วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ลิเวอร์พูล 3 - 1 เซนิต (ยูโรป้าลีค)


ได้แค่เกือบอีกหนึ่งนัด
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-1-4-1

----------------------ซัวเรส------------------------
เฮนเดอร์สัน----อัลเลน------เจอราร์ด--------ดาวนิ่ง
-----------------------ลูคัส-------------------------
เอนริเก้-----แอกเกอร์------คาราเกอร์-----จอห์นสัน
-----------------------เรน่า-------------------------

               ลิเวอร์พูลเปิดบ้านรับเซนิตในเกมยูโรป้าที่ไปแพ้มาก่อนในนัดแรก นัดนี้สเคอเทลเจ็บ รวมไปถึงสเตอริดจ์กับคูตินโย่ที่ลงสนามไม่ได้ ร็อดเจอร์เลือกใช้อัลเลนลงตัวจริง นอกนั้นยังเป็นชุดหลักที่เล่นด้วยกันมาตลอด
-------------------------------------------------------

                เปิดเกมมาทั้งสองฝ่ายพยายามเข้าไล่บอลเร็ว เร่งไม่ให้คู่ต่อสู้ตั้งเกมได้ถนัด ลิเวอร์พูลพยายามใช้บอลยาวข้ามกองหลังให้ซัวเรสวิ่งไล่บ่อยครั้งและได้ผลพอ สมควร ส่วนเซนิตแม้จะมีความได้เปรียบอยู่สองประตูแต่ไม่ได้มาเล่นอุด ไล่บอลตั้งแต่แดนหน้าและตั้งเกมสู้ตามจังหวะ ช่วงต้นเกมค่อนข้างเปิดแต่ยังทำอะไรกันไม่ได้ถัด

               ผ่าน 15 นาทีไปลิเวอร์พูลเริ่มไล่สูงน้อยลง หันมาเน้นไล่ในแดนตัวเอง แต่ในเกมรุกยังดันกันขึ้นสูงต่อไป ในขณะที่เซนิตก็ไม่ได้เร่งเกมมากนัก พยายามเน้นคุมพื้นที่ แต่แล้วลิเวอร์พูลมาก่อนในนาที 19 คาราเกอร์จ่ายบอลคืนหลังพลาดโดนฮัคฉกไปดวลเดี่ยวกับเรน่าและยิงได้สำเร็จ 1-0

               หลังจากเสียประตู ลิเวอร์พูลยังเดินเกมรุกต่อไปแม้จะพาบอลไปถึงแดนหน้าได้ต่อเนื่องแต่ยังเปิด บอลเจาะแนวรับไม่สำเร็จ โอกาสได้ยิงยังค่อนข้างน้อย ส่วนเซนิตที่เน้นเกมสวนกลับมาขึ้นยังผ่านบอลทะลุไม่ถึงเขตโทษเช่นกัน ในที่สุดแม้ลิเวอร์พูลจะเจาะไม่ได้ในเกมเปิดแต่ยังมาทำได้จากฟรีคิก นาที 28 จากจังหวะที่แอกเกอร์พาบอลทำชิ่งเติมขึ้นมาถึงหน้าเขตโทษและเรียกฟาลว์ได้ ซัวเรสยิงทะลุึกำแพงเข้าไปได้สำเร็จ 1-1

               เกมยังคงเล่นกันไปตามจังหวะเดิม ลิเวอร์พูลได้ลุ้นเป็นระยะแต่ไม่ค่อยได้ยิง ส่วนเซนิตอาศัยความผิดพลาดของลิเวอร์พูลพอได้ลุ้นประตูเช่นกัน ลิเวอร์พูลมามีความหวังเพิ่มขึ้นในนาที 43 เอนริเก้ทำชิ่งหลุดไปถึงเส้นหลักก่อนหักเข้ากลางแฉลบกองหลังไปเข้าทางอัลเลน ซ้ำเข้าไปได้ 2-1 และจบครึ่งแรกที่สกอร์ดังกล่าว

               เข้าครึ่งหลัง เซนิตลงมารับต่ำกว่าเดิม ในขณะที่ลิเวอร์พูลเร่งหนักขึ้นไปอีก แบ็คสองข้างขึ้นสุดตลอด แผงกลางแม้แต่ลูคัสยังหาจังหวะดันขึ้นไปสูงเกือบถึงเขตโทษ แอกเกอร์กับคาราเกอร์ถ้าตัดบอลได้ก็วิ่งเติมขึ้นหน้าเช่นกัน ทำให้เกมในช่วงต้นครึ่งหลังเป็นลิเวอร์พูลกดดันแนวรับได้อย่างต่อเนื่อง

               นาที 59 ลิเวอร์พูลมาทำได้ดีจากฟรีคิกอีกครั้ง เมื่อซัวเรสเรียกฟาลว์ได้หน้าเขตโทษก่อนจะเป็นคนปั่นเสียบเสาเข้าไปเองเป็น 3-1 หลังจากได้ประตู ร็อดเจอร์ส่งเชลวี่ย์กับอัสไซดี้ลงมาแทนอัลเลนกับเฮนเดอร์สันทันที และยังเร่งเกมอย่างต่อเนื่อง ส่วนทางเซนิตปรับแทคติคเล็กน้อย เริ่มรับลึกน้อยลง ไล่บอลมากขึ้นและพยายามครองบอลมากขึ้น ไม่โต้ด้วยบอลยาวมากนัก ทำให้ลิเวอร์พูลเริ่มตั้งเกมรุกได้ลำบากกว่าช่วงต้นครึ่งหลัง

               เมื่้อเซนิตไล่สูงบ่อยขึ้นและตั้งเกมรุกมากขึ้นทำให้เกมกลับมาเปิดแลกกันอีก ครั้ง เซนิตไล่สูงจนลิเวอร์พูลตั้งเกมไม่ถนัดและหลายจังหวะตัดบอลได้เกือบถึงขั้น ได้ประตู ส่วนลิเวอร์พูลแม้เกมจะกดดันได้ดีและได้ลุ้นตลอดแต่ยังหาโอกาสยิงได้ไม่มาก นัก เข้าช่วง 10 นาทีท้ายผู้เล่นลิเวอร์พูลหลายคนออกอาการหมดแรงทำให้มีปัญหาจากการโดนวิ่ง ไล่หนักเข้าไปอีก

               นาที 84 สเตอริ่งได้ลงมาแทนดาวนิ่ง ลิเวอร์พูลบุกได้เท่าที่สังขารจะอำนวย ได้ลุ้นแต่ไม่ได้ประตูก่อนจะจบเกมไปด้วยชัยชนะ 3-1 ...แต่ตกรอบ (ผลรวม 3-3 แต่ตกรอบด้วยกฎประตูทีมเยือน)
 -----------------------------------------

               11 ตัวจริงในวันนี้แปลกใจเล็กน้อยที่ร็อดเจอร์เลือกอัลเลนก่อนปีกแ้ท้ๆ อย่างอัสไซดี้กับสเตอริ่ง ส่วนเรื่องแทคติคถึงแม้จะเปิดหน้าแลกและดันสูงตามสถานการณ์บังคับ แต่มีรายละเอียดเล็กน้อยที่น่าสนใจ ช่วงครึ่งแรกลิเวอร์พูลใช้บอลยาวข้ามกองหลังให้ซัวเรสบ่อยครั้งซึ่งอันที่ จริงก็ค่อนข้างได้ผล เพียงแต่ซัวเรสจับบอลพลาดไปนิดๆ หน่อยๆ ไม่งั้นประตูแรกอาจไม่ใช่ของเซนิต ส่วนต้นครึ่งหลังที่เซนิตถอยลงไปต่ำ ลิเวอร์พูลดันแผงกลางขึ้นสูงทันที หันมาเน้นบอลสั้นในการเข้าทำมากขึ้นและตลอดเกมหลีกเลี่ยงการโยนบอลโด่งอย่าง ชัดเจน ดูเฉพาะเกมนี้ร็อดเจอร์เลือกแผนมาได้ไม่เลวทีเดียว

               อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตัดสินเกมนี้คือเซนิต นอกจากจะได้เปรียบสองประตูก่อนเกมเริ่มแล้ว พวกเขายังเล่นกันละเอียดมาก อาศัยความได้เปรียบที่ได้พักมากกว่าร่างกายสดกว่ากดดันน้อยกว่า ใช้พละกำลังวิ่งไล่บอลในแดนหน้าอย่างได้ผล นอกจากจะได้มา 1 ประตู(ซึ่งทำให้เข้ารอบด้วย) ยังสร้างโอกาสจนเกือบเป็นประตูอยู่อีก 2-3 ครั้ง และอย่างน้อยที่สุดก็ชลอเกมรุกของลิเวอร์พูลได้เป็นช่วงๆ โดยเฉพาะ 10 นาทีสุดท้ายที่ลิเวอร์พูลหมดแรงกันแล้วยิ่งเห็นได้ชัด

                เซนิตไม่ได้ทำอะไรงี่เง่าอย่างการมาเล่นเกมนี้แบบตั้งหน้าตั้งอุด ช่วงต้นครึ่งหลังที่ลงมารับลึกหน่อยจนโดนกดดันอยู่พักใหญ่พอโดนเข้าไปลูกแทน ที่จะเสียสติถอยกันลงไปรับ กลับปรับเกมของตัวเองมาวิ่งไล่และยืนสูงขึ้นจนลิเวอร์พูลตั้งเกมกลางสนาม ลำบาก ที่สำคัญที่สุดคือจังหวะเคลียร์บอลที่แนวรับเซนิตเคลียร์ได้ดี บอลส่วนใหญ่ไปทางเดียวกับฮัคที่รออยู่ ซึ่งแม้ลิเวอร์พูลจะตัดกลับมาได้เป็นส่วนใหญ่แต่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร

               การเสียเปรียบสองประตู แถมยังมาโดนก่อนในนัดนี้ ลิเวอร์พูลยังอุตส่าห์ฮึดยิงได้ถึง 3 ลูกและทำให้ทีมมีหวังเข้ารอบจนถึงนาทีสุดท้ายถือว่าทำได้ดีและน่าประทับใจ เอามากๆ... แต่

               ...เซนิตสมควรเข้ารอบแล้วครับ...
-------------------------------

นัดนี้เล่นกันได้ค่อนข้างดี

เรน่า - เปิดบอลไม่ค่อยดี พาหลอนอยู่หลายจังหวะ ส่วนประตูที่เสียไปก็คงโทษเขาลำบากเพราะเป็นจังหวะตัวต่อตัว

จอห์นสัน - เชื่อมเกมและเติมเกมรุกได้ดุดัน ทำบอลเสียน้อย เกมรับลงทันบ้างไม่ทันบ้างแต่ก็ไม่ถึงขั้นเสียหาย

แอกเกอร์ - พาบอลขึ้นหน้าได้ดีหลายครั้ง ผ่านบอลในแดนหลังหนีการวิ่งไล่พอใช้ได้ หลายครั้งหวาดเสียวไปหน่อยและมีพลาดให้เห็นบ้าง ส่วนเกมรับวิ่งเบียดได้ค่อนข้างดี

คาราเกอร์ - พลาดหนักจนทำให้ทีมเสียประตูสำคัญ แต่โดยรวมคาราเกอร์เล่นได้ดีเอามากๆ เด่นกว่าแนวรับทุกคน ดักตัดบอลก่อนถึงกองหน้าได้ดีหลายครั้งและเข้าสกัดได้แม่นยำ

เอนริเก้ - เล่นเกมรับมากกว่าจอห์นสันรวมไปถึงเล่นได้หวาดเสียวกว่าด้วย เก็บบอลไว้กับตัวนานจนเกือบพลาด(และพลาด)ให้เห็นเป็นระยะ ส่วนเกมรุกเชื่อมเกมพอใช้ได้และเล่นจังหวะสุดท้ายได้ค่อนข้างดี

ลูคัส - เกมนี้เล่นได้ค่อนข้างง่ายเพราะเซนิตไม่ดันแผงกลางขึ้นมามากนัก ซึ่งลูคัสก็เล่น ได้ดีมาก อ่านเกมและดักตัดบอลได้บ่อย ไม่แปะบอลให้เพื่อนแบบไร้สาระ ถ้าข้างหน้ามีพื้นที่หรือมีตัวเลือกดีกว่าก็พร้อมจะไปข้างหน้า

เจอราร์ด - เล่นทั้งเกมรุกเกมรับ วางบอลยาวได้ดีและเติมขึ้นไปเล่นแถวหน้าเขตโทษค่อนข้างดี แม้จะพาบอลตะลุยผ่านไปไม่ได้แต่ออกบอลไปพื้นที่ว่างได้ดีตลอด ช่วงกลางครึ่งหลังเริ่มหมดแรง กระโดดไม่ขึ้น เร่งสปีดไม่ไหว

อัลเลน - ออกบอลในเกมรุกได้ไม่ดีเลย หนักไปทางเชื่อมเกมมากกว่าทำให้ภาระหนักไปตกอยู่กับซัวเรส แม้จะพลาดน้อยแต่จากตำแหน่งที่เล่นอยู่ทีมต้องการบอลในเกมรุกจากเขามากกว่า นี้ อย่างไรก็ตาม วันนี้เติมเข้าเขตโทษไปทำประตูได้อยู่เหมือนกัน

เฮนเดอร์สัน - เล่นได้ตามแทคติค ไม่ครองบอลกับตัวนานและเล่นเร็วในพื้นที่หน้าเขตโทษ แม้จะดูเร่งๆ ขัดกับธรรมชาติเจ้าตัวอยู่สักหน่อยและผลงานส่วนตัวก็ไม่ถึงกับดีนัก แต่โดยรวมก็ถือว่าช่วยทีมได้ดีกว่าทั้งอัลเลน,เชลวี่ย์,สเตอริ่ง)

ดาวนิ่ง - เชื่อมเกมแดนกลางได้สุดยอดมาก ไม่ได้ยืนรออยู่ที่ริมเส้นอย่างเดียว แต่จังหวะเพื่อนโดนบีบจะวิ่งหาที่ว่างคอยรับบอลอยู่ตลอด ช่วยให้ทีมตั้งเกมจากหลังไปหน้าได้ดี กระชากบอลไปเปิดได้พอสมควร แต่ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่คือจังหวะสุดท้ายกดดันแนวรับไม่ค่อยได้ จะตัดเข้ากลางมายิงก็ไม่มี เปิดก็ไม่ค่อยตรงเพื่อน จะเติมไปยิงก็หาที่ว่างในเขตโทษไม่ได้

ซัวเรส - ยิงฟรีคิกได้ดีถึง 2 ครั้งเป็น 2 ประตู มีส่วนร่วมกับเกมมาก ถ้าไม่มีซัวเรสเกมของลิเวอร์พูลวันนี้บุกไม่ขึ้นแน่ ต้องลงมาล้วงบอลเพื่อทำเกมเองอยู่เกือบทั้งเกมเลยไม่หาจังหวะยิงเองไม่ค่อย ได้เท่าไหร่

ตัวสำรอง

เชลวี่ย์ - เข้าบอลโฉ่งฉ่าง สร้างโอกาสให้ทีมได้น้อย ได้ยิงลูกส้มหล่นดันหลุดกรอบอีกต่างหาก

อัสไซดี้ - กดดันแนวรับได้พอสมควร พาบอลเลี้ยงจี้คู่ต่อสู้ได้ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ถึงกับลงมาเปลี่ยนเกมได้

สเตอริ่ง - แทบไม่ได้บอล

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : ...หลุยส์ ซัวเรส... นอกจากสองประตูที่ทำได้แล้ว วันนี้ซัวเรสทำทุกอย่างให้กับทีม ทั้งปั้นเกม เรียกฟาลว์ จ่ายให้เพื่อนเข้าทำ เล่นชิ่ง เลี้ยงจี้ เรียกเตะมุม ฯลฯ ...เห็นแล้วก็เหนื่อยแทน
------------------------------------------------------------

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ลิเวอร์พูล 5 - 0 สวอนซี (พรีเมียร์ลีค)


เก็บกดใช่มั้ยเนี่ย
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-2-3-1

---------------------สเตอริดจ์----------------------
คูตินโย่---------------ซัวเรส-----------------ดาวนิ่ง
---------------ลูคัส-------------เจอราร์ด-----------
เอนริเก้-----แอกเกอร์------คาราเกอร์-----จอห์นสัน
-----------------------เรน่า-------------------------

               ลิเวอร์พูลที่พึ่งแพ้เซนิตมาเมื่อสองวันก่อนกลับมาเล่นเกมพรีเมียร์ลีค เปิดบ้านรับมือสวอนซีที่รอจะชิงแชมป์ลีคคัพอยู่ ทางด้านลิเวอร์พูล ร็อดเจอร์ปรับทีมเล็กน้อยด้วยการส่งสเตอริดจ์กลับมายืนหน้าเป้า ส่งคูตินโย่ลงตัวจริงเป็นนัดแรกให้ยืนทางซ้าย ถอยซัวเรสมาเล่นหน้าต่ำ รวมไปถึงลูคัสกับแอกเกอร์ที่ได้ลงเป็นตัวจริงเช่นกัน ส่วนสวอนซีเก็บตัวหลักไว้เกือบครึ่งทีมด้วยเหตุผลที่บอกไปตอนต้น
-------------------------------------------------------

                เปิดเกมมาลิเวอร์พูลพยายามไล่บอลเร็วและเร่งจังหวะเข้าทำ ส่วนทางสวอนซีเน้นเกมเร็วด้วยบอลยาวขึ้นทางด้านขวา(เอนริเก้)เป็นหลัก ตอนต้นเกมลิเวอร์พูลดูจะเร่งจนพลาดอยู่พอสมควร แต่ยิ่งเล่นก็เริ่มมีความแม่นยำมากขึ้น สวนทางกับทางสวอนซีที่ยิ่งเล่นบอลยิ่งไปไม่ค่อยถึงด้านหน้า

               เกมค่อยๆ เป็นของลิเวอร์พูลมากขึ้น ได้โอกาสลุ้นประตูอยู่ตลอด สวอนซีบุกได้น้อยลง นานๆ ได้บุกทีได้ลุ้นไม่มากนัก นาที 25 สเตอริดจ์โดนสกัดล้มในเขตโทษ แต่เวปป์ไม่เป่าให้ อาจเป็นเพราะว่าคูตินโย่ใช้โอกาสยิงไปแล้ว แต่พอมาถึงนาที 33 ลิเวอร์พูลกลับมาได้จุดโทษจากจังหวะต่อเนื่องจากเตะมุม ซัวเรสโดนปะทะที่เส้นหลังล้มลงไป เจอราร์ดรับหน้าที่ยิงไม่พลาด 1-0

               ได้ประตูแล้วกลายเป็นลิเวอร์พูลที่โหมเกมรุกต่อได้ทันที เกือบได้ประตูนำห่างอีกหลายครั้งแต่ทำไม่สำเร็จ สวอนซีตั้งรับได้ไม่เหนียวแน่นนักมีช่องพอให้เจาะได้อยู่ตลอด ส่วนเกมรุกก็ตั้งเกมของตัวเองไม่ค่อยได้ เป็นรองอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่ง 5 นาทีสุดท้ายลิเวอร์พูลถึงได้เพลาเกมบุกลงให้สวอนซีพอได้ครองบอลขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้เอามาใช้เป็นประโยชน์ได้สักเท่าไหร่ก่อนจบครึ่งแรกที่ 1-0

               เข้าครึ่งหลัง ไม่กี่วินาทีจากการเขี่ยบอล คูตินโย่รับบอลจากซัวเรสลากไปยิงแถวหน้าเส้นเขตโทษเข้าไปได้ 2-0 ถึงตรงนี้เกมก็แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว สวอนซีรุกไม่ขึ้น โดยพับสนามบุกอยู่ฝ่ายเดียวและเกมรับก็เล่นกันได้ไม่ดีนัก กลายเป็นเกมที่ลิเวอร์พูลได้ล่อเป้ายิงเป็นระยะๆ

               นาที 50 จากจังหวะทำชิ่งกันเข้ามาจากริมเส้นฝั่งซ้าย จังหวะสุดท้ายเป็นเอนริเก้ได้จบเป็น 2-0 นาที 56 ซัวเรสได้บอลจากดาวนิ่งก่อนพลิกหลบเข้าไปยิงในเขตโทษ 3-0 ส่วนทางสวอนซียิ่งเล่นยิ่งออกทะเลไปเรื่อยๆ ไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาได้

               นาที 60 เฮนเดอร์สันได้ลงแทนคูตินโย่ ขยับซัวเรสไปเล่นริมเส้นซ้ายมากขึ้น ใช้เฮนเดอร์สันตรงกลาง ลิเวอร์พูลเล่นไปตามจังหวะ สวอนซีก็ไม่ได้เร่งอะไรมากนัก ทั้งเกมรับที่ก็ไม่ได้ไล่มากและเกมรุกที่ไม่ได้พยายามตั้งเกมขึ้นมาเท่าไหร่ ลิเวอร์พูลยังมีโอกาสยิงอยู่เรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนมาได้เพิ่มอีกครั้งจากจุดโทษในนาที 71 ที่เร้าท์เรดจ์ทำแฮนบอล สเตอริดจ์รับหน้าที่ยิงไม่พลาด 5-0

               ถึงตรงนี้ทั้งสองฝ่ายก็เล่นกันแบบรอเกมจบ ลิเวอร์พูลถ้าเห็นช่องยังพอจะลุ้นทำประตูกันบ้างแต่ฝ่ายสวอนซีนี่จบสนิท จริงๆ นาที 72 อัลเลนลงมาแทนลูคัส นาที 78 บอรินี่แทนซัวเรส ก่อนที่นาที 86 บอรินี่จะเจ็บเล่นต่อไม่ไหวทำให้ลิเวอร์พูลเหลือ 10 คน แต่รูปเกมไม่มีอะไรเปลี่ยน จบเกมไปที่ 5-0
 -----------------------------------------

               11 ตัวจริงวันนี้ต่างกับนัดเซนิตอยู่เล็กน้อย ที่สำคัญคือการกลับมาของสเตอริดจ์ รวมไปถึงลูคัส แต่ที่ต่างกันมากๆ คือแทคติคที่ใช้ นัดนี้แม้จะไม่ได้ถึงขั้นดันสูงเปิดหน้าแลก แต่ก็เน้นการเล่นเกมรุกอย่างเต็มตัว เจอราร์ดดันขึ้นไปสูงตลอดเมื่อมีโอกาส แบ็คสองข้างสลับกันขึ้นทุกครั้งที่บอลขึ้นทางฝั่งตัวเอง เบ็ดเสร็จกว่าจะจบเกมได้โอกาสยิงล่อเข้าไปร่วม 40 ครั้ง

               สาเหตุหลักที่ทำให้เกมออกมาเป็นแบบนี้มาจากทางฝั่งสวอนซี อันเนื่องมาจากพวกเขามีเกมสำคัญรออยู่ นัดนี้เลยพักตัวหลักกว่าครึ่งทีมตั้งแต่หลังยันหน้า สวอนซีเองก็ไม่ใช่ทีมใหญ่มีตัวทดแทนไม่มากนักและตัวสำรองยังห่างไกลจากตัว จริงลิบลับไม่เห็นฝุ่น แถมบางคนก็ไม่ค่อยได้ลงมาสัมผัสเกมอีกต่างหาก ก็เลยแพ้ไปตามสภาพ

               อย่างไรก็ตาม นัดนี้มีจุดเปลี่ยนสำคัญ 2 ครั้งที่กำหนดทิศทางของเกมทั้งหมด ครั้งแรกคือการได้จุดโทษลูกแรก ลิเวอร์พูลนั้นบุกได้ดีโอกาสเพียบก็จริงแต่ยังไม่ได้ประตู ถ้าไม่ได้จุดโทษมาช่วยก็ไม่รู้ว่าจะกดดันตัวเองจนพลาดเหมือนนัด WBA หรือปล่าว และจุดโทษลูกนี้จะว่าไปก็ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ด้วยเพราะกองหลังไม่ได้อัดซัวเรส แรงนักและบอลจะหลุดเส้นอยู่แล้ว จังหวะที่สเตอริดจ์โดนสกัดในนาที 25 ยังดูน่าเป่ามากกว่าเสียอีก

               ส่วนจุดเปลี่ยนที่สองก็ลูกที่สองนั่นแหล่ะ เริ่มเกมมายังไม่ผ่านนาทีแรกแต่ได้ลูกที่สอง ด้วยรูปเกมที่เป็นรองอยู่แล้วในครึ่งแรกและสภาพทีมครึ่งๆ กลางๆ ของสวอนซีทำให้เกมนี้จบลงไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

                เกมนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของหน้าเป้าอย่างสเตอริดจ์ว่าทำให้เกมมันลื่น กว่าการใช้ซัวเรสเป็นหน้าเป้าแบบหน้ามือเป็นหลังมือ มันไม่ใช่แค่สเตอริดจ์ทำได้ดี แต่มันหมายถึงการที่ซัวเรสมีโอกาสได้บอลมากขึ้นและเป็นตัวทำเกมในพื้นที่สุด ท้ายซึ่งเจ้าตัวทำได้ดีกว่าเฮนเดอร์สันหรือเชลวี่ย์ด้วย ไม่ใช่ว่าซัวเรสไม่ควรกลับไปเป็นหน้าเป้าอีกแล้ว แต่ถ้าจะดันซัวเรสกลับไปที่เดิม (ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์บังคับแบบสเตอริดจ์ติดคัพไทหรือบาดเจ็บ) ก็คงต้องแก้ปัญหาเรื่องคนทำเกมในพื้นที่สุดท้ายว่าจะหาใครทำได้ใกล้เคียงซัว เรสได้มั้ยอีกด้วย

               วันนี้ก็เฮกันไปดังๆ ก่อนครับ นัดหน้าเหนื่อยแน่
 -------------------------------

นัดนี้เล่นกันได้ดี

เรน่า - เหงาท่ามกลางคนหมู่มาก

จอห์นสัน - เป็นเกมที่เล่นได้สุดยอดมาก เกมรับเหนียวแน่น นอกจากจะสกัดได้ยังเก็บบอลไว้ได้บ่อยครั้งด้วย ขยับหาที่ว่างคอยรับบอลตลอด เชื่อมเกมได้ดี เกมรุกขยันเติมบ่อย ทำพลาดน้อยและเล่นจังหวะสุดท้าย(ในฐานะแบ็คที่จะทำอะไรก็ต้องรีบทำเดี๋ยวลง ไม่ทัน)ได้ดีทีเดียว

แอกเกอร์ - ว่างจัดจนวิ่งเติมขึ้นหน้าให้เห็นบ่อยกว่าปรกติ เกมรับแทบไม่ต้องทำอะไร พอจังหวะที่ต้องทำอะไรบ้างเลยดูเหมือนยืนผิดตำแหน่งไปนิดหน่อย โดยรวมก็พอใช้ได้

คาราเกอร์ - เป็นอีกคนที่เล่นได้ดีมาก ในครึ่งแรกมีัจังหวะที่สวอนซีพาบอลมาได้ถึงสุดเส้นหลังแล้ว 2 ครั้งแต่หักเข้ากลางมาติดคาราเกอร์ทั้งสองลูก อ่านเกมได้ดีมาก ไม่ก่อความผิดพลาดใดๆ และผ่านบอลตั้งเกมได้ดีไม่มีสาดทิ้ง

เอนริเก้ - เติมเกมน้อยกว่าจอห์นสันแต่ก็ถือว่าเติมขึ้นมาบ่อยกว่าหลายๆ นัดที่ผ่านมา เกมรับมีหลุดตำแหน่งให้เห็นบ้างในช่วงครึ่งแรก เชื่อมเกมได้ดี จังหวะสุดท้ายไม่ค่อยมีส่วนร่วมเท่าไหร่เพราะขึ้นไปไม่ค่อยสุดเส้น แต่ก็มีจังหวะที่เติมขึ้นไปจนทำประตูได้สำเร็จ

ลูคัส - ไม่ค่อยมีงานมากนักเพราะสวอนซีอย่าว่าแต่จะบุก แค่เก็บบอลให้ได้ก็แทบแย่แล้ว วันนี้ลูคัสเล่นสบาย เข้าไปเร่งคู่ต่อสู้ได้ดี เก็บบอลจังหวะสองได้เยอะ และผ่านบอลหนีตัวที่เข้ามาเร่งได้ตลอด

เจอราร์ด - ไม่ต้องห่วงเกมรับก็ยืนหล่อรอบอลแล้วก็จ่ายไปรอบๆ บอลสั้นบอลยาวบอลชิ่งมาครบและทำได้ดีทีเดียว เคลื่อนที่ไปช่วยเชื่อมเกมได้ดีทั้งสนาม มีส่วนสำคัญที่ทำให้วันนี้ตั้งเกมกันขึ้นมาได้ค่อนข้างง่าย

ซัวเรส - มีส่วนร่วมกับเกมเยอะมาก และส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่สำคัญแถวๆ เขตโทษด้วย ดึงกองหลังได้เยอะและจ่ายบอลให้เพื่อนเล่นได้ดี มีจังหวะฝืนเล่นยากให้เห็นบ้างพอสมควร แม้จะยิงได้ 1 ลูกแต่ดูเหมือนยังต้องกลับไปจูนเรดาร์กันต่อ หนักไปทางยิงไปไหนไม่รู้

คูตินโย่ - ยังเล่นไม่ค่อยเข้าขากับเพื่อน เชื่อมเกมได้ไม่ค่อยดีพลาดบ่อยพอสมควร แต่ให้บอลในเกมรุกได้ดีอยู่หลายครั้ง ทำประตูได้ด้วย และเอาตัวรอดจากการโดนเร่งได้น่าพอใจ

ดาวนิ่ง - เป็นอีกเกมที่เล่นได้ดีแต่สงสัยจะไม่ค่อยได้เครดิตเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยมี ส่วนร่วมกับจังหวะสุดท้ายมากนัก เชื่อมเกมและลงไปช่วยแทนตำแหน่งตอนจอห์นสันขึ้นไปแล้วได้ดี ขยับหาที่ว่างตลอด จังหวะต้องดวลตัวต่อตัวสามารถสลัดตัวประกบได้บ่อยครั้ง โยนบอลเข้ากลางได้ไม่มากนักแต่โยนเข้าไปได้น่าพอใจ หาโอกาสยิงไกลได้ดีขึ้นแต่ยิงพลาดหมด

สเตอริดจ์ - วิ่งทำทางและเอาบอลลงได้สุดยอด รับบอลยาวจากกลางสนามเอามาทำเกมรุกเร็วได้ดีหลายครั้ง มีส่วนร่วมกับเกมเยอะพอๆ กับซัวเรส ฝืนเล่นยากให้เห็นพอสมควรและยิงไม่ค่อยดีนักทั้งๆ ที่มีโอกาสเพียบ

ตัวสำรอง

เฮนเดอร์สัน - ลงมาจ่ายบอลในเกมรุกสวยๆ ให้เห็นหลายครั้ง เล่นได้ดีกว่าคูตินโย่ในช่วงก่อนหน้าเสียอีก (แต่คูตินโย่ยิงได้นะจ๊ะ)

อัลเลน - เกมขาดไปแล้วเลยแค่ลงมาเคาะ แล้วก็เคาะไ้ด้ดีด้วย สวอนซีไล่ไม่จน (ถึงจะไม่ค่อยไล่ก็เถอะ)

บอรินี่ - สงสัยจะไหล่หลุด

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : ...เกล็น จอห์นสัน... นัดนี้เลือกเถอะครับ ตามใจฝันเลย จะคาราเกอร์ เจอราร์ด ซัวเรส สเตอริดจ์ ฮาเวิร์ด เวปป์(สำหรับจุดโทษ) ไมเคิล เลาดรูป(สำหรับการจัดตัว) หรือ มิชู(เพราะไม่ได้ลงมายิง) ก็ได้ทั้งนั้น แต่ส่วนตัวขอเลือกแบ็คขวาที่เล่นได้ยอดเยี่ยมตลอด 90 นาที ช่วยทีมได้ตั้งแต่หลังยันหน้าคนนี้ก็แล้วกัน
------------------------------------------------------------
Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เซนิต 2 - 0 ลิเวอร์พูล (ยูโรป้าลีค)


อาการชักจะแย่
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-2-3-1

----------------------ซัวเรส------------------------
สเตอริ่ง-----------เฮนเดอร์สัน---------------ดาวนิ่ง
-------------อัลเลน-------------เจอราร์ด-----------
เอนริเก้-----คาราเกอร์------สเคอเทล-----จอห์นสัน
-----------------------เรน่า-------------------------

                ลิเวอร์พูลลงเล่นเกมยูโรป้า ออกไปเยือนเซนิตไกลถึงรัสเซีย ร็อดเจอร์จัดทีมเน้นเต็มที่ ปรับเพียงแค่ส่งสเตอริ่งลงตัวจริงเล่นทางซ้าย หุบเฮนเดอร์สันมาเล่นกลางรุก ดรอปลูคัสแล้วส่งอัลเลนกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง ดรอปแอกเกอร์แล้วใช้สเคอเทลคู่คาราเกอร์แทน นอกจานั้นยังเป็นผู้เล่นชุดเดิมทั้งหมด
-------------------------------------------------------

                 เปิดเกมมาทั้งสองฝ่ายยังเล่นกันติดๆ ขัดๆ จ่ายบอลพลาดและเกมรับไม่แน่นกันทั้งคู่ ทำให้ต่างฝ่ายต่างมีโอกาสได้ลุ้นประตูแต่ยังทำอะไรกันไม่ได้ โดยเป็นทางฝ่ายเซนิตที่ดูดีกว่าเล็กน้อย ต่อบอลทำเกมรุกได้มากกว่า ส่วนลิเวอร์พูลทำเกมรุกได้ช้าและถอยไปรับกันเป็นส่วนใหญ่

                ยิ่งเล่นเซนิตยิ่งทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แม้จะวิ่งไล่บอลในแดนหน้าน้อยลง แต่เกมรุกสามารถผ่านบอลขึ้นหน้าได้ต่อเนื่อง และได้โอกาสลุ้นประตูมากกว่า ในขณะที่ลิเวอร์พูลยังเล่นกันติดขัดทั้งเกมรุกและเกมรับ เล่นเหมือนไม่ค่อยฟิตและยืนกันต่ำโดยเฉพาะแผงกลางที่แทบจะยืนกอดอยู่กับแผง หลัง ทำให้ตัวเลือกในการผ่านบอลขึ้นหน้าแทบไม่มี ต้องอาศัยบอลยาวจังหวะฉาบฉวย สลับกับความผิดพลาดของคู่ต่อสู้ในการทำเกมเป็นหลัก มีโอกาสลุ้นประตูน้อยกว่าแต่ก็น่าจะเป็นประตูอยู่ 2-3 ครั้งเช่นกัน

                ช่วง 10 นาทีท้ายของครึ่้งแรก ลิเวอร์พูลเริ่มดันกันมากขึ้น สวนทางกับเซนิตที่เริ่มเพลาเกมลงไป ทำให้เกมของลิเวอร์พูลเริ่มดูดีขึ้นแต่ก็ไม่ถึงกับได้เปรียบหรือกดดันอะไร ได้มากนัก ก่อนจะจบครึ่งแรกที่สกอร์ 0-0

                เข้าครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลลงมาดันแผงกลางให้สูงมากขึ้นและไล่บอลบริเวณกลางสนามมากขึ้น ในขณะที่เซนิตยังเล่นการตามจังหวะเดิม ไม่ได้ตั้งรับแต่ก็บุกอย่างระวังตัว เกมโดยรวมลิเวอร์พูลเริ่มทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ครองบอลได้มากขึ้นและทำให้เซนิตเริ่มได้บอลน้อย เกมรุกเริ่มไปไม่ค่อยถึงเขตโทษ

                อย่างไรก็ตาม เกมรุกของลิเวอร์พูลในวันนี้ไม่ดุดันเท่าไหร่ แม้จะพาบอลไปใกล้เขตโทษได้มากกว่าครึ่งแรกแต่เจาะแนวรับไม่ค่อยได้ โอกาสที่มีบ้างก็ยิงทิ้งยิงขว้างกันไปหมด กลับกลายเป็นฝ่ายเซนิตที่เกมรุกดูแย่กว่าในครึ่งแรกสามารถความหาประตูได้ ก่อน นาที 69 ฮัลค์ได้บอลแถวหน้าเขตโทษก่อนจะยิงไกลพุ่งเสียบตาข่ายได้สำเร็จ 1-0

                หลังจากเสียประตู เกมของลิเวอร์พูลที่ทำท่าจะดีกลับช๊อตไปทันที และเป็นเซนิตที่ฉวยโอกาสที่ลิเวอร์พูลยังเสียสมาธิตั้งเกมไม่ได้เล่นงานซ้ำ อีกครั้งอย่างรวดเร็ว นาที 72 จากบอลเปิดจากข้างสนามที่ไปยังไม่ถึงสุดเส้นด้วยซ้ำ กองหลังลิเวอร์พูลเข้ากันไม่ถึงบอล ปล่อยให้บอลเลยไปเสาสองและโดยซ้ำเข้าไปได้ง่ายๆ 2-0

                หลังจากโดนลูกที่สอง ลิเวอร์พูลหันมาเปิดหน้าแลกมากขึ้นแต่กลายเป็นเซนิตที่คุมจังหวะเกมได้ดี กว่า ลิเวอร์พูลเร่งไม่ขึ้นและพาบอลไปข้างหน้าไม่ค่อยได้ หรือไปได้ก็ค่อนข้างช้า นาที 78 ร็อดเจอร์ปรับเกมด้วยการส่งลูคัสมาแทนสเตอริ่ง ถ่างเฮนเดอร์สันไปเล่นริมเส้นมากขึ้น ดันอัลเลนกับเจอราร์ดขึ้นไปช่วยเกมรุกมากขึ้นด้วย แต่ผลลัพธ์แทบไม่ต่างจากของเดิม เกมรุกของลิเวอร์พูลยังไปค่อยถึงแดนหน้าและถูกตัดบอลได้กลางสนามบ่อยครั้ง สุดท้ายเซนิตก็เลยปิดเกมไปได้ไม่ยากเย็นนัก 2-0
 -----------------------------------------

                11 ตัวจริงวันนี้ ร็อดเจอร์เองก็เน้นเต็มที่เหมือนกันเพราะส่งตัวหลักเท่าที่ส่งลงได้แทบครบทีม (สเตอริดจ์กับคูตินโญ่ติดคัพไทลงไม่ได้ทั้งคู่) สเคอเทลกับแอกเกอร์ก็เล่นไม่ต่างกันเท่าไหร่ มีเพียงอัลเลนที่ลงแทนลูคัสคนเดียวเท่านั้นที่กระทบทีมเพราะเป็นตำแหน่ง สำคัญที่กำลังมีปัญหาอยู่พอดีเลยกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทีมต้องแพ้ด้วย

                ดูจากแทคติคช่วงครึ่งแรก ร็อดเจอร์เลือกมาเน้นผลการแข่งขันไว้ก่อนด้วยการเน้นเกมรับ แบ็คสองฝั่งไม่ขึ้นเลย แผงหลังยืนค่อนข้างต่ำ แม้แต่ในจังหวะทำเกมรุกก็ยืนเลยเส้นเขตโทษมาไม่ไกลนัก แผงกลางถอยลงไปใกล้กับแผงหลังบีบพื้นที่ในการเข้าของคู่ต่อสู้ไว้แคบมาก และแดนหน้ามีแค่ซัวเรสอยู่คนเดียวรอจังหวะฉาบฉวยเท่านั้นไม่ตั้งเกมรุกมากนัก ส่วนครึ่งหลังเริ่มดันกันขึ้นมาเล่นเกมรุกมากขึ้นแต่ก็มาเสียประตูไปเสียก่อนเกมเลยชะงักไป

                แม้ลิเวอร์พูลจะเล่นไม่ดีนัก เกมรับปล่อยให้คู่ต่อสู้เล่นกันค่อนข้างง่ายโดยเฉพาะหน้าเขตโทษ เกมรุกก็ตั้งเกมแทบไม่ขึ้น แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ถือว่าพอใช้ได้ เซนิตมีโอกาสบ่อยกว่าจริงแต่โอกาสที่ลิเวอร์พูลจะได้ประตูนั้นจะแจ้งกว่า ซัวเรสมีโอกาสพอที่จะทำแฮททริคได้เลยด้วยซ้ำแต่ดันทำไม่ได้สักประตู แล้วพอมาพลาดเสียประตูก็เลยจบกัน

                วันนี้สิ่งที่ตัดสินเกมน่าจะเป็นเรื่องสภาพของผู้เล่นลิเวอร์พูลเอง สภาพความฟิตแต่ละคนดูไม่จืดเลย เคลื่อนที่กันน้อย, ยืนขาตายและขาดแรงปะทะ เจอราร์ดและจอห์นสันนั้นอาการหนักสุดเพราะเคลื่อนที่ได้ช้ามาก ในขณะที่คนที่เคยวิ่งได้มากๆ อย่างดาวนิ่งกับเฮนเดอร์สันวันนี้วิ่งไม่ออก (ไม่รู้ว่าสภาพอากาศ, สนามและเสียงเชียร์ของแฟนบอลเจ้าบ้านมีส่วนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งบต้องมีบ้างล่ะ) นอกจากความฟิตแล้วสภาพจิตใจก็ดูไม่ค่อยดีนัก เล่นกันแบบเกร็งๆ ขาดความฮึกเหิมดุดัน คนที่ปรกติกล้ากระชากบอลไปอย่างเอนริเก้, จอห์นสัน, สเตอริ่ง วันนี้แทบไม่กระชากบอลเลย หรือเฮนเดอร์สันกับอัลเลนที่ปรกติก็ไม่ค่อยชอบเสี่ยงออกบอล 50/50 อยู่แล้ว วันนี้ยิ่งไม่กล้าเสี่ยงเข้าไปใหญ่ ที่แย่ที่สุดเห็นจะเป็นหลังจากเสียประตูแรกไปแล้ว สมาธิสติสตังแต่ละคนดูไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนทำให้เสียลูกที่สองแถมเร่งไม่ขึ้นอีกต่างหาก

                ก็เลยแพ้สนิทแหงแก๋ไปในนัดนี้ โอกาสเข้ารอบริบหรี่เหลือเกินแม้นัดที่สองจะได้เล่นในบ้านก็ตาม
 -------------------------------

นัดนี้เล่นกันได้ไม่ดี

เรน่า - เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เล่นได้ดี ยืนตำแหน่งและเซฟลูกสำคัญไว้ได้หลายครั้ง สองลูกที่เสียนั้นเกินความสามารถจริงๆ ที่ดูแย่ไปหน่อยคือวันนี้ออกบอลยาวไม่ค่อยดีนัก

จอห์นสัน - เกมรับพอใช้ได้ แต่ตัดบอลไม่ขาดหลายครั้ง เกมรุกทำได้แย่มาก อย่าว่าแต่จังหวะสุดท้ายที่จะกดดันคู่ต่อสู้ แค่การเชื่อมเกมวันนี้จอห์นสันก็ทำได้ไม่ดีแล้ว

สเคอเทล - อ่านเกมไม่ดีนัก หลายครั้งที่ควรวิ่งออกมาเล่นหน้าเขตโทษแต่ไม่ขึ้น แต่ในจังหวะสกัดและโหม่งก็ยังพอใช้ได้อยู่

คาราเกอร์ - ทำได้ดีกว่าสเคอเทลพอสมควร แต่ยังมีจังหวะพลาดให้เห็นอยู่บ้าง บางครั้งประกบห่าง บางครั้งก็พากันตั้งหน้าตั้งตาวิ่งถอยหลังไปกับสเคอเทล

เอนริเก้ - น่าเป็นห่วงกับสภาพร่างกาย ไม่นับแทคติคที่เน้นรับของทีมแล้ว ตัวเอนริเก้เองก็ดูจะไม่อยากกระชากหรือเลี้ยงบอลล้ำเข้าไปในแดนคู่ต่อสู้ ไกลๆ อย่างที่เคยทำ เกมรับวันนี้เปิดช่องให้คู่ต่อสู้เปิดบอลเข้ากลางได้ง่ายเกินไป ที่ทำได้ดีอยู่คือการเบียดบอลและพลิกบอลหนีเวลาโดนบีบ

อัลเลน - เพลียทุกมิติ

เจอราร์ด - ช่วยเกมรับได้น้อยกว่าที่เคย บอลยาวยังดีอยู่แต่จำนวนครั้งลดลงฮวบฮาบ ขาตายขยับหาบอลได้ช้า

เฮนเดอร์สัน - ไล่บอลได้น้อย ในเกมรุกพอมาเจอกับเกมที่ตัวเลือกข้างหน้ามีน้อย จำเป็นต้องออกบอลเร็ว เฮนเดอร์สันช่วยทีมแทบไม่ได้เลย

สเตอริ่ง - ได้บอลไม่มากนัก ขยับหาที่ว่างและเก็บบอลไม่ค่อยดี ทำได้ดีอยู่ 2-3 จังหวะ แต่โดยรวมก็หายไปจากเกม

ดาวนิ่ง - เชื่อมเกมได้เป็นชิ้นเป็นอันกว่าแผงกลางทุกคน(ยกเว้นเจอราร์ด) แต่เกมรุกกดดันคู่ต่อสู้แทบไม่ได้เลย กระชากไม่ผ่าน เปิดบอลจากริมเส้นพลาดหมด ที่ดูดีที่สุดเห็นจะเป็นจังหวะตัดเข้ากลาง แต่ก็ทำได้อยู่แค่ 2-3 ครั้ง

ซัวเรส - ยิงไม่เข้ากรอบเลยแม้แต่ครั้งเดียวกับโอกาสที่น่าจะได้ประตูสุดๆ ถึง 2-3 ครั้ง ถูกทอดทิ้งเป็นเด็กมีปัญหาอยู่ข้างหน้าคนเดียว ยิ่งเล่นยิ่งเก็บบอลไม่ได้ ท้ายๆ เกมนี่แทบไม่ได้ช่วยอะไรทีมเลย แต่ที่ทำได้ดี ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อคือซัวเรสที่ลงเล่นติดๆ กันมาตลอด ทั้งยังเป็นตำแหน่งที่ต้องวิ่งมากกว่าชาวบ้าน วันนี้ก็ยังมีแรงวิ่งมากกว่าชาวบ้านอยู่เหมือนเดิม ช่วยทำให้เกมรุกที่ดูไม่จืดพอมีรสชาติ(จากจังหวะฉาบฉวย)ให้เห็นบ้าง

ตัวสำรอง

ลูคัส - เก็บบอลจังหวะสองพอใช้ได้ ไล่ถึงบอลมากกว่าคนอื่น แต่ดักสกัดไม่ค่อยอยู่ และพอโดนพลิกไปได้ไล่ไม่ทันใครเลย
------------------------------------------------------------
Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ลิเวอร์พูล 0 - 2 เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน (พรีเมียร์ลีค)


รูปเกมคุ้นๆ มั้ย?
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-2-3-1

----------------------ซัวเรส------------------------
เฮนเดอร์สัน----------เชลวี่ย์-----------------ดาวนิ่ง
-------------ลูคัส---------------เจอราร์ด------------
เอนริเก้-----แอกเกอร์----คาราเกอร์-------จอห์นสัน
-----------------------เรน่า-------------------------

               ลิเวอร์พูลเปิดแอนฟิลด์รับมือเวสต์บรอมวิช นัดนี้ร็อดเจอร์ปรับเพียงแค่คนเดียวคือเชลวี่ย์ได้ลงมาแทนสเตอริดจ์ที่ไม่ ฟิต โดยดันซัวเรสกลับไปเป็นหน้าเป้า เชลวี่ย์ยืนหน้าต่ำ นอกนั้นเหมือนเดิมจากนัดแมนฯ ซิตี้
-------------------------------------------------------

                เปิดเกมมาก็วิ่งไล่ใส่กัน เร่งและเล่นกันเร็วทั้งสองฝ่าย บอลถึงเขตโทษทั้งคู่แต่ยังหาจังหวะยิงกันได้ลำบาก ลิเวอร์พูลขึ้นเกมรุกกันได้ไม่ถนัดนักเพราะโดนไล่เยอะ แต่ใช้เกมวิ่งไล่เร็วปิดเกมคู่ต่อสู้ได้ดี ส่วน WBA เองอาศัยบอลเร็วฉาบฉวยแต่เกมไม่ต่อเนื่อง ผ่าน 10 นาทีแรกของไปแล้วเกมถึงได้เริ่มช้าลง

               ยิ่งเล่นลิเวอร์พูลยิ่งเป็นฝ่ายได้เปรียบมากขึ้นจากผลของการเอาชนะได้ใน แดนกลาง เก็บบอลจังหวะสองได้ดีทั้งรุกและรับ ทาง WBA ไม่สามารถพาบอลไปได้ถึงแดนหน้าและเกมรับทำได้แค่ชะลอเกมรุกแต่หยุดไม่อยู่ บอลยังมาป้วนเปี้ยนถึงเขตโทษตัวเองอยู่เรื่อยๆ ที่ยังทำได้ดีขึ้นพื้นที่สุดท้ายที่ลิเวอร์พูลเปิดบอลเข้าไปลุ้นทำประตูได้ ยากลำบาก ได้ลุ้นแต่ไม่ค่อยได้ยิง

               ลิเวอร์พูลยังเดินหน้าบุกต่อไป ขยับเข้าพื้นที่สุดท้ายได้บ้างเป็นระยะ และได้จบสกอร์พอสมควร แต่แผงหลังโดยเฉพาะคู่เซนเตอร์และผู้รักษาประตูของ WBA เล่นได้สุดยอด ช่วยกันสกัดจังหวะสำคัญและเซฟได้ดีหลายครั้ง จนกระทั่งเข้าช่วงท้ายครึ่งแรกเกมรุกของลิเวอร์พูลถึงได้ดูเพลาลงไปก่อนที่ จะจบครึ่งแรกที่สกอร์ 0-0

               เข้าครึ่งหลัง WBA กลับลงมาเร่งเกม เล่นเร็วในจังหวะรุกมากขึ้น บอลมาถึงหน้าเขตโทษลิเวอร์พูลได้อยู่ราวๆ 5 นาทีแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก่อนที่เกมจะกลับเป็นของลิเวอร์พูลเหมือนเดิม แต่บุกเท่าไหร่ๆ ก็ทำประตูขึ้นนำไม่ได้ กว่าจะเจาะเข้าไปจนมีโอกาสได้จบก็แทบแย่ พอมีโอกาสได้ยิงก็ขาดนิดขาดหน่อยไม่คมพอจะเป็นประตู

               ถึงนาที 60 บอรินี่กับสเตอริ่งได้ลงมาแทนเชลวี่ย์กับเฮนเดอร์สัน บอรินี่ได้ยืนหน้าเป้า ถอยซัวเรสลงมาหน้าต่ำและสเตอริ่งยืนทางซ้าย ถึงตรงนี้ลิเวอร์พูลโหมเกมรุกเต็มที่ แผงหลังดันสูงและแบ็คเติมขึ้นไปเล่นเกมรุกและยืนสูงเชื่อมเกมด้านหน้าตลอด WBA ต้องถอยลงไปรับกันอยู่ในพื้นที่สุดท้ายอย่างเดียว เก็บบอลไม่ได้ โต้ไม่ขึ้น ได้แต่ช่วยกันสกัดและพยายามดึงเกมช้าทุกจังหวะที่ทำได้ พอเอาตัวรอดไปได้เรื่อยๆ

               ลิเวอร์พูลมาได้โอกาสดีที่สุดที่จะขึ้นนำในนาที 76 เอนริเก้วางยาวเข้าเขตโทษให้ซัวเรส ซัวเรสวิ่งเบียดกับกองหลังแล้วล้มลงได้จุดโทษ เจอราร์ดรับหน้าที่ยิงแต่ยิงไปติดเซฟเบน ฟอสเตอร์ ชวดได้ประตูขึ้นนำอย่างน่าเสียดาย ร็อดเจอร์ทิ้งไพ่ใบสุดท้ายส่งคูตินโย่ลงมาแทนดาวนิ่งทันที

               แต่แล้วจากการที่พื้นที่แดนกลางเริ่มว่างมากขึ้นเพราะขาดตัวไล่ทั้งเฮนเดอร์ สันและเชลวี่ย์ รวมไปถึงการดันขึ้นไปเล่นเกมรุกกันเต็มตัว ทำให้ WBA หาโอกาสโต้กลับขึ้นมาได้บ้าง นาที 80 มูลุมบูได้โอกาสพาบอลมาถึงหน้าเขตโทษและยิงไกลไปติดเซฟเรน่า จากจังหวะต่อเนื่องที่ได้ลูกเตะมุม คราวนี้เป็นเซนเตอร์อย่างแมคคัลลี่ที่สลัดหนีตัวประกบโฉบโหม่งเข้าไปได้สำเร็จ 1-0

               หลังได้ประตูนำ เกมของ WBA ดูดีขึ้นทันตาเห็น เก็บบอลได้มากขึ้นและเป็นฝ่ายคุมเกมได้ดีกว่า ลิเวอร์พูลยิ่งเล่นยิ่งลน และมีออกบอลผิดพลาดกันอยู่ตลอด โอกาสลุ้นประตูยิ่งยากมากขึ้นไปอีก เวลาที่เหลือแม้ลิเวอร์พูลจะยังพยายามโหมเกมรุกแต่กลับไม่ได้ลุ้นมากนัก เท่านั้นยังไม่พอ ช่วงท้ายเกมนาที 90.00 พอดีเป๊ะ WBA ยังใช้ลูกโต้กลับเล่นงานได้อีก ลูกากูพลิกบอลหลบแอกเกอร์ก่อนจะหลุดเข้าไปยิงในเขตโทษ บอลลอดตัวเรน่าเข้าไปได้ 2-0 เป็นประตูตอกฝาโลง ปิดเกมไปได้อย่างเด็ดขาดด้วยสกอร์ดังกล่าว
 -----------------------------------------

               ถ้าไม่ได้ดูเกมจริง อาจจะไม่เห็นภาพ แต่ลองนึกดูว่า ก่อนได้ประตูแรก WBA ไม่ได้ยิงเลยสักครั้ง ลูกที่มูลุมบูยิงไกลให้เรน่าเซฟนั่นเป็นลูกแรก และประตู 1-0 เป็นครั้งที่สองที่ได้ยิง รวมไปถึงโอกาสทำประตูของลิเวอร์พูล ระดับประมาณ 25 ครั้ง น่าจะพอให้เห็นภาพได้ดีขึ้นครับ

               เกมวันนี้ร็อดเจอร์เองก็เน้นเต็มที่ ไม่ได้พะวงอะไรกับเกมยูโรป้ามากนักเพราะ 11 ตัวจริงก็จัดมาเต็มที่ไม่น่ามีอะไรดีกว่านี้แล้ว ดูจากแทคติคอย่างเดียว นัดนี้ร็อดเจอร์กับคล๊ากเสมอกัน ฝั่งร็อดเจอร์นั้นเตรียมตัวมาดีกับการปิดเกมรุกของ WBA จากนัดแรกที่เจอกันตายสนิทเพราะโดนโต้ มานัดนี้อัดกองกลางตัวที่ถนัดเกมรับ(แบบวิ่งไล่)อย่างเฮนเดอร์สันกับเชลวี่ย์ลงมา ช่วยกันไล่ตั้งแต่แดนหน้า ทำเอา WBA โต้ไม่ขึ้นและแดนกลางแพ้ขาด กลายเป็นเกมของลิเวอร์พูลอยู่เกือบทั้งเกม ส่วนทางฝั่งคล๊าก วางแผนตีหัวเข้าบ้านเต็มรูปแบบ เร่งเกมช่วงต้นครึ่งแรกกับต้นครึ่งหลัง ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ลงไปรับ แม้รูปเกมจะเป็นรองสุดๆ แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาตามแผนที่วางไว้ได้

               การเปลี่ยนตัวเปลี่ยนแทคติคกลางเกมก็ทำได้ดีพอๆ กัน ฝั่งร็อดเจอร์ปรับก่อนนาที 60 ตัดสินใจส่งตัวรุกอย่างบอรินี่กับสเตอริ่งลงมาเพราะเป็นจังหวะที่ต้องเสี่ยง แล้ว เกมได้เปรียบแต่ไม่ได้ประตูยังไงก็ต้องเสี่ยง แม้ส่วนตัวผมจะรู้สึกว่าปรับเยอะไป ควรจะเปลี่ยนแค่คนใดคนหนึ่งออกก็ตาม แต่ยังพอเข้าใจได้ และ 20 นาทีหลังจากเปลี่ยนตัว(รวมไปถึงการดันแผงหลังขึ้นมาเล่นเกมรุก) ลิเวอร์พูลก็เร่งเกมรุกได้ดีขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้าจริงๆ แต่ผลลัพธ์ยังเหมือนเดิม

               ส่วนทางฝั่งคล๊ากเปลี่ยนทีหลัง เอาลูกากูลงมานาที 74 ซึ่งเป็นช่วงที่แดนกลางของลิเวอร์พูลเริ่มมีพื้นที่แล้ว ณ ตอนนั้นเป็นเกมวัดใจว่าใครจะพลาดก่อนระหว่างลิเวอร์พูลที่โหมหนักกับ WBA ที่รอจังหวะ ลิเวอร์พูลได้โอกาสก่อนด้วยซ้ำจากจุดโทษแต่ทำไม่สำเร็จ (ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในนัดนี้ด้วย) เลยกลายเป็น WBA ใช้พื้นที่ว่างกลางสนามมาเล่นงานได้ จนต่อยอดไปถึงประตูในที่สุด ส่วนลูกที่สองก็ไม่มีอะไรต้องพูดถึงแล้ว

               สิ่งที่ตัดสินเกมในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องของความเด็ดขาด มันไม่ใช่ว่าลิเวอร์พูลมีโอกาสแล้วทำไม่ได้เพียงอย่างเดียว เพราะโอกาสแต่ละครั้งโดนเร่งโดนบีบตลอด ส่วน WBA ประตูที่ได้ จังหวะยิงค่อนข้างสะดวกทีเดียว ในความเห็นผม สิ่งที่ตัดสินเกมวันนี้อยู่ที่สภาพจิตใจมากกว่า ผู้เล่นลิเวอร์พูลรับมือกับสถานการณ์ลำบากได้ไม่ดีนัก ยิงเท่าไหร่ๆ ก็ไม่เข้า ความลนลาน เร่งจนเสียปรากฏให้เห็นตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งวินาทีที่พลาดลูกโทษ แต่ละคนหน้าเรื่องสองนิ้ว เล่นพลาดไปกันหมด ในขณะที่ผู้เล่น WBA ที่โดนกดดันอยู่นานนนนนนนนนน มาก รับมือกับสถานการณ์ได้ดีกว่า (แม้จะมองได้ว่ายังไม่เสียประตูเลยยังไม่กดดันมากก็เถอะ) ทั้งยังคว้าโอกาสที่โผล่เข้ามาในที่สุดได้ดีด้วย ดังนั้น...

               ลิเวอร์พูลก็คงต้องโทษตัวเองกันต่อไป
-------------------------------

นัดนี้เล่นกันได้ค่อนข้างดี

เรน่า - ทำได้ดีทั้งเกม เซฟลูกยิงไกลของมูลุมบูได้ดีมาก เตะเปิดเกมสั้นยาวค่อนข้างดี ลูกที่สองปิดมุมได้ดีแล้วแต่อ่านจังหวะบอลพลาดไปนิด

จอห์นสัน -เกมรับพอใช้ได้ บังบอล วิ่งเบียดได้ดี ปิดลูกเปิดเข้ากลางหลวมไปนิดหน่อย เกมรุกขึ้นไปช่วยตั้งแต่ต้นเกม เชื่อมเกมและถ่างแนวรับได้ดี แต่การเปิดบอลและพาบอลไปเองทำได้ไม่ดีนัก

แอกเกอร์ - เล่นได้ดีมาตลอด ขึ้นไปเล่นลูกตั้งเตะได้ลุ้นอยู่ 2-3 ครั้งด้วย แต่พอลูกากูลงมาก็บรรลัยทันที โดนพลิกหนีไปได้หลายครั้ง

คาราเกอร์ - ฟอร์มส่วนตัวทำได้ดี ลูกกลางอากาศไม่พลาด จังหวะปะกบปะทะคู่ต่อสู้ก็เหนียวแน่น ผ่านบอลได้ดีด้วย

เอนริเก้ - ชั่วโมงแรกของเกมเล่นแบบยั้งๆ ยังไงไม่รู้ ไม่ค่อยกระชากบอลไปเองเหมือนที่เคย จนกระทั่งครึ่งชั่วโมงท้ายถึงได้เล่นเกมรุกมากขึ้น เกมรับเล่นได้ดีกว่าจอห์นสันพอสมควร แต่ออกบอลพลาดมากกว่าเยอะ รวมถึงเชื่อมเกมได้ไม่ดีนัก

เฮนเดอร์สัน - วิ่งไล่บอลแดนกลางได้ดีมาก ช่วยเก็บบอลและเชื่อมเกมได้เยี่ยม เปิดบอลในเกมรุกได้น้อยไปหน่อย และทำเกมรุกกดดันคู่ต่อสู้ได้ไม่มากนัก หาจังหวะเติมขึ้นในเขตโทษได้พอสมควร แต่ไม่ค่อยถึงบอล

ลูคัส - มีปัญหากับการเคลื่อนที่พอสมควร ช่วงที่เฮนเดอร์สันกับเชลวี่ย์อยู่ในสนามยังไม่มีปัญหา แต่พอทีมต้องพึ่งลูคัสมากขึ้นในการหยุดคู่ต่อสู้ เจ้าตัวเข้าไม่ค่อยถึงบอล ชะลอเกมแทบไม่ได้

เจอราร์ด - มีบอลยาวคอยช่วยทำเกมรุกได้ดีตลอด ออกบอลได้ค่อนข้างดีและการเข้าปะทะวันนี้ทำได้เด็ดขาด แย่งบอลมาได้หลายครั้ง หรืออย่างน้อยก็หยุดคู่ต่อสู้อยู่ สอดขึ้นไปถึงหน้าเขตโทษได้พอสมควร ลูกจุดโทษยิงได้มุมดี แต่น้ำหนักน้อยไปนิดและดูจะเน้นจนโดนอ่านทางได้ง่ายไปหน่อย

เชลวี่ย์ - หายไปนานจนจับจังหวะของเกมได้ไม่ดีนัก ทำบอลพันแข้งพันขาให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่ช่วยวิ่งไล่บอลได้ดีแม้จะดูโฉ่งฉ่างไปนิด และการออกบอลเร็วไปที่ว่างก็ยังทำได้ดี พยายามหาที่ว่างรอยิงในเขตโทษพอใช้ได้ แต่ไม่ดีพอจะได้ยิง หลายครั้งขยับตัวช้าและหลายครั้งสลัดตัวประกบไม่ได้

ดาวนิ่ง - เกมรุกแม้จะไม่ถึงขั้นเผาแบ็คฝั่งตรงข้าม แต่กระชากหาพื้นที่เปิดบอลได้ดี และเปิดบอลไม่เลวด้วยได้ลุ้นพอสมควรเลย เชื่อมเกมและช่วยวิ่งไล่ได้ยอดเยี่ยม ขาดอย่างเดียวคือจังหวะสุดท้ายที่คลำหาไม่เจอ

ซัวเรส - ขาดคนทำทางที่เข้าใจกันแบบสเตอริดจ์ไปคน(ไม่น่าเชื่อว่าคนที่พึ่งมาจะเข้าใจ พี่แกได้มากกว่าคนที่อยู่ด้วยกันมาเป็นปี) ซัวเรสกลับมาฟอร์มเดิมอีกแล้ว เก็บบอลไว้กับตัวนานจนเพื่อนจับจังหวะจ่ายไม่ถูก ยิงไปไหนไม่รู้ ลูกโทษที่เรียกมาได้ก็ดูจะล้มง่ายไปหน่อย แต่ที่ไม่หายไปไหนเลยคือความพยายาม วิ่งตลอดและทำทุกอย่างเพื่อทีม

ตัวสำรอง

บอรินี่ - วิ่งทำทางไม่ดีเท่าไหร่ สลัดตัวประกบไม่หลุดเลย หาจังหวะยิงเองได้ดีครั้งนึง ยิงใช้ได้ด้วยแต่ไม่ดีพอจะเป็นประตู

สเตอริ่ง - กดดันแนวรับได้ดีกว่าเฮนเดอร์สัน แต่ก็ช่วยเกมรับได้ไม่ดีเท่าด้วยเช่นกัน ฟอร์มส่วนตัวถือว่าเล่นได้ตามแทคติค ไม่พลาดแต่ไม่เด่นนัก

คูตินโย่ :ไม่ได้ทำอะไรมากนัก ที่เห็นคือครองบอลดี ตัดสินใจเด็ดขาด ไปเป็นไป ยิงเป็นยิง ไม่เงอะงะ แต่ตัวบางงงงงง โคตร รู้อยู่ก่อนว่าตัวเล็ก แต่ไม่คิดว่าจะบางขนาดนี้ ไม่รู้จะฝ่าดง...คู่ต่อสู้ในอังกฤษได้หรือปล่าว
------------------------------------------------------------
Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 - 2 ลิเวอร์พูล (พรีเมียร์ลีค)


1 แต้่มที่ได้มา 2 แต้มที่เสียไป
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-2-3-1 (4-4-1-1 ซัวเรสเล่นตัวฟรีหลังสเตอริดจ์)

----------------------สเตอริดจ์----------------------
เฮนเดอร์สัน-----------ซัวเรส-----------------ดาวนิ่ง
-------------ลูคัส---------------เจอราร์ด------------
เอนริเก้-----แอกเกอร์----คาราเกอร์-------จอห์นสัน
-----------------------เรน่า-------------------------

                ลิเวอร์พูลเจอเกมหนักต่อเนื่องอีกหนึ่งเกม คราวนี้ต้องออกไปเยือนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ร็อดเจอร์ปรับตัวผู้เล่นและแทคติคพอสมควร โดยให้ซัวเรสเล่นอยู่หลังสเตอริดจ์ เฮนเดอร์สันหุบเข้าไปช่วยตรงกลางเยอะ ไม่ค่อยได้เล่นเกมริมเส้น แผงหลังได้แบ็คตัวจริงลงตามตำแหน่งแล้ว แถมด้วยคู่เซนเตอร์ที่ใช้คาราเกอร์แทนสเคอเทล
-------------------------------------------------------

                เปิดเกมมาก็เล่นกันระวังตัวทั้งคู่ พยายามใช้จังหวะฉาบฉวยลุ้นประตูแทนที่จะดันกันขึ้นมาช่วยรุกทั้งแผง เมื่อเสียบอลในแดนหน้าจะช่วยกันไล่เร็วไม่ให้คู่ต่อสู้ตั้งเกมรุกโต้เร็วได้ ถนัด เกมออกมาสูสี โดยเป็นซิตี้ที่ดูจะกดดันได้มากกว่านิดๆ (ทั้งๆ ที่ลิเวอร์พูลครองบอลได้มากกว่าเล็กน้อย) แต่จังหวะได้จบแทบไม่มี

                ผ่าน 10 นาทีแรกของเกมไป ลิเวอร์พูลเริ่มพลิกกลับมากดดันได้ดีกว่าและพอจะได้ลุ้นประตูอยู่บ้าง และเกมรุกของซิตี้เริ่มแผ่วลงไปให้เห็นแล้ว แต่เล่นไปเล่นมากลายเป็นซิตี้ที่ได้ประตูนำก่อนในนาที 23 จังหวะลูกทุ่มในแดนลิเวอร์พูลแล้วโดนซิตี้เล่นชิ่งหนึ่งสองหลุดไปทางริมเส้น ก่อนเปิดเข้ากลางให้เซโก้ชาร์จจ่อๆ 1-0

                เกมรุกของซิตี้ดูจะดีขึ้นมาวูบหนึ่งแต่ทำได้ไม่ต่อเนื่อง ส่วนลิเวอร์พูลก็ยังไม่เสียขวัญ เล่นกันไปตามจังหวะของตัวเองได้ ไม่นานก็ตีเสมอได้สำเร็จ นาที 29 กองหลังซิตี้สกัดบอลไม่ขาดบอลเข้าเท้าสเตอริดจ์หน้าเขตโทษยิงสวนเข้าไปได้ เป็น 1-1

                หลังจากสกอร์กลับมาเท่ากันเกมก็กลับมาเล่นกันแบบระวังตัวและสูสีเหมือนเดิม โดยคราวนี้เป็นฝั่งลิเวอร์พูลที่ำทำได้ดีกว่าเล็กน้อย กดดันได้มากกว่า ซิตี้พยายามจะไล่ตั้งแต่แดนหน้าแต่ลิเวอร์พูลยังค่อยๆ ตั้งเกมกันขึ้นมาได้ พาบอลเข้าไปใกล้เขตโทษซิตี้ได้มากกว่า แต่ยังหาจังหวะจบได้ไม่ถนัดหนักก่อนจบครึ่งแรกที่ 1-1

                เข้าครึ่งหลัง ซิตี้ลงมาเน้นเกมรุกเข้าใส่และได้ลุ้นประตูอยู่ราว 2-3 นาที แต่หลังจากนั้นกลายเป็นลิเวอร์พูลที่พลิกกลับมาทำได้ดีขึ้น ทั้งยังดีกว่าครึ่งแรกเมื่อได้โอกาสลุ้นประตูอยู่เป็นระยะรวมไปถึงปิดเกมรุก ของซิตี้ได้ค่อนข้างดี เข้านาที 56 มันชินี่ปรับเกมให้เน้นรุกมากขึ้นโดยส่งริมเส้นที่ถนัดเกมรุกอย่างโคลาลอฟลง มาแทนเซ็นเตอร์อย่างนาสตาซิด รวมทั้งดันแผงหลังยืนสูงมากขึ้น เ่ร่งจังหวะเกมและวิ่งไล่มากขึ้นด้วย

                ความพยายามของมันชินี่ได้ผลพอสมควร ซิตี้สามารถพาบอลไปใกล้เขตโทษลิเวอร์พูลได้มากขึ้นแต่ยังหาจังหวะเปิดบอล เข้าทำได้ยากและลิเวอร์พูลเองก็ไม่ได้ตั้งรับอย่างเดียว ยัีงสามารถเก็บบอลแล้วตั้งเกมรุกสวนขึ้นมาได้ตลอด จนกระทั่งผ่านนาที 70 ซิตี้ก็เน้นเกมรุกเต็มที่และกดดันให้ลิเวอร์พูลต้องหันมารับมากขึ้นแล้ว เปลียนไปใช้เกมโต้กลับแทนที่จะตั้งเกมขึ้นไปเหมือนในช่วงก่อนหน้า

                ซิตี้พยายามบุกแต่ผลสุดท้ายยังคล้ายเดิมคือหาจังหวะจบไม่ค่อยได้ เป็นลิเวอร์พูลที่แซงนำได้ก่อนในนาที 73 เอนริเก้เติมขึ้นไปถึงสุดเส้นเปิดบอลเข้ากลางติดกองหลัีง แต่บอลไปเข้าเท้าเจอราร์ดตั้งป้อมยิงไกลตั้งแต่ระยะร่วม 30 หลา บอลพุ่งเสียบหน้าต่างอย่างสวยงามชนิดที่ฮาร์ทนั้นเห็นบอลตั้งแต่จังหวะยิง แต่ยังพุ่งไปปัดไม่ถึง 2-1

                หลังได้ประตูนำ ร็อดเจอร์ส่งสเคอเทลลงมาแทนเอนริเก้ ถ่างแอกเกอร์ไปเป็นแบ็ค แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ในนาที 78 จากบอลยาวของซิตี้ที่ไม่น่าจะมีอะไร กุนวิ่งตามบอลไปโดยมีสเคอเทลวิ่งเบียดอยู่ เรน่าพุ่งออกไปจะเล่นบอล สเคอเทลชลอฝีเท้าแล้วกุนถึงบอลก่อนเรน่า พลิกยิงมุมแคบเสียบเสาเข้าไปได้อย่างงามหยด ตีเสมอได้สำเร็จแบบไม่น่าเชื่อ 2-2

               เกมกลับมาเสมอ ซิตี้เองก็พยายามจะโหมเกมรุกเต็มที่แต่ยังเจาะไม่ค่อยได้ มีจังหวะบอลหลุดเข้าเขตโทษบ้างแต่สุดท้ายก็แทบไม่ได้ยิง ส่วนลิเวอร์พูลเองก็ยังมีสมาธิกับเกมดี เก็บบอลได้พอสมควรและโต้ขึ้นไปได้ลุ้นบ้าง นาที 91 อัลเลนได้ลงมาแทนสเตอริดจ์ ก่อนจะจบเกมไปที่สกอร์ 2-2 ...แบบน่าเสียดาย
 -----------------------------------------

                เป็นเกมที่น่าชนะสุดๆ ครับ...พอๆ กับนัดแรกที่เจอกับซิตี้นั่นแหล่ะ

                เกมวันนี้เป็นโชคดีของร็อดเจอร์ด้วยที่ได้เอนริเก้กลับมา รวมไปถึงผู้เล่นในสนามก็เล่นได้ในฟอร์มที่น่าพอใจ ถ้าดูในส่วนของการวางแผนอย่างเดียวแล้ว สิ่งที่ร็อดเจอร์ปรับเปลี่ยนมีสองอย่าง อย่างแรกคือการใช้ซัวเรสเป็นตัวฟรีหลังกองหน้า (ก่อนเกมนี้ช่วงครึ่งหลังก็ปรับมาเล่นแบบนี้ให้เห็นบ้างแล้ว แต่นัดนี้ใช้ตั้งแต่เริ่ม) ไม่ใช่ริมเส้นอย่างที่ผ่านมา และการเล่นของแผงรับที่วันนี้เน้นการประกบติดและดักตัดบอลมากกว่านัดก่อนๆ ที่จะเน้นคุมโซนปิดพื้นที่เป็นหลัก

                แทคติคที่วางมานั้นได้ผลดีเอามากๆ ในเกมรับการเน้นประกบกองหน้าทำเอาคู่กองหน้าเล่นไม่ออก เซโก้ถ้าไม่นับลูกที่ยิงได้ก็แทบช่วยอะไรทีมไม่ได้เลย ส่วนกรณีกุน กว่าจะพลิกบอลหันหน้าเข้าประตูได้แต่ละครั้งก็เล่นเอาล้มกลิ้งล้มหงายไปหลาย รอบ รวมไปถึงหลายครั้งที่ถูกดันให้ไปรับบอลไกลจากกรอบเขตโทษจนลดความอันตรายลงไป ได้เยอะ ส่วนในเกมรุกการปรับเอาซัวเรสมาเล่นหน้าต่ำทำให้เปลี่ยนรับเป็นรุกได้ดีขึ้น ไม่ต้องพึ่งเจอราร์ดมากเหมือนนัดก่อนๆ

                สิ่งที่ตัดสินรูปเกม (รูปเกมนะครับไม่ใช่ผลลัพธ์) ในวันนี้คือฟอร์มการเล่นของผู้เล่นในสนาม ไล่มาตั้งแต่คู่เซนเตอร์ที่ประกบคู่กองหน้าได้โหดเอามากๆ ดักตัดและอัดร่วงได้บ่อย แบ็คสองฝั่งที่เกมไม่แย่แถมยังสามารถพาบอลผ่านบอลขึ้นหน้าได้ด้วย ไม่ต้องพึ่งกองกลางในการตั้งเกมรุกอยู่ฝ่ายเดียว ผึ้งงานอย่างเฮนเดอร์สันและดาวนิ่งที่ทีเด็ดทีขาดไม่มีให้เห็นก็จริงแต่วิ่ง ไล่ได้ตลอดเกม รวมไปถึงแนวรุก 2S ที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ไม่ฝืนพาบอลไปเสีย

                อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ำทำให้ลิเวอร์พูลได้แค่ 1 แต้ม ในเกมที่น่าชนะ ไม่ว่าจะมองจากรูปเกมหรือการขึ้นนำ 2-1 ได้สำเร็จคือปัญหาที่หายไปพักใหญ่ๆ แล้วนั่นคือความผิดพลาดส่วนบุคคล ลูกแรกแอกเกอร์เชคไลน์พลาด แถมประกบห่าง ส่วนลูกที่สองนั้นพลาดกันทั้งเรน่าและสเคอเทล จังหวะนั้นเรน่าไม่ควรออกถ้าไม่มั่นใจว่าจะถึงบอลก่อน ส่วนสเคอเทลยังไงก็ควรจะวิ่งเบียดกุนไปให้สุดทาง ไม่รู้ว่าเรน่าตะโกนสั่งว่าจะเล่นเองหรือปล่าวถึงทำให้สเคอเทลชลอฝีเท้า ถ้าสั่ง เรน่าก็ผิดเต็มๆ ที่อ่านบอลพลาดและสเคอเทลผิดครึ่งนึงที่ดันไม่วิ่งประคองไปต่อทั้งๆ ที่มีกองหน้าอยู่แถวนั้น ถ้าไม่ได้สั่ง สถานการณ์ก็กลับกันจากประโยคข้างบน แต่ที่แน่ๆ 2 เหม่งนี่ผิดทั้งคู่รับไปเต็มๆ ละครับลูกนั้น

                ถึงแม้ว่าจะน่าเสียดายสำหรับผลเสมอ แต่วันนี้มีสิ่งที่ลิเวอร์พูลทำได้ดีและน่าชื่นชมมากคือสมาธิในเกม ไม่ว่าจะในช่วงที่ตามหลัง, ตีเสมอ, ขึ้นนำแล้ว, ถูกตีเสมอ ผู้เล่นทุกคนยังสามารถเล่นเกมของตัวเองได้ดีและทำตามแทคติดได้ไม่พลาด ไม่มีการลนลานเล่นพลาดให้เห็น ไม่จิตตกจนเล่นมั่วตอนที่ทีมเสียเปรียบ ไม่ว่าจะเสียเปรียบด้วยประตูหรือการโหมเกมรุกของคู่ต่อสู้ จนทำให้สุดท้ายแล้วเกมนี้เล่นได้ดีกว่าคู่ต่อสู้ น่าชนะ โอกาสก็มีแล้วด้วยเพราะขึ้นนำได้สำเร็จ...

                ...แต่ดันได้แค่แต้มเดียว (น้ำตาจะไหล ไม่ต้องแชร์นะครับ)
-------------------------------

นัดนี้เล่นกันได้ดี

เรน่า - พลาดแบบน่าตบเหม่งมากในจังหวะเสียลูกที่ 2 แต่ทั้งเกมก็เล่นได้ดีโดยเฉพาะลูกกลางอากาศที่ถึงบอลตลอด ออกบอลสั้นได้ดี บอลยาวพอใช้ได้ โดนไล่ก็เอาตัวรอดได้

จอห์นสัน - เล่นเกมรับพอใช้ได้ มีหลุดตำแหน่งให้เห็นนิดหน่อยแต่น้อยมากแล้วสำหรับคู่ต่อสู้ระดับนี้ เอาตัวรอดจากการโดนไล่ได้ดีมากทั้งๆ ที่โดนไล่ทั้งเกมแต่เอาบอลขึ้นหน้าได้เกือบทุกครั้ง ทำได้โดดเด่นในการเชื่อมเกมจากหลังไปหน้า

แอกเกอร์ - พลาดพอสมควรกับลูกแรก ซึ่งจังหวะนั้นเพื่อนแถวริมเส้นก็ทำได้ไม่ดีด้วย ตอนที่โดนลูกที่สองแอกเกอร์ที่ยืนแบ็คอยู่ก็ไม่รู้หายไปไหน แต่ลูกนั้นก็เหลี่ยมของสเคอเทลอยู่แล้ว นอกจากจังหวะเสียประตูแล้วเกมนี้แอกเกอร์เล่นได้ดีทีเดียวโดยเฉพาะการประกบ กองหน้าที่กว่าคู่ต่อสู้จะพลิกเล่นได้แต่ละลูกเล่นเอาหืดจับ

คาราเกอร์ - กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดี มีลูกโหดติดมาด้วย เข้าบอลได้หนักหน่วงถึงใจและไม่มีลังเลในจังหวะชิงเล่นบอลก่อนถึงกองหน้า จังหวะคู่ต่อสู้พลิกหันหน้าเข้าหากรอบประตูได้ดูจะมีปัญหาเล็กน้อย แต่โดยรวมคาราเกอร์จัดการกับกองหน้าได้สุดยอดมากในนัดนี้

เอนริเก้ - คล้ายกับจอห์นสัน แต่เข้าครึ่งหลังดูจะมีปัญหาเล็กน้อยในเรื่องความฟิต ไม่แน่ใจว่าเจ็บหรือหมดแรงเพราะก่อนถูกเปลี่ยนตัวออก แสดงอาการแข้งขาอ่อนและขยับตัวช้าให้เห็นอยู่บ้าง

เฮนเดอร์สัน - ช่วยวิ่งไล่บอลในแดนกลางได้ดีมาก เก็บบอลจังหวะสองในเกมรับใช้ได้ เกมรุกหาจังหวะเติมขึ้นไปใช้ได้แม้จะน้อยไปหน่อย ไม่ได้ออกบอลในเกมรุกเท่าไหร่แต่ก็ผ่านให้เพื่อนข้างๆ ได้แม่นดี

ลูคัส - อ่านทางบอลได้ดี สามารถเข้าถึงบอลได้เร็วและตามไปนัวเนียๆ คู่ต่อสู้ครองบอลอยู่ได้น่าพอใจ ปัญหาคือสกัดแย่งเอาบอลกลับมาได้น้อย ความเด็ดขาดประเภทดอกเดียวอยู่เหมือนตอนก่อนเจ็บยังไม่กลับมา

เจอราร์ด - เล่นเกมรับเต็มที่อีกนัดหนึ่ง (และดูท่าจะอีกหลายนัด) เข้าสกัดได้หนักหน่วงและค่อนข้างแม่น อ่านทางบอลได้ดี หาโอกาสดันขึ้นไปช่วยเกมรุกได้บ้าง ที่สำคัญคือยิงไกลได้สุดยอด แบบที่ไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ในช่วงหลังๆ

ซัวเรส - เปลี่ยนมาเล่นเกมรุกอย่างเดียว ไม่เหมือนนัดก่อนๆ ที่ต้องเล่นเกมรับเยอะกว่านี้ เปลี่ยนรับเป็นรุกและเก็บบอลได้ดี ไม่มีฝืนเล่นยากหรือเสียบอลง่ายๆ ให้เห็น ทำเกมรุกไม่ว่าจะผ่านบอลหรือเลี้ยงไปเองได้ดีมาก

ดาวนิ่ง - เกมรุกเล่นได้ไม่เด็ดขาด สลัดตัวประกบไม่หลุด และทำเกมด้วยตัวเองได้ไม่ดีนัก แต่การเชื่อมเกมและเล่นเกมรับทำได้ดีมาก

สเตอริดจ์ - แม้จะทำเกมรุกด้วยตัวเองไม่ได้มากนัก แต่เก็บบอลได้ดีขึ้นกว่านัดก่อนๆ หาช่องและวิ่งทำทางได้ดี หาจังหวะยิงและยิงได้ดีด้วยเมื่อทำได้ 1 ประตูและทำให้ฮาร์ทต้องพุ่งไปเซฟแบบสุดตัวได้อีกครั้ง

ตัวสำรอง

สเคอเทล - นอกจากจังหวะโดนตีเสมอที่น่าหัวโขกกับเรน่าให้มันรู้แล้วรู้รอด สเคอเทลก็ทำได้ค่อนข้างน่าพอใจ แม้จะประกบคู่ต่อสู้ได้ไม่ดีเท่าแอกเกอร์ในช่วงก่อนหน้า แต่อ่านทางบอลและตัดบอลจ่ายเข้าเขตโทษใช้ได้

อัลเลน - ลงมาช่วยเก็บบอลได้

แมน ออฟ เดอะ แมตช์ : ...เจมี่ คาราเกอร์... อันที่จริงก็เล่นดีหลายคน คาดว่านัดนี้เสียงแตกในเรื่อง MOM แน่ แต่สำหรับผม การประกบกองหน้าระดับกุนกับเซโก้ให้ง่อยได้ขนาดนั้น รวมไปถึงสกัดลูกเปิดเข้าเขตโทษได้ตลอดเกม ไม่ใช่งานที่ใครก็ทำได้ครับ
------------------------------------------------------------

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.