลแดนหน้าหรือกลางได้ก็เอามาบุกฉาบฉวยเอา แล้วก็ขึ้นนำได้ก่อนตั้งแต่นาที 13 อัลเลนพยายามจะโต้เร็วแต่กลายเป็นออกบอลพลาดหน้าเขตโทษตัวเอง เลโก้เก็บบอลได้ลากหนีแนวรับสามสี่คนเข้าไปถึงด้านในเขตโทษ ก่อนจ่ายบอลไปให้ลอนดอนได้หลุดเข้าไปยิงในเขตโทษ 1-0

_______ สกอร์ขยับแต่เกมไม่เปลี่ยน WBA ยังปล่อยให้ลิเวอร์พูลเคาะบอลกลางสนามเหมือนเดิม ส่วนทางลิเวอร์พูลเองคู่กลางอย่างสจ๊วตกับบรานาแกนเอาบอลขึ้นหน้าไม่ได้เลย อัลเลนต้องลงมาล้วงบอลบ่อย ทำให้ข้างหน้าก็พลอยไม่มีคนเข้าให้อีก ต้องรอจนกระทั่งไอบ์องค์ลงในนาที 23 จากริมเส้นฝั่งขวาในแดนตัวเอง ไอบ์ปล่อยบอลไหลแล้ววิ่งไปเล่นต่อเอง ลากยาวจากครึ่งสนามไปถึงเขตโทษ เบนเทเก้วิ่งทำทางดึงตัวประกบออกด้านนอก ให้ไอบ์ตัดเข้าในเข้าไปยิงได้สำเร็จ 1-1

_______ ยิ่งเล่น WBA ยิ่งรับต่ำ เข้าบอลหนักเป็นระยะ นานๆ ก็เอาบอลขึ้นมาเล่นฉาบฉวยสักที ลิเวอร์พูลครองบอลอยู่แทบจะฝ่ายเดียว ในวงเล็บบอลส่วนใหญ่วนๆ อยู่แถวงกลมกลางสนามนั่นแหล่ะ จบครึ่งแรกที่สกอร์ 1-1

_______ เข้าครึ่งหลัง ทั้งสองทีมกลับลงมาเล่นเร็วเล่นดุขึ้นกว่าเดิม วิ่งไล่เข้าหาบอลกันเยอะขึ้น ลิเวอร์พูลดันแผงหลังสูงขึ้นและเน้นจ่ายบอลขึ้นหน้าเร็วกว่าเดิม ช่วงต้นเกมครึ่งหลังนี้พอเล่นเร็วต่อเร็วแล้วลิเวอร์พูลดูดีขึ้นและดูดีกว่าคู่ต่อสู้ แต่จังหวะสุดท้ายยังต่อกันไม่ติด เรื่องยิงไม่ต้องไปพูดถึง

_______ เล่นไปได้สักสิบนาทีลิเวอร์พูลก็เริ่มครองเกมไม่อยู่ บอลยังพยายามเอาขึ้นหน้าแต่ความผิดพลาดมากขึ้น กลับกันกับทาง WBA ที่ได้บอลแล้วกล้าเติมกันขึ้นมาเล่นมากขึ้นไม่เหมือนครึ่งแรกที่แทบไม่เติมขึ้นมาเลย ทำให้ WBA เริ่มได้บุกต่อเนื่องบ้าง บอลเข้าทำพวกเขาไม่ถึงกับดีนัก อาศัยว่าแนวรับลิเวอร์พูลสกัดกันไม่ค่อยขาดเลยพอได้ลุ้นประตูบ้างนิดๆ หน่อยๆ

_______ นาที 64 อิ้งค์กับเฮนเดอร์สันได้ลงแทนไอบ์กับอัลเลนตามตำแหน่ง จากตรงนี้ไปเกมของทั้งสองทีมไม่ค่อยไปไหน คือลิเวอร์พูลได้ครองบอลเยอะจริงแต่รุกไม่ได้ลุ้น ทำไม่ได้แม้แต่พาบอลเข้าไปประชิดเขตโทษ ส่วนทาง WBA เล่นไปเล่นมาก็ถอยไปรับ จังหวะได้บอลเลยเปลี่ยนรับเป็นรุกลำบาก จะโต้ยาวรวดเดียวก็ไม่ได้ผล บอลเลยไล่กันไปสกัดกันมาอยู่แถวกลางสนามเป็นส่วนใหญ่

_______ นาที 80 กายอสได้ลงแทนโอโจ้เป็นคนสุดท้าย เวลาที่เหลืออยู่ลิเวอร์พูลได้แต่เปิดบอลสะเปะสะปะเข้าไปลุ้นได้บ้างแต่รูปทรงองค์เอวอะไรไม่มีแล้ว เช่นเดียวกับ WBA ที่ได้ลุ้นประตูอยู่บ้างจากการสกัดบอลไม่ขาดของแนวรับแทนที่จะเป็นการทำเกมหรือเปิดบอลชนะแนวรับเข้าไปลุ้น ทำให้จบเกมเสมอกันไปแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น 1-1
-----------------------------------------

_______ เกมในสนามอาจไม่ดีนัก แต่ดาวรุ่งกับตัวสำรองถือว่าเล่นพอใช้ได้อยู่ การจัดทีมและเปลี่ยนตัวของคล็อปก็จัดมาเพื่อนการนี้โดยเฉพาะ ไม่ได้เน้นเกมในสนาม อย่างน้อยก็ได้เห็นว่าดาวรุ่งแต่ละคนยังมีอะไรที่ทำได้ดีและส่วนไหนที่ควรปรับปรุงอีกบ้าง

_______ นัดนี้ปัญหาใหญ่สุดของทีมน่าจะเป็นคู่กลาง สจ๊วตกับบรานาแกน นี่ล่ะ ในเกมรับพวกเขาเล่นไม่แย่ ไม่หลุดตำแหน่ง บอลจ่ายมาไม่ดีจริงก็ดักได้ แต่ทั้งคู่มีปัญหามากกับการเชื่อมเกม(ไปข้างหน้าไม่ได้เลย), เปลี่ยนรับเป็นรุก(ช้ามาก), ออกบอล/เติมเกมรุก(ไม่มีเลย)

_______ หลายจังหวะ ขอแค่กล้าส่งบอลขึ้นหน้าหรือแตะบอลขึ้นหน้า ทีมก็รุกพรวดถึงหน้าประตูคู่ต่อสู้ได้แล้ว และอีกหลายครั้งที่คู่ต่อสู้ไล่เข้ามาจริงแต่ยังห่างตัวอยู่หลายก้าว พวกเขากลับจ่ายหนีออกข้างอย่างเร็ว ยิ่งไปรวมเข้ากับการไม่สามารถออกบอลยาวหรือบอลเปลี่ยนแกนได้เลยยิ่งไปกันใหญ่ ถึงจะเล่นแทบไม่พลาดเลย จ่ายบอลแทบไม่เสียเลย แต่บอลมันก็วนอยู่แค่นั้นล่ะ

_______ ส่วนเกมรุกแดนหน้า เอ้อ...เบนเทเก้ยิ่งดูยิ่งน่างสาน สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดในนัดนี้คือการค้ำกองหลัง จับบอลที่จ่ายยัดมาให้ที่ตัวแล้วแตะออกข้างให้ตัวเติมหรือชิ่งคืนให้เพื่อนได้เล่นต่อ แต่บอลที่เขาได้ส่วนใหญ่ในนัดนี้คือ...บอลตามช่อง

_______ บอลที่ให้ไปแล้วก็ไม่ได้คืน บอลเปิดจากริมเส้นที่มีไม่มากนัก เปิดมาแต่ละครั้งที่ก็อยากจะถามคนเปิดว่าพี่จะเปิดให้ไลน์แมนโหม่งกันเหรอครับ

_______ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวมีความมุ่งมั่น แต่ผมยังนึกไม่ออกว่าฤดูกาลหน้าเบนเทเก้จะอยู่ต่อโดยที่แฮปปี้กันทั้งสองฝ่าย คือคนเล่นได้ลงสนามด้วยและทีมได้ประโยชน์ด้วยนี่มันจะเป็นไปได้ยังไง

_______ นอกจากเรื่องการให้โอกาสดาวรุ่ง ซึ่งให้กันไปเต็มๆ แล้ว นัดนี้ยังมีการกลับมาของเฮนเดอร์สันที่ดูแล้วสภาพร่างกายพอเล่นได้อย่างน้อยๆ ครึ่งชั่วโมงสบายๆ ล่ะ ซึ่งเป็นผลดีกับเกมนัดชิงยูโรป้าแน่ๆ เพราะคล็อปจะมีทางเลือกมากขึ้น ซึ่งถ้าสภาพร่างกายของเฮนเดอร์สันพร้อมเล่นได้สักชั่วโมงนึง ผมว่าคล็อปอาจจะส่งลงเป็นตัวจริงเลยด้วยซ้ำ

_______ มารอลุ้น นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2015-2016 กันครับ ว่าจะเริ่มแบบไหน และจบแบบไหน

-----------------------------------------

นัดนี้เล่นไม่ดีนัก

บ็อกดาน - ออกบอลเร็วดี แม่นใช้ได้ แต่ลูกที่เสียไปนี่ใช้ไม่ได้ คือในฐานะผู้รักษาประตูเนี่ย เซฟลูกยิงไม่ได้ยังไม่เท่าไหร่ แต่ปิดเสาแรกหลวมแบบนี้ไม่ได้ มินโยเล่ในวันที่โดนยิงไส้แตกยังไม่ปิดเสาแรกหลวมขนาดนี้เลย

สมิธ - เกมรับพัฒนาขึ้นมาบ้างแล้ว รักษาพื้นที่ได้ดีขึ้น(แต่ไม่ใช่ดีแล้ว) เข้าบอลพรวดพราดไปแต่ถือว่าสกัดได้แม่นทีเดียว ที่ไม่ค่อยกระเตื้องคือการปิดบอลโยน ที่แย่กว่าการปิดบอลโยนคือการเชื่อมเกม...ที่ช่วยอะไรทีมไม่ได้เลย

ลูคัส - มีส่วนพลาดจังหวะเสียประตู พยายามช่วยเชื่อมบอลจากหลังไปหน้าก็ทำไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ ทำได้ดีในเรื่องการรักษาพื้นที่ตัวเองและการเข้าซ้อนสกัดหรือซ้อนเก็บบอลที่ทำได้ต่อเนื่อง

สเคอเทล - ครึ่งแรกยังเล่นไม่ดีนัก ประกบห่าง วิ่งถอยหลังแทนที่จะวิ่งหาบอล แต่ครึ่งหลังประกบกองหน้าได้ดีขึ้น เล่นลูกกลางอากาศพลาดอยู่บ้างแต่ถือว่าทำได้ดีสุดในแผงหลังแล้ว ที่ดูไม่จืดคือการเคลียร์บอล วันนี้เคลียร์ไม่ไปไหนหลายหนเกินไป

ฟลานาแกน -  เกมรับเข้าบอลได้ฟลานาแกนมาก คือผลลัพธ์มีแค่สองอย่างหนึ่งคือเสียทุ่มสองคือโดนใบเหลือง จะโหดไปไหน หลายจังหวะแค่ประคองไปก็เหลือแหล่แล้ว ส่วนการเชื่อมเกมทำดีกว่าสมิธ ที่จริงการอ่านเกมและการตัดสินใจในเรื่องเชื่อมเกม ฟลานาแกนอ่านเกมดีกว่าทั้ง สมิธ+ลูคัส+สจ๊วต+บรานาแกน เลยด้วย มีบอลจ่ายสวนตัวไล่, แตะหลบขึ้นหน้าพาหลุดทั้งยวง แต่เสียดายที่ความสามารถไม่ถึง ออกบอลพลาดเยอะ

สจ๊วต&บรานาแกน - อ่านด้านบนนู๊น~ ได้เลย

ไอบ์ - ต่อให้ไม่นับประตูที่ทำได้ เขาก็เล่นบอลเป็นประโยชน์กับทีมมากกว่าโอโจ้ชัดเจน หาที่ว่างรับบอลเก่งกว่า เก็บบอลดีกว่า ประตูที่ทำได้ก็จัดว่าทำได้ดีมากตั้งแต่จังหวะปล่อยบอลไหลแล้ว แต่ยิ่งเล่นยิ่งหายไปจากเกม ยังไม่นับว่าการไล่บอลทำได้ไม่ดีเลย ไม่ใช่ไม่ไล่ แต่ไล่ไม่เก่ง ไล่ไม่บีบให้คู่ต่อสู้ออกบอลยาก

โอโจ้ - เชื่อมเกมได้ประมาณนึง โดนแซะบอลง่ายไปนิด ประสิทธิภาพไม่ค่อยคงเส้นคงวา บางทีก็กระชากไปได้ บางทีก็ทำเสียง่ายๆ ไล่บอลได้ไม่ต่างกับไอบ์

อัลเลน - ยืนสูงกว่าสองดาวรุ่งนั่นก็จริงแต่ก็ไม่สูงเท่าเฟอมิโน่เวลาเล่นในแทคติคเดียวกันนี้ โดนเด็กถ่วงนั่นก็ส่วนนึง แต่อีกส่วน อัลเลนเองก็ไม่มีบอลยาวหรือการพาบอลไปเองด้วย เล่นได้แต่บอลชิ่งกับบอลให้แล้วไป พอเพื่อนชิ่งขึ้นหน้าไม่เป็นแบบนัดนี้ อัลเลนก็พลอยทำอะไรไม่ค่อยได้ไปด้วย

เบนเทเก้ - ….น้ำตาจะไหล อยากส่งเขาไปให้บิลิชปั้นเหลือเกิน ...เสียดายของ

ตัวสำรอง

อิ้งค์ - วิ่งได้คล่องตัว สปีดมี กล้าปั้มบอลด้วยไม่ค่อยแหยง แต่ประสิทธิภาพก็อย่าพึ่งไปหวังอะไรเลย

เฮนเดอร์สัน - ลงไปเหมือนเล่นเรียกจังหวะเฉยๆ ไม่ค่อยเสี่ยงทำอะไรยาก นับเฉพาะเกมนี้อย่างเดียวลงไปได้เสียของมาก ฟอร์มแย่กว่าอัลเลนอีก แต่ถ้าดูว่าเป้าหมายคือลงไปเรียกจังหวะเฉยๆ ก็ถือว่าโอเค จับบอล วิ่ง จ่ายเคาะต่อได้ไหลลื่น

กายอส - ได้ลงเป็นโบนัสเฉยๆ ไม่ได้เน้นอะไร ได้บอลน้อยมากด้วย

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : ...โจ อัลเลน…ในนัดที่หาคนเล่นเป็นสัปปะรดได้อย่างยิ่งแบบนี้ ขอยกเครดิตให้กับคนที่มีส่วนร่วมกับเกมมากที่สุดก็แล้วกัน อัลเลนช่วยทั้งรับทั้งรุกและแทบจะเป็นคนเดียวในแดนกลางที่เอาบอลขึ้นไปข้างหน้าให้กับทีมได้ ไอบ์ทำประตูได้ก็จริงแต่มีส่วนร่วมกับเกมน้อยกว่ากันมาก
------------------------------------------------------------
เครดิตภาพจากเวปทางการ

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ลิเวอร์พูล 1-1 เชลซี (พรีเมียร์ลีค)


วันแมนทีม VS ใจลอยทีม
___________________________

ลิเวอร์พูลเล่นด้วย 4-2-3-1

---------มาราโดน่ากลับชาติมาเกิด--------
คูตินโย่-----------เฟอมิโน่--------ลัลลาน่า
-------------ชาน--------มิลเนอร์------------
โมเรโน่-----ตูเร่--------ลอฟเรน------ไคลน์
-------------------มินโยเล่-------------------

_______ ลิเวอร์พูลเล่นในแอนฟิลด์เป็นนัดสุดท้ายของฤดูกาลเจอกับเอเดน อาซาร์ คล็อปจัดทีมชุดใหญ่เอาใจแฟนบอลเต็มที่ตามผังด้านบน ซึ่งเป็นผู้เล่นชุดที่น่าจะเป็นชุดออกสตาร์ทในนัดชิงยูโรป้าด้วย
-------------------------------------------------------

________ ลิเวอร์พูลเริ่มต้นเกมได้ดุดัน จ่ายบอล ทำทาง รุกเร็ว เกมริมเส้นด้านขวาลื่นปรื้ดเป็นปลาไหลไถลน้ำมันพืช บอลถึงหน้าเขตโทษตลอด ได้เปิดได้ยิงอยู่เรื่อย แต่ยังไม่คมพอจะได้ลุ้นอะไรจริงจังนัก ส่วนทางด้านเชลซี เน้นมาคุมพื้นที่สูง แต่ก็คุมหลวมๆ ไม่ได้ไล่อะไรมาก เล่นแค่ตามจังหวะ

_______ ผ่านไปราว 15 นาที เกมลิเวอร์พูลเริ่มผ่อนลงไป ส่วนทางกับเชลซีที่บีบแดนกลางและหน้าได้ดีขึ้น ทำให้เกมเริ่มสูสี บอลของลิเวอร์พูลยังไปข้างหน้าได้แต่น้อยและช้าลง ส่วนบอลของเชลซีเน้นให้อาซาร์เล่นได้อย่างมีอิสระ อยากเล่นตรงไหนอยากทำอะไรทำ ซึ่งเจ้าตัวก็เล่นได้สมกับความคาดหวังมาก กดดันได้แทบทุกจังหวะ

_______ นาที 32 เชลซีก็ออกนำไปก่อนด้วยการโซโล่เดี่ยวของอาซาร์ พลิกหลบ เลี้ยงจี้ กระชากหนี ผ่านผู้เล่นลิเวอร์พูลคนแล้วคนเล่าหลุดเข้าไปยิงเร็วในเขตโทษ 1-0 ...ลากเข้าไปยิงอย่างกับเล่น PES กับคอมระดับมีเดียมยังไงยังงั้น

_______ สกอร์ขยับแล้วแต่ลิเวอร์พูลยังไม่ขยับ การวิ่งไล่หรือวิ่งทำทางยังทำกันแบบขอไปที ไม่ดุดัน ไม่ครีเอท แถมยังไม่ค่อยเข้าปะทะด้วย เล่นแบบใจไปยูโรป้าแล้วเรียบร้อย ส่วนเชลซีก็ยังกดดันได้เรื่อยถ้าบอลอยู่เท้าอาซาร์ แต่เพื่อนร่วมทีมคนอื่นแทบไม่มีบทอะไร จบครึ่งแรกที่สกอร์ 1-0

_______ เข้าครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลกลับลงมาปรับจังหวะการเล่นเล็กน้อย เน้นเอาบอลไปข้างหน้าให้เร็วขึ้น เล่นจังหวะฉาบฉวยมากขึ้นไม่ว่าจะวางยาวรวดเดียวถึงประตู หรือออกบอลโต้กลับทันทีที่ตัดบอได้ ผลลัพธ์คือเกมรุกดูดีขึ้นมาหน่อย แต่เกมเป็นของเชลซีหนักกว่าช่วงท้ายครึ่งแรกเสียอีก

_______ เชลซียังคงเล่นด้วยการใช้อาซาร์เป็นหลักเหมือนเดิมแล้วก็ลุ้นประตูอยู่เป็นระยะ คือที่ว่าได้ลุ้นนี่เป็นเพราะเพื่อนร่วมทีมเชลซีคนอื่นเล่นไม่ดีด้วย เข้าถึงบอลช้าบ้าง ได้บอลไปแล้วหาจังหวะยิงไม่ดีบ้าง ไม่งั้นก็คงสองศูนย์ไปแล้ว ส่วนทางลิเวอร์พูลคุมเกมไม่อยู่ แต่เกมรุกดูดีขึ้นจริง ได้ลุ้นประตูมากขึ้นกว่าท้ายครึ่งแรก โอกาสดีที่สุดคือนาที 60 ที่สเตอริดจ์วิ่งตัดกองหลังเข้าไปยิงในเขตโทษแต่ติดเซฟเบโกวิช ต่อด้วยลูกเตะมุมที่จบด้วยตูเร่ได้ยืนโหม่งแบบไร้คนประกบให้เบโกวิชรับง่ายๆ

_______ นาที 75 อัลเลนกับเบนเทเก้แทนลัลลาน่ากับมิลเนอร์ เกมของลิเวอร์พูลดูคึกคักขึ้น โดยเฉพาะแดนกลางที่ได้อัลเลนวิ่งขึ้นลงทำให้บอลจากหลังไปหน้าดูดีขึ้น แต่บอลแดนหน้ายังทำได้ไม่ดี กองหน้าเก็บบอลได้น้อย เก็บได้ก็ทำอะไรไม่ได้

_______ ลิเวอร์พูลเร่งเกมรุกได้ดีขึ้นก็จริง ได้เปิดบอลเข้าทำบ่อยขึ้น แต่เลือกที่จะเจาะตรงกลางมากกว่า ซึ่งเจาะไม่เข้า หนักไปทางทำได้แค่ยิงไกลแล้วติดบล็อค เกมริมเส้นไม่ค่อยไปให้ถึงสุดเส้นหลัง โยนมาก็ติดตั้งแต่ตัวบล็อคบ่อย ส่วนเชลซีไม่ได้ทำอะไรมาก แค่รับแล้วโต้ ซึ่งก็ได้ลุ้นประตูแบบจะจะ บ่อยกว่าลิเวอร์พูลด้วยซ้ำ

_______ นาที 87 โอโจ้ได้ลงแทนตูเร่ โดยลงไปเล่นริมเส้นซ้าย แล้วก็เป็นโอโจ้ที่เปิดบอลจากริมเส้น บอลโด่งมากแต่น้ำหนักดี เบโกวิชเหมือนจะเสียสมาธิไปเล็กน้อย ปัดบอลพลาด บอลไม่ไปไหนแถมยังทำให้บอลเบาลงไปตั้งให้เบนเทเก้ตามเข้าไปโหม่งเผาขนง่ายๆ ไม่มีคนเร่ง ไม่มีคนประกบ 1-1 และจบเกมไปด้วยสกอร์ดังกล่าว
-----------------------------------------

_______ เป็นนัดที่เล่นได้จืดชืดมากอีกนัดหนึ่ง ไม่น่าแพ้แต่ก็ไม่น่าชนะเช่นกัน ผลเสมอนี่สมควรแล้ว

_______ ทีมเล่นได้แบบไร้สมาธิและขาดความมุ่งมั่น แต่ก็นั่นแหล่ะ นัดนี้นอกจากเล่นโชว์แฟนบอลแล้วก็แทบไม่เหลือความสำคัญอะไรอีก จะบอกว่าอันดับยังลุ้นยูโรป้าอยู่ก็คงไม่ใช่ เพราะนัดสำคัญกว่าและเดิมพันสูงกว่ารออยู่ (ขนาดแฟนบอลในสนามยังไม่ซีเรียสเลย ปกติต้องมีโห่หรือฮือฮากว่านี้เยอะ นี้นั่งดูกันเรื่อยๆ ) เล่นเต็มที่กับนัดนี้แล้วใครเกิดเจ็บไปอีกสักคนละบรรลัยแน่ ดังนั้นการเล่นแบบนี้ในนัดนี้มันก็ไม่ได้ผิดอะไรตรงไหนหรอกนะ

_______ นัดนี้แดนกลางหลวมไปเยอะ มิลเนอร์ยืนสูงไปปล่อยชานเล่นรับคนเดียว พอรวมเข้ากับการที่แดนหน้าไล่บอลแกนๆ ไม่ดุดันด้วยแล้วยิ่งทำให้ทีมตัดบอลมาได้ช้ากว่าที่ควร รวมไปถึงการเอาบอลจากหลังมาหน้าที่ช้าไปด้วย คู่ต่อสู้รุมบีบชานก็พอแล้ว คนอื่นไม่ค่อยลงมาช่วยเชื่อมเกม

_______ แดนหน้า ท่านสเตอริดจ์ก็เปล่งรัศมีเทพตลอดหนึ่งชั่วโมงของเกม เล่นให้ยากเข้าไว้ แต่ละลูกแต่ละช็อตที่ท่านออกแบบมานี่เรียกได้ว่ามหัศจรรย์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการได้บอลแล้วไปๆ หยุดๆ เหมือนแผ่นดีวีดีกระตุก เล่นเอาหลายคนหัวทิ่มไปตามๆ กัน(แต่ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนร่วมทีมมากกว่าคู่ต่อสู้), การเก็บบอลได้แล้วม้วน 720 องศาก่อนจะคิดทำอะไรต่อ, การจ่ายบอลไปในช่องที่มนุษย์ธรรมดาไม่เข้าใจว่าท่านจ่ายไปทำไม, ยิงปั่นไซร้มาก, หลอกยิงไกลทั้งๆ ที่โดนขวางอยู่และมีเพื่อนรออยู่ซ้ายขวา, ยิงไกลค่อนสนาม ฯลฯ

_______ ยังดีว่าพอพ้นหนึ่งชั่วโมงของเกมไป พลังเทพท่านหมดเลยหันกลับมาเล่นแบบคนธรรมดาบ้าง เลยทำให้ทีมยังพอได้ประโยชน์บ้าง

_______ นัดนี้น่าจะเป็นนัดสุดท้ายทีมชุดนี้ได้เล่นด้วยกันครบ นัดหน้าคงจะเป็นทีมผสมแล้ว ดีไม่ดีทีมวันนี้อาจจะได้ลงแค่คนสองคนเท่านั้น ประโยชน์จริงๆ คงอยู่ที่การรักษาจังหวะการเล่นและเรียกความฟิต ซึ่งดูๆ แล้วก็น่าจะทำได้ตามเป้า อย่างน้อยๆ ที่เห็นได้ชัดก็เป็นตูเร่กับชานที่ดูสลัดอาการ “พึ่งลงสนาม” ไปได้เยอะทีเดียว อ้อ รวมไปถึงความมั่นใจของเบนเทเก้และอัลเลนด้วยนะ

_______ ส่วนเชลซี อาซาร์ทีมโดยแท้จริง ไม่ใช่แค่ประตูที่เขาทำได้ แต่การเล่นเกมรุกทุกจังหวะที่ได้ลุ้นมาจากเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะจ่าย จะเลี้ยงจี้ เก็บบอล ชิงจังหวะจ่าย ทำได้หมด นึกถึงซัวเรสกันเลยทีเดียว อยากให้ปีหน้าหรือปีถัดไป ทีมสามารถหาหรือสร้างใครแบบนี้ขึ้นมาได้สักคนจริงๆ

-----------------------------------------

นัดนี้เล่นไม่ดีนัก

มินโยเล่ - เซฟลูกยากได้หลายครั้ง มีพลาดครั้งเดียวคือการออกไปนอกเส้นแล้วไม่ถึงบอลในนาที 37 บอลคืนหลังโดนกดดันอยู่พอควรแต่ก็เอาตัวรอดได้ดี เป็นฟอร์มของผู้รักษาประตูที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง

โมเรโน่ - ช่วงต้นเกมดูมีปัญหากับการเล่นร่วมกับตูเร่ ช่องระหว่างทั้งคู่กว้างขวางใหญ่โตมาก แต่เล่นๆ ไปแล้วดูดีขึ้น นัดนี้เกมรับโดยรวมไปได้มีปัญหา แต่ไปมีปัญหากับเกมรุก เพราะทั้งๆ ที่ยืนสูงลอยแต่กลับช่วยเชื่อมเกมหรือทำเกมรุกได้ไม่ดีเท่าที่ควร(เทียบกับตำแหน่งที่ยืน)

ตูเร่ - ต้นเกมยังดูหลงๆ อยู่ แต่ยิ่งเล่นยิ่งดี โดยเฉพาะการอ่านเกมและบังทางคู่ต่อสู้ ขวางลูกยิงหรือลูกเปิดในจังหวะสุดท้ายได้เยอะ

ลอฟเรน - สกัดบอลที่เปิดเข้ามาในเขตโทษได้ดีมาก ออกไปช่วยกองกลางสกัดหน้าเขตโทษมากขึ้นซึ่งถือเแป็นเรื่องดี

ไคลน์ -  เกมรับพอใช้ได้ คือปิดพื้นที่มุมธงได้ แต่การหยุดตัวรุกยังทำไม่ได้ คู่ต่อสู้ยังเล่นต่อได้ง่าย ครึ่งหลังเป็นตัวหลักในงานวิ่งตามไปชะลออาซาร์ก็ทำได้ตามหน้าที่ แต่โดยรวมเป็นวันที่รับไม่เด่น(แค่ไม่พลาด), เชื่อมเกมไม่ค่อยดี(ไม่จ่ายเสีย แต่เพื่อนไม่ได้เปรียบ), รุกไม่เห็นเลย

ชาน - อ่านเกมดี จังหวะพุ่งเข้าไปดักบังบอลยังทำได้เยี่ยม แต่ความเร็วกับความฟิตยังไม่ถึงกับดีนัก วิ่งไม่ได้มากและการเข้าไปปะทะไม่ว่าจะเสียบสกัดหรืออัดไหล่ต่อไหล่ยังหลวม ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเสียใบเหลืองไปตั้งแต่ครึ่งแรกด้วยก็เป็นได้ (เลยไม่อัดมั่วซั่ว)

มิลเนอร์ - เล่นได้ “หลุด” ที่สุดในทีม เกมรับลงมาช่วยหน้าเขตโทษตัวเองน้อย เชื่อมเกมก็ไม่ค่อยลงมาล้วงบอล เกมรุกที่เล่นมากหน่อยทำได้ดีในแง่ทำทางรับบอลเอาไปเปิด แต่เปิดติดบล็อคแทบจะทุกลูก

คูตินโย่ - จังหวะการเล่นดูดีขึ้น การเชื่อมเกมดูดีกว่าหลายนัดที่ผ่านมา แต่การเล่นในพื้นที่สุดท้ายหรือบอลเข้าทำยังเงียบไปหน่อย การไล่บอลหรือทำทางก็ทำน้อยด้วย

เฟอมิโน่ - เชื่อมเกมและมีส่วนร่วมกับเกมพอใช้ แต่ไล่บอลน้อย ทำทางน้อย จังหวะเข้าทำก็เงียบๆ ไม่แพ้คูตินโย่

ลัลลาน่า - มีส่วนร่วมกับจังหวะเข้าทำของทีมเยอะกว่าเพื่อน ทั้งยิงทั้งจ่ายทั้งชิ่ง แต่ลัลลาน่าไม่คมไม่เด็ดขาด ยิงก็ไม่ดีพอ จะจ่ายก็ไม่คมพอ การวิ่งไล่และทำทางยังดูดีกว่าคูตินโย่กับเฟอมิโน่

สเตอริดจ์ - อ่านข้างบนโน่นเลยค้าบ

ตัวสำรอง

อัลเลน - วิ่งรับบอลและไล่บอลได้ดี ช่วยได้ทั้งเกมรับเกมรุก เชื่อมเกมจากหลังไปหน้าได้ลื่น เกมรุกอย่าถามถึง

เบนเทเก้ - ลงไปแล้วเพื่อนจ่ายตามช่องรัวๆ ไม่จ่ายยัดใส่ตัวหรือโยนจากสุดเส้น เบนเทเก้แทบจะหายไปจากเกมเลย บอลริมเส้นที่เปิดมาบ้างคุณภาพของบอลก็แย่สุดๆ ทั้งๆ ที่ถ้าบอลจากริมเส้นหรือสุดเส้นมีคุณภาพและปริมาณมากกว่านี้ เบนเทเก้ก็ช่วยทีมได้เหมือนกัน เหมือนลูกตีเสมอนั่นแหล่ะ

โอโจ้ - งานไม่ซับซ้อนแค่ลงมาเล่นกับพื้นที่ริมเส้น ถึงเวลาจะไม่มากนักแต่ได้เล่นหลายจังหวะอยู่ เปิดบอลนำมาซึ่งประตูตีเสมอด้วย จริงๆ ลูกนั้นเปิดไม่ถึงกับดีนักเพราะบอลโด่งมากไป แต่ทิศทางกับน้ำหนักใช้ได้ มีส่วนกดดันให้เบโกวิชปัดพลาด

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : ...ซิมง มินโย่เล่…นัดนี้ที่เล่นดีก็คงเป็นคู่เซ็นเตอร์กับโกล์ ซึ่งเลือกมินโยเล่เพราะเซฟช่วยทีมไว้ได้เยอะทีเดียว
------------------------------------------------------------
เครดิตภาพจากเวปทางการ

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.