วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

วูล์ฟแฮมตัน 0 - 3 ลิเวอร์พูล





...ชนะทีมหนีตกชั้นได้แล้วเ้ว้ยเฮ้ยยย...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-5-1

------------------------คาโรล-----------------------

เบลามี่----อดัม----สเปียริ่ง---เฮนเดอร์สัน---เค้าท์

เอนริเก้-----แอกเกอร์-----สเคอเทล-----จอห์นสัน

-------------------------เรน่า------------------------

               ลิเวอร์พูลมีเกมลงเตะถี่ยิบ ได้พักจาก FA แค่ 3 วัน แต่วันนี้ต้องออกไปเยือนวูล์ฟในเกมพรีเมียร์ลีค ดัลกลิชปรับนักเตะค่อนข้างมาก เบลามี่กับเค้าท์ได้ลงเล่นริมเส้นซ้าย-ขวา ส่วนอดัม,สเปียริ่งและจอห์นสันได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง เจอราดกับดาวนิ่งได้พัก ส่วนแผงหลังและหน้าเป้ายังใช้นักเตะชุดเดิม
-------------------------------------------------------

               เริ่มเกมมาลิเวอร์พูลก็พยายามบุกใส่ทันที ส่วนวูล์ฟก็เข้าไล่บอลเร็วตามสไตล์บอลรอง แต่ที่มาแปลกคือพยายามเปิดเกมรุกและสวนเร็วทุกครั้งที่มีโอกาส เกมค่อนข้างสูสีและยังหาโอกาสเจาะเข้าไปลุ้นทำประตูกันไม่ค่อยได้ ลิเวอร์พูลดูมีปัญหาเล็กน้อยกับการหยุดเกมรุกของวูล์ฟที่กลางสนาม รวมไปถึงการประกบและรับมือกับนักเตะวูล์ฟที่เติมกันขึ้นมาจากแถวสองแต่ก็ยังพอเอาตัวรอดกันไปได้

               ผ่านครึ่งชั่วโมงของเกมไป ลิเวอร์พูลเริ่มหันมาไล่สูงมากขึ้น สามารถตัดเกมรุกของวูล์ฟได้ตั้งแต่กลางสนาม กดดันแนวรับของวูล์ฟได้มากขึ้น แต่ก็ยังหาช่องเจาะได้ลำบาก จังหวะเข้าทำ ทำกันค่อนข้างช้าและถูกบีบให้ต้องครอสจากริมเส้นเป็นส่วนใหญ่และยังหาโอกาสจะแจ้งไม่ค่อยได้ ก่อนจะจบครึ่งแรกที่สกอร์ 0-0

               เข้าครึ่งหลัง วูล์ฟทำเซอร์ไพรส์อีกครั้งด้วยการดันแผงหลังขึ้นสูงเกือบกลางสนาม เข้าใจว่าเพื่อบีบลดพื้นที่ในแดนกลางและพยายามเปิดเกมรุกให้มากขึ้่น แต่มันกลับทำให้เกมของวูล์ฟแย่ลงกว่าในครึ่งแรกเพราะลิเวอร์พูลมีพื้นที่ให้วางบอลเยอะขึ้น และในนาที 52 จากจังหวะที่ลิเวอร์พูลโต้เร็ว ได้ทุ่มในแดนวูลฟ์แล้วนักเตะวูลฟ์ยังลงกันมาไม่ทัน อดัมไปรับบอลทุ่มแล้วครอสไปเสาสอง เป็นคาโรลที่วิ่งเข้ามาชาร์จได้สำเร็จ 1-0

               หลังจากเสียประตู วูล์ฟก็ยิ่งเร่งจะเปิดเกมรุกให้มากขึ้น ลิเวอร์พูลแม้จะดูผ่อนเกมลงเล็กน้อย เข้าไล่บอลกันช้าแต่ก็สามารถปิดเกมรุกของวูล์ฟได้อย่างไม่ยากลำบากอะไร ทั้งยังมาได้ประตูนำห่างในนาที 61 จากจังหวะโต้กลับเช่นเดิม เบลามี่ได้บอลจากพื้นที่กลางสนามก่อนจะพาบอลมาเรื่อยๆ โดยนักเตะวูล์ฟวิ่งถอยหลังไม่มีใครเข้าบอล เบลามี่เลยยิงจากนอกเขตโทษเสียบเสาสองเข้าไปเป็น 2-0

               แมคคาธี่เปลี่ยนตัวทันทีหลังจากเสียประตูแต่เกมก็ไม่ได้ดูสักเท่าไหร่ นักเตะวูล์ฟยิ่งเร่งยิ่งเสีย เกมรุกไม่ปะติดปะต่อ ทั้งยังเปิดพื้นที่ด้านหลังและริมเส้นไว้โล่งโจ้ง กลายเป็นลิเวอร์พูลที่เล่นจังหวะโต้กลับกันสบาย และก็มาได้ประตูอีกครั้งจากจังหวะโต้กลับในนาที 78 ที่เรน่าชกบอลออกมาเอนริเก้แตะหลบฟริมปงก่อนที่จะวางยาวข้ามมาทางขวาให้เค้าท์เปิดต่อให้อดัมแล้วมาจบที่เค้าท์ยิงมุมแคบเข้าไปได้ 3-0

               นาที 81 คาราเกอร์กับเชลวี่ได้ลงมาแทนอดัมและแอกเกอร์ ลิเวอร์พูลเริ่มหันมาครองบอลมากขึ้นเพื่อปิดเกม วูล์ฟพยายามเร่งอีกครั้งในช่วง 5 นาทีสุดท้ายแต่ก็กดดันอะไรไม่ได้มากนัก นาที 90 ออเรลิโอได้ลงมาแทนเค้าท์อีกคน ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะปิดเกมไปสบายๆ เอาชนะไปได้ 3-0
------------------------------------------

               ดัลกลิชปรับนักเตะหลายตำแหน่งที่ต้องลงเตะหลายนัดในช่วงเวลาไม่กี่วัน แต่ถึงอย่างนั้นในช่วงครึ่งหลังก็ยังเห็นว่าหลายคนออกอาการหมดแรงให้เห็น แทคติควันนี้โดยรวมก็ยังเหมือนนัดที่ผ่านๆ มา ที่แปลกออกไปหน่อยและใช้เป็นอาวุธหลักในการเปิดเกมรุกในจังหวะที่ทำเกมกันขึ้นไปเอง(ไม่ใช่จังหวะโต้กลับ) คือขึ้นบอลทางขวาโดยให้จอห์นสันเติมขึ้นไป สลับกับเฮนเดอร์สันที่ออกมาเล่นริมเส้น แล้วให้เค้าท์ดันขึ้นไปเป็นกองหน้าตัวที่สอง ทำกันได้ดีระดับนึงสามารถกดดันแนวรับวูล์ฟได้อยู่ตลอด

               สิ่งที่ตัดสินเกมในนัดนี้ ...แมคคาธี่....ก็ไม่รู้ว่าพี่แกคิดอะไรอยู่ ในช่วงครึ่งแรกแม้เกมของวูล์ฟจะดูเป็นรองลิเวอร์พูลอยู่แต่ก็ไม่มาก เกมรุกพอจะหาโอกาสจบได้บ้างนิดหน่อยและเกมรับยังไม่ถึงกับเสียขบวน ถ้ายื้อเล่นแบบนั้นต่อไป วูล์ฟอาจจะได้ลุ้นสามแต้มเต็มน้อยลงแต่ลิเวอร์พูลก็คงเจาะกันเข้าไปได้ยากเหมือนกัน แต่สิ่งทีแมคคาธี่ทำในครึ่งหลังคือดันแผงหลังวูล์ฟขึ้นสูงหวังครองเกมกลางสนามและเปิดเกมรุกเต็มที่ ทั้งๆ ที่ลิเวอร์พูลมีนักเตะที่มีความเร็วอย่างเบลามี่อยู่ในสนาม, มีเค้าท์ที่พร้อมจะวิ่งไม่ว่าบอลมันจะอยู่ไกลแค่ไหนหรือว่าเพื่อนจะเปิดให้หรือปล่าว รวมไปถึงนักเตะที่วางบอลยาวได้ดีอย่างอดัม, เอนริเก้(รวมเฮนเดอร์สันด้วยก็ได้) แล้วมันจะเหลือหรือ? บทสรุปคือลิเวอร์พูลได้ประตูจากจังหวะโต้กลับ-ทำเร็ว ทั้ง3 ประตู

               นอกจากแทคติคของแมคคาธี่แล้ว ฟอร์มของนักเตะสองฝั่งก็มีส่วนไม่น้อย คาโรลกับอดัมเล่นได้ดีกว่าที่ผ่านมา ถ้าทั้งคู่เล่นได้เหมือนเดิมอย่างที่เคยเห็นลิเวอร์พูลคงลำบากกว่านี้มากนัก ส่วนฝั่งวูล์ฟเองกลางรับอย่างพริมปงเล่นฟอร์มหลุดอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนเดียวกับที่เล่นงานกองกลางลิเวอร์พูลซะเกือบตายในช่วงต้นซีซั่นที่ลงสนามให้อาร์เซนอล รวมไปถึงโกลอย่างเทนเนสซี่ที่ครึ่งแรกยังเล่นดี แต่ครึ่งหลังยืนตำแหน่งได้ไม่ดีเอามากๆ ลูกที่สองและสามเขาควรจะเซฟได้

               อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลเองก็ทำได้ดีเมื่อคู่ต่อสู้เปิดช่องให้ เมื่อมีจังหวะโต้ก็ทำกันได้ดีพอ และเมื่อมีจังหวะจบสกอร์เน้นๆ ที่ไม่ควรพลาด(แต่นัดก่อนๆ พลาด) นัดนี้ก็ทำกันได้

               ...เลย 3-0 แบบไม่มีทั้งเจอราดและซัวเรส...
----------------------------------

นัดนี้เล่นกันได้ดีกว่ามาตรฐานเล็กน้อย (คู่ต่อสู้พลาดให้ซะเยอะ)

เรน่า - เป็นคลีนชีตที่ได้มาง่ายอีกนัดหนึ่ง แม้ว่าวูล์ฟมีจังหวะเกือบได้ประตูอยู่ 2-3 ครั้งแต่ก็ทำได้แค่ยิงตรงตัวกับยิงชนคาน วันนี้ออกบอลเร็วในจังหวะโต้กลับได้ดีหลายครั้ง

เอนริเก้ - ช่วง 1 ชั่วโมงแรกของเกม หันกลับมาเล่นง่ายๆ ไม่ค่อยฝืนอีกครั้งและทำผลงานได้ดีมากไม่ว่าจะเกมรับหรือการขึ้นเชื่อมเกมกลางสนาม แต่หลังจากสกอร์ห่าง 2-0 ก็กลับมาโชว์เหนืออีกครั้งเช่นกัน แต่วันนี้กลับกลายเป็นดีโดยกลายเป็นที่มาของประตูที่สาม

แอกเกอร์ - ครึ่งแรกอ่านเกมผิดพลาดให้เห็นบ้าง ยืนผิดตำแหน่งก็บ่อยอยู่ แต่พอเข้าครึ่งหลังก็เล่นได้ดีขึ้น เกือบทำประตูจากลูกเตะมุมได้ถึงสองครั้ง เสียดายที่พลาดไปหมด

สเคอเทล - เช่นกันกับแอกเกอร์ ครึ่งแรกมีจังหวะเข้าพรวดจนทีมเกือบเจ๊ง 2-3 หน แต่เข้าครึ่งหลังก็กลับมาเล่นได้แข็งแกร่งเหมือนเดิม

จอห์นสัน - ด้วยแทคติคที่ทำให้ต้องเติมเกมสูงและต้องพะวงกับเกมรุก ทำให้วันนี้จอห์นสันในเกมรับหลุดตำแหน่งและลงไม่ทันหลายครั้ง รวมไปถึงการสกัดบอลที่ผิดเหลี่ยมและไร้ทิศทางเป็นระยะๆ แต่หน้าที่ในเกมรุกทำได้ดีมากทีเดียว ไม่ว่าจะพาบอลไปเองหรือทำชิ่งกับเพื่อน ทำให้เกมรุกฝั่งขวาทำได้ต่อเนื่อง

เบลามี่ - ใช้่ความเร็วเล่นในจังหวะโต้กลับได้ดีและครองบอลได้ดี พาบอลไปเองแล้วไม่ค่อยเสียบอล ที่ทำได้ดีมากในวันนี้คือการเอาชนะกับดักล้ำหน้าซึ่งแทบไม่พลาด ยังเคลื่อนไหวได้ดีพอใช้แม้จะมียุบๆ ไปบ้างในช่วงกลางครึ่งหลัง

เฮนเดอร์สัน - เล่นได้ดุดันขึ้นเล็กน้อย หาจังหวะทำเกมรุกได้ดีขึ้นบ้าง ออกบอลเร็วและกระจายบอลได้ดี ที่ดูดรอปลงไปคือการครอสบอลที่ทำได้ไม่ดีนัก ส่วนเกมรับปิดพื้นที่ได้เข้าขั้นแย่ ไม่ค่อยเข้าไปเร่งนักเตะวูล์ฟและเข้าสกัดน้อยไปหน่อย

สเปียริ่ง - เล่นในบทบาทของคาราเกอร์ในนัดก่อนและทำไ้ด้ดีกว่า...มาก เข้าสกัดได้ดีในจังหวะที่เป้าหมายพาบอลมาให้เห็นๆ แต่อ่านเกมไม่ดีและเข้าไม่ค่อยถึงบอลในจังหวะที่นักเตะวูล์ฟมีทางเลือกให้เล่นมากกว่าการพาบอลไปเอง ที่น่าแปลกใจคือเชื่อมเกมได้ดีและมีมิติการให้บอลในเกมรุกดีกว่าเฮนเดอร์สันเสียอีก

อดัม - แม้วันนี้จะสร้างเกมรุกได้ไม่มากนักในแง่ปริมาณ แต่ดีตรงที่มีคุณภาพในหลายจังหวะ ทำได้สองแอสซิส, หาโอกาสยิงไกลได้ครั้งสองครั้งและมีโอกาสสอดขึ้นไปยิงในเขตโทษถึง 2-3 ครั้ง(อดัมนะครับไม่ใช่เจอราด 2-3 ครั้งนี่ต้องใช้คำว่า "ถึง" แล้ว) ที่ประทับใจที่สุดในนัดนี้คือการทำฟาลว์จนโดนใบเหลืองในนาที 13 จังหวะที่ยาวิสเกือบได้หลุดเดี่ยว ถ้าไม่ตัดสินใจเร็วแบบนั้น ยาวิสหลุดแน่แล้ววูล์ฟอาจได้ขึ้นนำก่อน

เค้าท์ - การวิ่งทำทางแบบบ้าคลั่งคือสิ่งที่เค้าท์ทำได้ดีในวันนี้ ทุกครั้งที่ีข้างหน้ามีพื้นที่ เค้าท์จะวิ่งไปก่อนเลยไม่ว่าเพื่อนจะเปิดให้หรือไม่เปิด และมันทำให้การขึ้นเกมของลิเวอร์พูลทำได้ง่ายขึ้น แต่ที่หายไปในวันนี้คือการวิ่งไล่บอลที่ทำได้น้อยลงมาก

คาโรล - มีความมั่นใจมากขึ้น ผลงานก็ดูดีขึ้น ทำได้ดีในการจบสกอร์แรกให้ทีม โหม่งชงให้เพื่อนและให้บอลได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ที่ยังดูไม่ดีคือเรื่องความละเอียด หลายครั้งที่เล่นยากและตะบี้ตะบันชิ่งแบบไม่ได้ดูเพื่อนเลยว่าพร้อมเล่นมั้ย รวมไปถึงการควบคุมอารมณ์ที่ดูจะหงุดหงิดนู่นนี่อยู่ตลอดเกม แต่โดยรวมแล้วเกมนี้คาโรลทำได้ดี

ตัวสำรอง

คาราเกอร์ - ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากโหม่งสกัดบอลง่ายๆ

เชลวี่ย์ - ลงมาในช่วงที่ทีมผ่อนเกมและเน้นครองบอลแล้ว ไม่มีโอกาสได้โชว์อะไร

ออเรลิโอ - สงสัยจะอกหักจากพยาบาลแล้ว

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : ชาลี อดัม...สองแอสซิสเชียวนะ โดยเฉพาะลูกแรกวางบอลได้สวยงามสุดๆ รวมกับใบเหลืองที่ได้มาแบบคุ้มค่ามากใบนัด ตำแหน่งนี้ไม่น่ายกให้คนอื่นแล้ว

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

ลิเวอร์พูล 2 - 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด



...รอบหน้าขอเจอทีมใหญ่อีกแล้วกันนะ...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-5-1 (4-1-4-1 คาราเกอร์ยืนต่ำมาก)

------------------------คาโรล-----------------------

มักซี่--เฮนเดอร์สัน--คาราเกอร์--เจอราด--ดาวนิ่ง

เอนริเก้------แอกเกอร์------สเคอเทล------เคลลี่

-------------------------เรน่า------------------------

               หลังจากพึ่งหวดกับซิตี้ไปไม่กี่วัน นัดนี้ลิเวอร์พูลต้องลงสนามในเกมเอฟเอ คัพรอบ 4 เจอกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีคาโรลลงเป็นหน้าเป้าอีกครั้ง ส่วนในแดนกลางมักซี่ได้โอกาสก่อนเค้าท์ และคาราเกอร์ได้กลับมาเล่นกลางรับอีกครั้ง ในแผงหลังเคลลี่ได้ลงแทนจอห์นสัน สำหรับทางฝั่งแมนฯยู สภาพทีมไม่ค่อยพร้อมนัก นักเตะเจ็บกันระนาว ข้างหน้าวางเวลเบคไว้คนเดียว และมีวาเลนเซียทางฝั่งขวาเป็นตัวทำเกมรุกหลัก ตรงกลางใช้มิดฟิลด์อายุรวมกันเกินร้อยอย่างกิ๊กส์, สโคล และคาริค
-------------------------------------------------------

               เริ่มเกมเป็นแมนฯ ยูที่ครองบอลบุกเข้าใส่ ต่อบอลกันได้แม่นยำกว่าและเก็บบอลจังหวะสองได้ดีกว่าเล็กน้อย ส่วนทางฝั่งลิเวอร์พูลเน้นปิดพื้นที่ ไล่บอลค่อนข้างน้อยและจังหวะขึ้นบอลเร่งทำเร็วจนพลาดบ่อยครั้ง เกมโดยรวมค่อนข้างเร็วแต่ทั้งสองฝ่ายยังเล่นเกมรับได้ดี หาโอกาสกันได้ไม่มากนัก

               จนกระทั่งนาที 21 จากจังหวะเตะมุม คาโรลไปยืนขวางเด เคอาจนขึ้นหาบอลไม่ไ่ด้ โดนแอกเกอร์โหม่งจากบริเวณเส้น 6 หลาสวนเข้าไปให้ลิเวอร์พูลนำ 1-0

               หลังจากเสียประตู ลิเวอร์พูลยังเร่งต่อและทำได้ดีอยู่ราว 5 นาที จากนั้นเป็นแมนฯ ยูที่ค่อยๆ รวบรวมสมาธิตั้งเกมของตัวเองกลับมาได้ แม้จะขึ้นบอลกลางสนามกันค่อนข้างช้าแต่ก็แม่นยำจนลิเวอร์พูลแย่งตัดบอลได้น้อย แมนฯ ยูเ้น้นบุกทางขวาให้วาเลนเซียเจาะเอนริเก้ได้ผลดีระดับหนึ่ง

               เข้าสิบนาทีสุดท้ายของครึ่งแรก ลิเวอร์พูลถอยลงไปรับมากขึ้นแทบไม่ดันเกมกันขึ้นมา เปิดโอกาสให้แมนฯ ยูได้บุกใส่ต่อเนื่อง และในนาที 39 จากจังหวะพลาดของเอนริเก้ที่เบียดราฟาเอลไม่อยู่ ราฟาเอลพาบอลไปเปิดที่สุดเส้นได้ แล้วเป็นพาร์คที่วิ่งเติมเข้ามาชาร์จเข้าเสาแรกได้สำเร็จ 1-1 ก่อนจะจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ดังกล่าว

               เข้าครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลลงมาเปิดเกมรุกมากขึ้น แผงกลางที่ถอยลงต่ำในช่วงปลายครึ่งแรกดันกันขึ้นมาแถวกลางสนาม เกมเปิดแลกกันมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นแมนฯ ยู ที่ครองบอลได้มากกว่า นาที 63 ดัลกลิชเปลี่ยนเอาคาราเกอร์กับมักซี่ออก ส่งเค้าท์กับอดัมลงมาแทน โดยให้เค้าท์ยืนทางขวาแล้วโยกดาวนิ่งไปยืนทางซ้าย ทำให้เกมรุกลิเวอร์พูลทำได้เร็วและดุดันขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่ถึงกับกดดันแนวรับแมนฯ ยูได้มากนัก

               นาที 72 เบลามี่ได้ลงมาแทนเจอราด และดูเหมือนลิเวอร์พูลต้องปรับจังหวะการเล่นกันอยู่พักใหญ่ เกมรุกดูจะสะดุดไป ส่วนแมนฯ ยูเล่นกันไปตามจังหวะ ถ้ามีช่องก็จะทำเร็ว ถ้าไม่มีก็จะเคาะหาช่องกันอยู่กลางสนาม ทำให้เกมโดยรวมช้าลง จนกระทั่งเข้า 10 นาทีสุดท้าย ลิเวอร์พูลพยายามเร่งโหมเกมอีกรอบหนึ่ง ประกอบกับแมนฯ ยู ถอยกันลงไปรับมากขึ้น ทำให้ลิเวอร์พูลได้ครองบอลมากแต่ยังเจาะแผงหลังแมนฯ ยูได้ลำบาก ส่วนทางแมนฯ ยูที่รับแล้วโต้ก็ได้ลุ้นบ้างจากการสวนกลับเร็วในบางจังหวะ แต่ก็ยังทำไม่ได้เช่นกัน

               เกมทำท่าจะจบลงที่ผลเสมอ แต่แล้วนาที 88 เรน่าวางบอลยาวมาให้คาโรลโหม่งชง บอลไปเข้าทางเค้าท์ได้บอลหลุดเข้าไปในเขตโทษ ก่อนจะยิงผ่านเด เคอาเข้าไปได้ให้ทีมนำอีกครั้ง 2-1 ก่อนจะปิดเกมเอาชนะไปได้ ผ่านเข้ารอบต่อไปได้สำเร็จ
------------------------------------------

               ดัลกลิชปรับผู้เล่นเล็กน้อยจากนัดก่อน แต่ส่งผลต่อรูปเกมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาราเกอร์กับตำแหน่งกลางรับ เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ลิเวอร์พูลทำเกมรุกได้ไม่ต่อเนื่อง ทั้งยังตั้งรับได้ไม่ดีมากนัก หากดูจากคุณภาพเกมรุกของแมนฯ ยู ในวันนี้ คาราเกอร์นั้นถอยลงไปต่ำมากเกินไป หลายจังหวะลงไปยืนอยู่ในไลน์เดียวกับคู่เซนเตอร์ด้วยซ้ำ รวมไปถึงช่วยเชื่อมเกมจากหลังไปกลาง หรือกลางไปหน้าไม่ได้โดยสิ้นเชิง ทำให้ตรงกลางเหลือเพียงเจอราดกับเฮนเดอร์สันที่ต้องทำทุกอย่างทั้งรุกทั้งรับทั้งไล่บอล จนกระทั่งครองเกมไ้ว้ไม่อยู่ บอลส่วนใหญ่เป็นของแมนฯ ยู ซึ่งหลังจากอดัมลงมาแทนการเคลื่อนเกมของลิเวอร์พูลดูต่อเนื่องมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้สเปียริ่งอาจจะยังไม่ค่อยฟิต แต่ก็ภาวนาขออย่าให้ดัลกลิชส่งคาราเกอร์ลงมาเล่นตำแหน่งนี้อีกเลยจะเป็นการดีที่สุด

               สิ่งสำคัญที่ตัดสินผลในวันนี้อยู่ที่ทางฝั่งแมนฯ ยูเอง ด้วยตัวผู้เล่นที่ไม่พร้อม รวมไปถึงฟอร์มที่ต่ำกว่ามาตรฐานของเด เคอาและเอฟร่าทำให้พวกเขาแม้จะครองเกมไว้ได้ แต่ไม่มีทีเด็ดมาน็อคคู่ต่อสู้เหมือนอย่างที่เคยทำ กรณีของเด เคอานี่ดูเหวอ หลอน ผวา อย่างเห็นได้ชัด ขนาดโดนกดดันไม่ได้ต่อเนื่องสักเท่าไหร่แต่ก็ยังอุตส่าห์พลาดนิดพลาดหน่อยอยู่ตลอด ส่วนเอฟร่า แม้เกมรับจะยังมีคุณภาพอยู่ แต่เกมรุกที่เคยเติมขึ้นมาได้ดี รวมไปถึงการจ่ายบอล ครอสบอลที่เคยดีกว่านี้ วันนี้ก็โดนโห่จนฟอร์มแผ่วลงไปเหมือนกัน ซึ่งวันที่ขาดตัวรุกจัดจ้าน การเติมเกมของเอฟร่าสำคัญมากสำหรับแมนฯ ยู นอกจากนั้น การไม่มีทั้งรูนี่ย์และนานี่ทำให้เกมรุกของแมนฯ ยูมีทางเลือกน้อยเหลือเกิน คนเดียวที่ทำเกมรุกได้โดดเด่นคือวาเลนเซีย ทำให้แนวรับของลิเวอร์พูลจัดการได้ง่ายขึ้นเพราะไม่ต้องพะวงเกมทางซ้ายและตรงกลางที่แทบไม่มีใครเลี้ยงบอลฝ่า, ชิ่งและยิงไกลได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไหร่

               อย่างไรก็ตาม ต้องชมลิเวอร์พูลด้วยว่าวันนี้ใช้โอกาสไม่เปลืองเท่าไหร่ ทั้งแอกเกอร์ที่โหม่งได้ดีในจังหวะที่แ่ผงหลังแมนฯ ยูพลาดให้ที่ไม่ช่วยบล็อคให้เด เคอาเล่นง่ายกว่านี้(และตัวเด เคอาเองด้วย) และจังหวะที่เค้าท์เองก็บรรจงยิงไม่หลุดกรอบได้สำเร็จ

               ...ก็เลยผ่านแมนฯ ยู ไปได้อย่างฉิวเฉียด
----------------------------------

นัดนี้เล่นกันดีบ้าง ไม่ดีบ้าง

เรน่า - เป็นเกมแดงเดือดที่ไม่มีอะไรให้เซฟมากนัก วันนี้ออกบอลเร็ว รวมไปถึงออกบอลยาวได้ดีหลายครั้งตั้งแต่ต้นเกม โดยเฉพาะจังหวะที่ทีมได้ประตูชัยก็ต้องให้เครดิตเขาด้วย

เอนริเก้ - ยังเป็นวันที่ฟอร์มแผ่วลงไปอีกนัดหนึ่ง ความมั่นใจในตัวเองและเสียดายบอลมากเกินไปทำให้ทีมเสียประตูง่ายไปหน่อย รวมไปถึงมีปัญหากับการดวล 1-1 กับวาเลนเซียค่อนข้างมาก แต่โดยรวมยังอยู่ในระดับพอใช้ค่อนไปทางดีและไว้ใจได้อยู่

แอกเกอร์ - ยืนตำแหน่งพลาดให้เห็นบ้างเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ก็ยังดักบอลจ่ายทะลุและบอลยาวได้ดีอยู่ รวมไปถึงโหม่งทำประตูได้ดี

สเคอเทล -ประกบเวลเบคได้ดี เล่นได้แข็งแกร่ง ลูกกลางอากาศทำได้เด็ดขาด ลูกที่เสียไปไม่ใช่ความผิดของสเคอเทลเลย เพราะเจ้าตัวกำลังประกบเวลเบคอยู่ พอผละมาเพื่อจะบังทางก็เลยช้าไป ตรงนั้นควรเป็นกองกลางที่ตามลงมามากกว่า

เคลลี่ - แม้จะเติมเกมน้อยเอามากๆ แต่เกมรับทำได้สุดยอด เก็บกิ๊กส์จนเงียบสนิท รวมไปถึงเอฟร่าที่เติมขึ้นมาด้วย

มักซี่ - ช่วยอะไรทีมได้ไม่มากนักนอกจากวิ่งไล่บอล ซึ่ีงก็เข้าไม่ค่อยถึงบอลเ่ท่าไหร่ ทำเกมไม่ได้ประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมก็ไม่ค่อยได้

เฮนเดอร์สัน - มีจังหวะการเล่นเกมรุกที่ดูดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาเล็กน้อย แต่มันยังน้อยเกินไป หลายครั้งที่ควรจะทำด้วยตัวเองบ้างแต่กลับแปะบอลไปให้เจอราดไปเล่นเอาเองบ่อยเหลือเกิน ส่วนในเกมรับ ไม่ค่อยเข้าบอล หนักไปทางวิ่งถอยหลัง, วิ่งประคองจนกองกลางวัยแซยิดของแมนฯ ยูเล่นกันได้สบายเกินไป

คาราเกอร์ - คาดว่าเล่นเซนเตอร์จนลืมวิธีเล่นมิดฟิลด์ไปเรียบร้อย จะถอยมาอยู่ในเขตโทษอย่างเดียว ในฐานะกองกลางช่วยอะไรทีมแทบไม่ได้เลย บางจังหวะมีเวลเบคอยู่คนเดียวในเขตโทษ โดนสเคอเทลกับแอกเกอร์แซนวิชอยู่แล้ว พวกก็ดันจะวิ่งลงไปจอยด้วยอีกคน แทนที่จะวิ่งเข้าไปหาบอล หรือไม่ก็ดักเก็บบอลจังหวะสอง

เจอราด - ช่วงที่อยู่ในสนาม เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวในการทำเกมรุก การวางบอลยาววันนี้ดีบ้างเสียบ้าง แต่ก็ทำให้เกมรุกมันพอจะไปได้ ทำงานหนักกว่าที่ควรจะเป็น ต้องคอยคุมพื้นที่กลางสนามเป็นส่วนใหญ่และไม่เติมเกมสูงมากนัก

ดาวนิ่ง -ช่วงครึ่งแรกค่อนข้างเงียบ ส่วนหนึ่งเพราะต้องไปคนเดียวอยู่ตลอด (เคลลี่ไม่ค่อยขึ้น คาโรลก็อยู่ห่าง) แต่ครึ่งหลังหลังจากโยกกลับไปซ้ายแล้วมีเอนริเก้บ้าง เบลามี่บ้างเข้่ามาช่วย ก็ทำได้ดีขึ้น ดูแล้วแม้เจ้าตัวจะเล่นทางขวาได้ไม่เลว แต่การยืนทางซ้ายน่าจะเป็นประโยชน์กับทีมมากกว่า

คาโรล - ฟอร์มกระเตื้องขึ้นมานิดนึง ยังเก็บบอลไม่ค่อยจะได้เหมือนเดิมและยังหาตำแหน่งในเขตโทษไม่ดีนัก แต่วันนี้สร้างประโยชน์ให้กับทีมได้บ้างแล้ว การโหม่งชงให้เพื่อนเริ่มมีทิศทางมากขึ้น และทั้งสองประตูของทีมในวันนี้คาโรลก็มีส่วนร่วมด้วยทั้งสองลูก

ตัวสำรอง

เค้าท์ - หลังจากเป็นเค้าท์ คลีนชีตมาไม่รู้กี่นัดเข้าไปแล้ว วันนี้ยิงเข้ากรอบแถมเป็นประตูด้วย แม้โดยรวมจะไม่ได้ทำประโยชน์อะไรมากนักแต่ก็นับว่าทำได้ดีกว่าและมีส่วนร่วมกับเกมมากกว่ามักซี่ที่โดนเปลี่ยนตัวออกไป

อดัม - ไม่ค่อยจะมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเช่นกัน แต่อย่างน้อยก็เชื่อมเกมแล้วทำให้บอลมันไปข้างหน้าได้ดีกว่าคาราเกอร์เยอะมากแล้ว บางจังหวะก็เบรกเกมเร็วของแมนฯ ยูที่จะโต้ขึ้นมาได้บ้างนิดหน่อย

เบลามี่ - ลงมาเล่นกับดาวนิ่งและเอนริเก้ได้ดีระดับนึง ทำให้เกมทางซ้ายที่ดับสนิทก่อนหน้านั้นกดดันแมนฯ ยูได้บ้าง แต่ก็ยังหาโอกาสทำอะไรไม่ได้

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : เดิร์ค เค้าท์... แน่นอนว่ามีนักเตะลิเวอร์พูลเกือบครึ่งทีมที่เล่นได้ดีกว่า และมีส่วนร่วมกับเกมมากกว่า แต่เัค้าท์ยิงครั้งแรกเข้ากรอบเลย ไม่ยิงนกตกปลาแบบที่ผ่านมา ได้ประตูอีกต่างหาก แถมเป็นประตูชัยพาทีมเข้ารอบ และที่สำคัญที่สุด ... ยิงแมนฯ ยูอีกแล้วด้วยสิ

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

ลิเวอร์พูล 2 - 2 แมนเชสเตอร์ ซิตี้






...เวมบลี่ย์...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-5-1

-----------------------เบลามี่----------------------

ดาวนิ่ง---อดัม---เจอราด---เฮนเดอร์สัน---เค้าท์

เอนริเก้----แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน

------------------------เรน่า-----------------------

               ลิเวอร์พูลลงเตะเกมคาร์ลิ่งคัพนัดรองชนะเลิศนัดที่สอง ดัลกลิชเลือกใช้หน้าเป้าคนเดียวคือเบลามี่ อัดแผงกลางมา 5 คนโดยมีดาวนิ่งยืนทางซ้ายและเค้าท์ทางขวา ส่วนแผงหลังยังใช้ชุดเดิม ทางฝั่งซิตี้ใช้เซโก้ยืนข้างหน้าคนเดียว กุนเป็นแค่ตัวสำรอง ยังไม่มีบาโลเตลี่, คอมพานีแบนที่ติดโทษแบน รวมไปถึงสองพี่น้องตูเร่ที่ไปแอฟริกัน เนชั่นคัพ แต่ยังมีตัวทำเกมอย่างซิลบาและนาสรี่ได้ลงเป็นตัวจริง
-------------------------------------------------------

               เริ่มเกมเป็นลิเวอร์พูลที่วิ่งไล่เร็ว บีบสูงตั้งแต่แดนหน้า ส่วนซิตี้เล่นสั้นเคาะบอลตามจังหวะ ไม่ได้เร่งเกมเข้าใส่ ดันกองหลังค่อนข้างสูงเพื่อขึ้นมาเชื่อมเกมกับกองกลาง ต้นเกมซิตี้ได้ครองบอลมากกว่าเล็กน้อยแต่ส่วนใหญ่เคาะกันอยู่ในแดนตัวเองกับกลางสนาม กลับเป็นลิเวอร์พูลวิ่งบีบได้ผล ตัดบอลตรงกลางสนามได้เป็นระยะและมีโอกาสได้สวนกลับขึ้นไปเร็วหาโอกาสลุ้นจบสกอร์ได้บ้าง แต่ยังทำไม่สำเร็จ

               ผ่าน 25 นาทีแรกของเกม ลิเวอร์พูลเริ่มเห็นช่องโจมตีที่ซาวิช ทุกครั้งที่เห็นเลสคอตยืนห่างออกไป เหลือแค่เบลามี่กับซาวิชยืนประกบกันอยู่ ทุกคนจะพร้อมใจกันวางยาวให้เบลามี่ไปดวลกับซาวิชซึ่งค่อนข้างได้ผล แม้ส่วนใหญ่ซาวิชจะสกัดได้แต่ก็โหม่งผิดเหลี่ยมบ้าง เก็บบอลไม่ได้บ้าง ทำให้เกมรุกลิเวอร์พูลกดดันซิตี้ได้มากขึ้น แต่แล้วกลับกลายเป็นซิตี้ที่ได้ประตูขึ้นนำก่อน นาที 31 ซิลบาล็อคหลบเจอราดก่อนไหลให้เด ยองยิงไกล บอลโค้งหนีมือเรน่าเข้าไปได้ 1-0

               หลังจากเสียประตู ลิเวอร์พูลโหมเกมรุกทันทีและทำได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเกมทางฝั่งซ้ายที่มีดาวนิ่งกับเอนริเก้ประสานงานกันอยู่ กดดันอยู่นานจนในที่สุดก็มาได้จุดโทษในนาที 40 จากจังหวะที่แอกเกอร์ยิงไปติดมือกองหลัง เจอราดรับหน้าที่ยิงจุดโทษไม่พลาด 1-1

               ตีเสมอได้แล้วลิเวอร์พูลยังไม่เพลาเกมรุก ยังคงบุกใส่ซิตี้ต่อแต่ทำประตูเพิ่มไม่ได้ จบครึ่งแรกเสมอกันอยู่ที่ 1-1

               เข้าครึ่งหลัง มันชินี่ส่งกุนลงมาแทนจุดอ่อนอย่างซาวิช แต่รูปเกมยังเหมือนครึ่งแรก ลิเวอร์พูลยังคงวิ่งไล่บีบเร็วตั้งแต่แดนหน้า โดยเฉพาะเบลามี่กับเค้าท์ที่วิ่งทุกจังหวะ ทำให้ซิตี้ขึ้นบอลได้ช้าและกดดันแนวรับลิเวอร์พูลไม่ได้มากนัก และเป็นลิเวอร์พูลที่หาโอกาสได้มากกว่า ได้ลุ้นนำห่างอีก 2-3 ครั้งแต่ฮาร์ทเซฟไว้ได้ดีอย่างเหลือเชื่อ

               ผ่าน 1 ชั่วโมงของเกมไป ซิตี้เริ่มกลับมาครองบอลได้ต่อเนื่องอีกครั้ง ส่วนลิเวอร์พูลก็ถอยลงไปรับมากขึ้นเล็กน้อย แม้ลิเวอร์พูลจะเล่นเกมรับได้ดีจนซิตี้หาโอกาสจบสกอร์ได้น้อยมากๆ แต่พอมีโอกาสซิตี้ก็ไม่พลาด นาที 67 โคราลอฟได้ครอสบอลจากริมฝั่งซ้าย เซโก้ชาร์จบอลที่เสาสองเข้าไปให้ซิตี้นำอีกครั้ง 2-1

               หลังจากทำประตูขึ้นนำได้แล้ว เกมยังคงเป็นของซิตี้เป็นส่วนใหญ่ ทางลิเวอร์พูลแผงกลางเริ่มหันมาปิดพื้นที่มากขึ้น เกมเริ่มจะเทไปทางฝั่งซิตี้ แต่ในนาที 74 จากจังหวะทุ่มและทำเร็วของลิเวอร์พูล เค้าท์ลากตัดเข้ากลางส่งบอลให้เบลามี่ชิ่งกับจอห์นสันและจังหวะสุดท้ายเป็นเบลามี่ที่ได้ยิงโล่งๆ แถวจุดโทษให้ทีมตีเสมอได้สำเร็จ 2-2

               นาที 78 อดัม จอห์นสันได้ลงมาแทนเด ยอง ซิตี้เปิดเกมรุกเต็มที่ ลิเวอร์พูลถอยลงไปรับกัน 10 คน ทิ้งเบลามี่ไว้คนเดียวเน้นเกมรับเต็มตัวและยังยันเกมรุกของซิตี้ได้ดี นาที 88 ดัลกลิชส่งเคลลี่ลงมาแทนเบลามี่แล้วให้เคลลี่ลงไปเล่นเซนเตอร์อีกคน และนาที 91 คาโรลลงแทนเค้าท์ ซิตี้พยายามเจาะเข้ามาทุกทางแต่แผงกลางหาช่องยิงไกลไม่ได้, แทงบอลไม่ทะลุ ลูกโ่ด่งทั้งจากกลางสนามและริมเส้นโดนดักไว้ได้หมด ทำให้จบเกมเสมอ 2-2 ลิเวอร์พูลผ่านเข้าไปชิงกับคาร์ดิฟที่เข้าไปรออยู่ก่อนแล้วได้สำเร็จ
------------------------------------------

               ดัลกลิชไม่ได้ทำอะไรพิสดาร เลือกกลางแน่นไว้ก่อนและส่งกองหน้าที่เหมาะกับการโต้เร็วอย่างเบลามี่ลงไป วิธีเล่นก็เป็นวิธีเรียบง่ายที่ใช้มาตลอดกับการเจอทีมใหญ่คือวิ่งไล่ เพรซซิ่งเร็ว แต่ที่น่าสนใจคือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ 2 ประการ ประการแรกนัดนี้ดัลกลิชเน้นให้ไล่ตั้งแต่แดนหน้า คือไล่ตั้งแต่ในแดนซิตี้เลย ปรกติจะเริ่มไล่หลังจากผ่านเข้ามาในแดนตัวเองแล้ว ซึ่งทำให้กดดันได้ดีกว่า เพราะการวิ่งไล่บอลจากเท้าเลสคอตกับซาวิชดูยังไงก็น่าจะง่ายกว่าการไล่บอลจากเท้าซิลบากับนาสรี่ ประการที่สองคือการเลือกเจอราดเป็นคนประกบซิลบาตรงกลาง เพราะในเกมที่ผ่านๆ มาเวลาเจอกับทีมใหญ่โดยใช้กลางชุดนี้ หน้าที่นี้จะตกเป็นของอดัมหรือไม่ก็เลือกไม่ประกบ เน้นปิดพื้นที่ไปเลย แต่การใช้เจอราดตามประกบในนัดนี้ทำให้ซิลบาอันตรายน้อยลงและทีมเสียฟาลว์ในแดนกลางน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

               อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เกมนี้ได้ผลที่ต้องการและทำผลงานได้ดีอยู่ที่นักเตะ มันคงไม่มีประโยชน์อะไรถ้าผู้จัดการทีมสั่งให้เพรซซิ่งแต่นักเตะวิ่งไม่ออกหรือเสียสมาธิ นัดนี้นักเตะลิเวอร์พูลทุกคนช่วยกันวิ่งไล่ได้ดีมาก และวิ่งได้ตลอด 95 นาที โดยเฉพาะเบลามี่กับเค้าท์ที่มีพื้นที่ต้องวิ่งมากกว่าเพื่อนแต่ก็ไล่กันไม่หยุด

               จุดเปลี่ยนของเกมนี้อยู่ที่การตัดสินจังหวะจุดโทษ 2 ครั้งที่ส่งผลดีให้ลิเวอร์พูลแบบไป-กลับ นาที 15 อดัมไปเตะเอาเอ็นร้อยหวายเซโก้เต็มๆ แบบไม่ไ้ด้เฉียดบอลเลย แต่จังหวะนั้นบอลเร็วและทิศทางของบอลเหมือนอดัมสกัดโดนบอล ทำให้ผู้ตัดสินไม่ได้ให้จุดโทษ แต่มาให้ลิเวอร์พูลในนาที 40 ที่แอกเกอร์ยิงไปโดนขาริชาร์ดแต่บอลกระดอนไปโดนมือ เป็นจังหวะ 50/50 ที่ผู้ตัดสินหลายคนเป่าให้จุดโทษ แต่รับรองว่าไม่ใช่ทุกคนแน่นอน 2 จังหวะนี้ถ้าผู้ตัดสินเป่าในทิศทางตรงกันข้าม ลิเวอร์พูลคงต้องเหนื่อยหนักกว่านี้แน่ถ้าจะเอาตัวรอดไปให้ได้

               มองทางฝั่งซิตี้ พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าทำไมถึงได้อยู่บนสุดของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีค แม้ว่าลิเวอร์พูลจะเล่นเกมรับได้ดี และปิดโอกาสการจบสกอร์ได้ดีมาก ยิ่งถ้าเทียบกับการเจอทีมอื่นๆ ไม่เว้นแม้แต่การเจอทีมหัวตาราง นี่เป็นเกมซิตี้ได้โอกาสยิงน้อยลงจนแทบจะนับครั้งได้ แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อโอกาสมาถึงซิตี้แทบไม่พลาดเลย การยิงไกลครั้งแรกและครั้งเดียวเป็นประตู รวมไปถึงการครอสบอลในจังหวะที่คู่ต่อสู้เข้าไปกดดันได้ไม่ดีพอเพียงครั้งเดียวก็ทำประตูได้ นี่ยังเป็นช่องว่างที่ห่างกันอยู่ระหว่างอันดับ 1 กับอันดับ 7 เพราะถ้าให้ซิตี้มีโอกาสเท่ากับที่ลิเวอร์พูลหาได้ในวันนี้ มั่นใจว่าซิตี้ต้องยิงได้อย่างน้อยครึ่งโหลแน่นอน

               ...แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูลก็ได้ชิงละนะ...
----------------------------------

นัดนี้เล่นได้ดีเป็นส่วนใหญ่

เรน่า - ลูกแรกที่เสียไป ยืนตำแหน่งพลาดนิดหน่อยคือค่อนข้างห่างเส้น แต่เด ยองก็ยิงได้ดีมากจริงๆ จนต่อให้เรน่ายืนดีกว่านี้ก็ไม่น่าเซฟได้ หลังจากนั้นก็ไม่มีข้อผิดพลาดอะไร และทำได้ดีมากกับการออกบอลเร็ว

เอนริเก้ - เล่นพอใช้ได้ค่อนไปทางดี แต่มันดรอปลงจากฟอร์มที่เคยดีมากในนัดก่อนๆ เกมรับมีหลุดรั่วให้เห็นบ้างเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นขึ้นแล้วลงไม่ทัน, ประกบห่างในบางจังหวะ วิ่งเบียดแล้วเอาชนะไม่ได้ เติมเกมรุกได้บ้างแต่ไม่ค่อยมีจังหวะอันตราย จังหวะที่หลุดไปยิงต้นเกมก็ยิงไม่ค่อยดีด้วย

แอกเกอร์ - ดักทางบอลที่จะจ่ายทะลุเข้ามาได้ดีมาก รักษาตำแหน่งได้ดี เข้าสกัดได้เด็ดขาด เป็นวันที่เล่นได้ดีมากอีกวันหนึ่ง

สเคอเทล -เล่นให้ชวนสงสัยว่าเอนกอกเก่งกว่าเซโก้หรือไง(ฟระ) ประกบเซโก้ได้ดี แย่งโหม่งได้บ่อยและดักตัดบอลก่อนถึงกองหน้าได้ดีมาก

จอห์นสัน - มีข้อผิดพลาดให้เห็นในแนวรับเป็นระยะ ตำแหน่งยืนไม่ค่อยดี ที่ดีคือวันนี้เข้าบอลเร็ว, ให้บอลไม่พลาดและเติมเกมรุกได้น่าพอใจ

ดาวนิ่ง - ครึ่งแรกเล่นได้ดีมากทั้งเกมรุกและรับ เป็นนัดแรกที่เล่นกับเอนริเก้แล้วเห็นว่าทำได้ดี ยืนฝั่งซ้ายแล้วครอสบอลได้ดีกว่าเล่นฝั่งขวา แต่แน่นอนว่าแทบจะหาจังหวะยิงเองไม่ได้เลย ครึ่งหลังแทบไม่มีส่วนกับเกมรุก แต่การวิ่งไล่ยังทำได้ดีอยู่

อดัม - เล่นไม่ค่อยออก ยังหาจังหวะวางบอลยาวสวยๆ ให้เห็นบ้างแต่มีน้อย การพาบอลไปเองหาประโยชน์แทบไม่ได้ ที่ดีคือวันนี้ออกบอลให้เพื่อนได้ดี และเสียฟาลว์ไม่มากนัก

เฮนเดอร์สัน - ทำผลงานได้ดี เด่นมากในการคุมพื้นที่แดนกลาง เคลื่อนไหวได้ดีกว่านัดก่อนๆ หาโอกาสขึ้นไปเติมเกมได้น้อยแต่ก็ทำได้เข้าท่ากว่าที่ผ่านมา เสียดายว่าไม่มีลูกทีเด็ดทีขาดให้เห็นเลย ไม่ว่าจะจ่ายหรือยิง

เจอราด - หน้าที่หลักวันนี้คือตามเก็บซิลบา ทำได้น่าพอใจ(แต่พลาดครั้งแรกทีมเสียประตู และลงไปประกบโคราลอฟไม่ติดก็ทำให้เสียประตูที่สอง) เล่นเกมรับเป็นส่วนใหญ่และยืนไม่สูงมากนักแต่เปลี่ยนรับเป็นรุกและวางบอลยาวได้ดี

เค้าท์ - เค้าท์วันนี้เล่นได้เป็นสัปปะรดอย่างไม่น่าเชื่อ แตกต่างจากบอลสไตล์เค้าท์ๆ แบบที่ผ่านมา กลับมาวิ่งได้อย่างคึกคัก เบียดแย่งและบังบอลได้ดี ที่มหัศจรรย์จนกลัวว่าพรุ่งนี้หิมะจะตกคือวันนี้เค้าท์จ่ายบอลเร็วได้ดีมาก

เบลามี่ - เล่นได้ดีมากอีกนัดหนึ่ง วิ่งไล่บอลตลอดเกม บางครั้งลงมาช่วยไล่ถึงในแดนกลางด้วย ใช้ความเร็วกดดันแนวรับซิตี้ได้ตลอด วิ่งทำทางได้ดี รวมไปถึงยิงประตูสำคัญให้ทีมผ่านเข้าชิงได้สำเร็จ

ตัวสำรอง

เคลลี่ - ลงมาก็แทบไม่ได้ทำอะไรแล้ว

คาโรล - ลงมาได้เล่น 4 จังหวะ พลาด 2 ดี 2 แต่ก็ไม่มีเวลาให้ทำอะไรเช่นกัน

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : เดิร์ค เค้าท์... แม้ว่าเบลามี่กับเจอราดจะทำประตูและเล่นได้ดีกับบทบาทของตัวเองในนัดนี้เอามากๆ แต่ถ้าเทียบกับความคาดหวัง, ผลงานที่ีผ่านมา ระหว่างสเต็กจานละ 720 ที่อร่อยสมราคา กับสเต็คจานละ 120 ที่รสชาติอย่างกับ 500 อะไรมันน่าประทับใจกว่ากันล่ะ?

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

โบลตัน 3 - 1 ลิเวอร์พูล


...เอ้า...ออกทะเลได้~
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-4-2 (หรือ 4-4-1-1 เบลามี่เล่นต่ำกว่าคาโรลเล็กน้อย)


---------------เบลามี่-----คาโรล----------------
มักซี่------อดัม------เจอราด------เฮนเดอร์สัน
เอนริเก้---แอกเกอร์----สเคอเทล-----จอห์นสัน
----------------------เรน่า-----------------------

               ลิเวอร์พูลออกไปเยือนทีมท้ายตารางแบบโบลตัน ดัลกลิชจัดทีมที่น่าจะดีที่สุดที่มีตอนนี้ลงสนาม ข้างหน้าคาโรลกับเบลามี่ได้ลงพร้อมกัน ริมซ้ายมักซี่ได้โอกาสก่อนดาวนิ่ง ตรงกลางใช้แค่อดัมกับเจอราด และริมขวาเป็นเฮนเดอร์สัน ส่วนแผงหลังมีแอกเกอร์กลับมาพร้อมด้วยผู้เล่นตัวหลักครบเซต

-------------------------------------------------------

               เริ่มเกมมาเป็นโบลตันที่วิ่งไล่เร็วทั่วสนามจนลิเวอร์พูลตั้งเกมของตัวเอง ได้ลำบาก เกมเร็วมาก และเพียงแค่ 4 นาที โบลตันก็ออกนำเร็ว จากจังหวะที่มาร์ค เดวิสพลิกบอลหนีมาจากสเคอเทลได้ก่อนจะลากเข้าไปยิงในเขตโทษได้สำเร็จ 1-0


               หลังจากเสียประตูไป นักเตะลิเวอร์พูลดูเสียสมาธิไปพักใหญ่ๆ โบลตันยังคงวิ่งไล่บอลอยู่และไม่ได้เน้นตั้งรับ เกมเร็วและค่อนข้างเปิดแลกกัน เป็นโบลตันที่ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย หลังจากบุกแลกกันไปมา เป็นโบลตันที่มาได้ประตูหนีห่างไปอีก นาที 29 จากบอลชิ่งจังหวะเดียว ริโอ-โคเกอร์หลุดทะลุเข้าไปในเขตโทษยิงเข้าไปได้เป็น 2-0


               พอโดนนำห่าง ลิเวอร์พูลเร่งเกมมากขึ้นไปอีกจากเดิมที่ค่อนข้างเร็วอยู่แล้ว ไม่ค่อยครองบอลไว้กับตัว ในขณะที่โบลตันอาศัยการดักล้ำหน้าคอยเล่นงานกองหน้าลิเวอร์พูล ไม่ได้ถอยลงไปในแดนตัวเองมากนัก นาที 36 ลิเวอร์พูลก็มาทำได้สำเร็จ จากจังหวะที่คาโรลโหม่งชงให้เบลามี่ได้บอลหลุดไปตั้งแต่เกือบครึ่งสนาม ลากเข้าไปยิงผ่านมือบอกดานเข้าไปได้ให้ทีมไล่มา 2-1 หลังจากนั้นลิเวอร์พูลก็พยายามเร่งต่อก็ยังทำเพิ่มไม่ได้ จบครึ่งแรกที่สกอร์ 2-1


               กลับมาเล่นในครึ่งหลังเกมยังเหมือนในท้ายครึ่งแรก โบลตันยังคงวิ่งเข้าใส่อยู่ตลอดและลิเวอร์พูลพยายามจะเร่งเปิดบอลเร็ว แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรมากนัก นาที 50 จากจังหวะลูกเตะมุมของโบลตัน บอลยาวไปเสาสองโหม่งตั้งกลับมา แล้วเป็นสไตรเซ่นได้วอลเล่ย์จากแถวจุดโทษเสียบเสาเข้าไปให้โบลตันนำห่างอีก ครั้ง 3-1


               หลังจากนั้นรูปเกมยังไม่เปลี่ยน ในเกมรับลิเวอร์พูลเก็บบอลเอาไว้ไม่ค่อยได้ หนักไปทางสาดทิ้ง ส่วนในเกมรุกก็โดนเร่งหรือไม่ก็เร่งกันไปเองจนจ่ายบอลพลาดหลายครั้ง กลับเป็นทางโบลตันที่บุกกดดันได้อันตรายกว่าและครองบอลได้มากกว่า


               นาที 64 ดัลกลิชตัดสินใจส่งดาวนิ่งกับเค้าท์ลงมาแทนอดัมกับมักซี่ แต่เกมยังไม่เปลี่ยน โบลตันยังคงมีแรงเหลือเฝือในการวิ่งไล่ ส่วนลิเวอร์พูลยิ่งเล่นยิ่งหาโอกาสจบสกอร์ได้น้อยลง กลายเป็นโบลตันที่เก็บบอลได้มากว่า ต่อบอลกันขึ้นมากดดันใกล้เขตโทษลิเวอร์พูลได้เป็นระยะ


               เวลาที่เหลือลิเวอร์พูลเริ่มหมดไอเดียในเกมรุกและเจาะโบลตันไม่เข้า และเป็นโบลตันที่ครองบอล ต่อบอลกันได้ดี มีโอกาสลุ้นประตูมากกว่าลิเวอร์พูลเสียอีก จนในที่สุดก็ปิดเกมเอาชนะไปได้สำเร็จ 3-1

------------------------------------------

               เนื่องจากโดนนำเร็วตั้งแต่นาทีที่ 4 เลยไม่แน่ใจว่าดัลกลิชตั้งใจมาเล่น 4-4-2 ถ่างเฮนเดอร์สันไปขวา ตรงกลางใช้แค่อดัม-เจอราดหรือปล่าว หรืออันที่จริงจะเล่น 4-5-1 มีมักซี่กับเบลามี่อยู่คนละฝั่งแล้วโดนนำเร็วเลยต้องเปลี่ยนแผน แต่ที่แน่ๆ เอาเป็นว่าลิเวอร์พูลเล่นแบบ 4-4-2 มันทั้งเกมก็แล้วกัน ตัวผู้เล่นจัดตัว ที่น่าจะดูดีที่สุดเท่าที่มีอยู่และเล่นได้ตอนนี้แล้ว แต่กลายเป็นว่าผลงานกลับทิ้งดิ่งแบบน่าใจหาย ถ้ามองในมุมแทคติคอย่างเดียว เรื่องนี้มาจากคู่กลางอดัม-เจอราด เอาชนะมูอัมบ้า-เดวิส-ริโอโคเกอร์ ไม่ได้ ทั้งในเกมรุกและเกมรับ ทำให้เกมนี้ลิเวอร์พูลเล่น แบบเป็นรองอยู่ตลอดเกม ในเกมรับไม่สามารถตัดเกมในจังหวะที่โบลตันรุกได้และไม่สามารถเก็บบอลจังหวะ สองจากการโหม่งชงหรือพักบอลของเอนกอกได้ ส่วนในเกมรุกแม้จะยังพอออกบอลได้อยู่แต่บอลที่ให้ไปเพื่อนก็ไม่ค่อยจะได้ เปรียบนัก เกมนี้ถ้าเล่นกลาง 5 มีสเปียริ่งหรือหุบเฮนเดอร์สันเข้ามาช่วยตรงกลาง น่าจะทำให้รูปเกมดีกว่าที่เป็นอยู่...แต่ผลสุดท้ายคงไม่ต่างกันมากนักถ้า ฟอร์มนักเตะยังออกทะเลสุดกู่และเล่นได้แค่นี้


               สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลงานออกมาดูไม่จืด หนีไม่พ้นฟอร์มการเล่นของนักเตะเองที่เรียกได้ว่านัดกันออกจากฝั่งไปอย่าง พร้อมเพรียง เรียงกันมาตั้งแต่แผงหลังยันกองหน้าเล่นกันได้ต่ำกว่ามาตรฐานทุกคน แม้แต่ตัวสำรองที่ลงมาก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน จนกระทั่งแพ้แบบหมดสภาพไปในที่สุด


               ทางฝั่งโบลตันเองไม่ได้เล่นดีเป็นพิเศษแต่อย่างใด ยังเล่นอยู่ในระดับที่พวกเขาเล่นมาตลอด ที่ดูดีกว่านัดอื่นๆ คือพละกำลังที่วิ่งไล่ได้จนจบเกม และการจบสกอร์ที่ถือว่าใช้ได้เพราะไม่พลาดในจังหวะที่ควรจะได้แม้แต่ครั้ง เดียว ส่วนจังหวะ 50/50 พวกเขายังคงยิงนกตกปลาอยู่เช่นเดิม โบลตันยังคงเปิดพื้นที่ด้านหลังไว้เพียบ ในขณะที่เกมรุกมีอาวุธเพียงการพักบอลเล่นของเอนกอก และการพาบอลตะลุยเข้าไปดื้อๆ ของแผงกลาง ไม่ได้มีความหลากหลายอะไร เกมริมเส้นไม่มี การยิงไกลไม่ดี บอลชิ่ง 1-2 ก็แค่ธรรมดาไม่ถึงขั้นรวดเร็วแม่นยำแบบอาร์เซนอล(หรือสวอนซี?) แต่กลายเป็นกลางและหลังของลิเวอร์พูลเองที่เสียง่ายเกินไป และปล่อยให้แผงกลางของโบลตันเล่นได้ง่ายเกินไป สุดท้ายโบลตันเลยยิงได้ตั้ง 3 ลูก


               อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าวันนี้ไม่ใช่วันของลิเวอร์พูลจริงๆ โดนนำเร็ว, นักเตะนัดกันฟอร์มหลุดทั้งทีม, จังหวะเข้าบอล 50/50 บอลเด้งเข้าทางโบลตันหมด, จังหวะ 50/50 กรรมการเป่าเข้าทางโบลตันหมด, โบลตันมีโอกาสจะๆ ก็ยิงไม่พลาดเลยทั้ง 3 ครั้ง...


               ...ก็เละสิครับ~....
----------------------------------

นัดนี้เล่นได้...แย่มากแล้วล่ะ

เรน่า - ลูกที่โดนยิงไปคงไม่ถึงขั้นผิดพลาดอะไร แต่วันนี้การยืนตำแหน่ง, การออกมาบีบมุมเร็ว และการสั่งการในเขตโทษดูจะมีปัญหาไม่น้อย


จอห์นสัน - หลังจากมีส่วนพลาดในประตูแรก หลังจากนั้นยังมาโดนวิ่งไล่ถึงตัวเกือบตลอด ทำเอายิ่งเล่นยิ่งลน เข้าครึ่งทำได้แค่สาดบอลทิ้งไปข้างหน้า และเติมเกมรุกให้ทีมไม่ได้เลย


แอกเกอร์ - เข้าซ้อนช้า หลายจังหวะที่สเคอเทลเข้าไปชนแล้วแอกเกอร์ควรจะเข้าไปเก็บบอล หรือเข้าไปสกัดบอลได้แต่เข้าบอลช้าไป แต่โดยรวมถือว่าเป็นแผงหลังที่เล่นได้ดีที่สุดแล้ว


สเคอเทล -หลังจากปราบกองหน้ามาแทบจะทั้งลีคแล้ว วันนี้สเคอเทลมาตกม้าตายกับ...เอนกอก เอาชนะเอนกอกไม่ค่อยได้ ถึงแม้ว่าจะประกบไม่ให้เอนกอกพลิกยิงได้ก็ตามที่ แต่ปล่อยให้เอนกอกโหม่งชงและเก็บบอลไว้กับตัวได้เกือบตลอด ตัดบอลได้น้อยกว่าที่เคยทำได้


เอนริเก้ - เล่นหลุึดฟอร์มได้อย่างไม่น่าเชื่อ เสียดายบอลแล้วโดนตัดไปได้ในพื้นที่อันตราย 2-3 ครั้ง เติมเกมแทบไม่ได้ ทั้งยังมีปัญหากับการรับมือนักเตะโบลตันมากเหลือเกิน


มักซี่ - เป็นคนเดียวในทีมที่รักษาฟอร์มการเล่นเอาไว้ได้...นั่นคือไม่มีส่วนร่วมกับ เกม มีดีตรงที่ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ในตำแหน่งที่ถ้าบอลผ่านไปได้ก็จะลุ้นทำประตู ได้อยู่เกือบตลอด...แต่บอลมันผ่านไปไม่ได้ ครั้งเดียวที่ผ่านไปได้ดันโหม่งบอลไปชนมือตัวเองอีกต่างหาก


อดัม - กัปตันเรือของเราในวันนี้...หลุดตำแหน่งกระจาย เวลาเติมแล้วลงไม่ทัน จังหวะเข้าบอลก็เสียฟาลว์ง่าย ปล่อยให้กลางโบลตันพาบอลตะลุยเข้าไปดื้อๆ ถึงหน้าเขตโทษจนคู่เซนเตอร์งานเข้าหลายครั้ง การออกบอลพอดูได้ั ไม่ว่าจะเปลี่ยนแกนหรือผ่านบอลไปที่ว่างริมเส้น...แต่ไม่มีลูกไหนที่จ่ายไป แล้วเพื่อนได้เปรียบ


เจอราด - เป็นวันที่เงียบมาก ถูกกดดันให้ต้องถอยลงไปช่วยรับมาก(ถึงอย่างนั้นก็ยังช่วยเกมรับได้ไม่มาก เท่าไหร่) จังหวะได้บอลจะเปลี่ยนจากรับเป็นรุกแต่ละครั้งอยู่ในแดนตัวเองเกือบตลอดจนทำ ให้ทำเกมรุกได้ไม่มากเท่าที่ควร อยู่ไกลจากเขตโทษมากเหลือเกิน พยายามจะเล่นเร็วและออกบอลยาวหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็พลาดมากกว่าดี


เฮนเดอร์สัน - ช่วงที่โดนถ่างไปเล่นริมเส้นก็แทบหายไปจากเกม มีจังหวะครอสบอลบ้างก็ทำได้ไม่ดีนัก ช่วงที่เค้าท์กับดาวนิ่งได้ลงมาแ้ล้วโดนหุบเข้าไปเล่นตรงกลางดูดีขึ้นนิด หน่อย แต่ก็ช่วยอะไรทีมไม่ได้มากนัก


เบลามี่ - ช่วงครึ่งแรกใช้ความเร็วกดดันโบลตันได้ดีระดับหนึ่ง จังหวะยิงก็ทำได้ดี แต่ช่วงครึ่งโดนตัดออกจากเกมและแทบไม่ได้บอลอีกเลย ประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมได้ไม่ค่อยดี จ่ายคนละทางบ้าง วิ่งคนละทางบ้าง แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากเพื่อนๆ เองก็ไม่ค่อยจะได้วิ่งเข้ามาช่วยเบลามี่ด้วย


คาโรล - ครึ่งแรกเล่นพอใช้ได้ เก็บบอลได้บ้าง โหม่งชงได้บ้างโดยเฉพาะจังหวะที่ทำให้เบลามี่ได้หลุดเข้าไปยิง ผ่านบอลได้ดีทีเดียว แต่พอเข้าครึ่งหลัง ที่ว่ามาข้างบนทั้งหมด....หายเรียบ...เข้าใจว่าลืมเอาออกมาจากห้องแต่งตัว


ตัวสำรอง

เค้าท์ - ไม่บอกก็แทบไม่รู้ว่าได้ลงมาในสนาม แทบไม่มีบทบาทกับเกมเลย อยู่ในฟอร์มที่ควรเป็นตัวสำรองคาโรลจริงๆ (โปรดย้อนไปอ่านฟอร์มของคาโรลอีกครั้งเพื่อให้ได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น)


ดาวนิ่ง - ทำได้ดีกว่ามักซี่เล็กน้อย มีส่วนร่วมกับเกมมากกว่า ทำอะไรได้มากกว่า แต่ทีเด็ดทีขาดไม่มี บอลที่เปิดเข้าเขตโทษไม่คมพอและการพาบอลขึ้นไปก็กดดันโบลตันได้ไม่มากนัก

ป.ล. แต่ก็ดูจนจบเกม ดูทุกนาที ลุ้นอยู่ตลอดเวลาและนัดหน้าก็ยังจะดูต่อไปนะเอ้อ~

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

ลิเวอร์พูล 0 - 0 สโต๊ค ซิตี้


...จุก...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 3-6-1 (ุึตอนเล่นจริง ดาวนิ่ง-เฮนเดอร์สัน-อดัม-เจอราด สลับตำแหน่งกันตลอด)

------------------------เค้าท์---------------------

-----------------------เจอราด--------------------

-----------ดาวนิ่ง--เฮนเดอร์สัน--อดัม----------

เอนริเก้---------------------------------จอห์นสัน

-----โคอาเตส-----คาราเกอร์-----สเคอเทล----

------------------------เรน่า-----------------------

               ลิเวอร์พูลเปิดบ้านรับการเยือนของทีมที่เด่นในเรื่องลูกกลางอากาศและเกมรับอย่างสโต๊ค ดัลกลิชปรับแทคติคอีกครั้งด้วยการหันมาเล่น 3-6-1 ใช้เซนเตอร์ 3 คน เกมริมเส้นเป็นหน้าที่ของเอนริเก้กับจอห์นสัน ส่วนกองกลาง 4 คนสลับตำแหน่งเล่นกันทั้งเกมรุกเกมรับ โดยมีเค้าท์เป็นหน้าเป้าเพียงคนเดียว
-------------------------------------------------------

               เริ่มเกมเป็นลิเวอร์พูลที่เข้าไล่บีบพื้นที่เร็ว เร่งเกม พยายามเปิดเกมรุกเต็มที่แต่ดูเหมือนนักเตะจะวิ่งทับตำแหน่งกันบ่อยครั้ง ทำให้เกมรุกติดขัดไปบ้าง ส่วนทางสโต๊คก็วิ่งปิดพื้นที่กลางสนามไม่ใ้ห้ลิเวอร์พูลขึ้นเกมได้ง่าย เน้นเกมรับแล้วใช้บอลยาวโต้เอาอย่างเดียวไม่ครองบอล ช่วงต้นเกมลิเวอร์พูลยังหาโอกาสผ่านบอลเข้าพื้นที่สุดท้ายไปลุ้นได้บ้างแต่ยังเข้าไม่ถึงบอล

              15 นาทีแรกของเกมผ่านไป เกมเริ่มช้าลง ลิเวอร์พูลครองบอลได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดแต่เจาะเข้าเขตโทษไม่ได้, วิ่งทับตำแหน่งกันเป็นระยะ ประกอบกับโดนสโต๊ควิ่งไล่ปิดพื้นที่ตรงกลางอย่างหนาแน่น ทำให้ลิเวอร์พูลทำได้แค่เคาะบอลอยู่กลางสนามและริมเส้นแต่ทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ แทบจะไม่มีโอกาสลุ้นทำประตูจนกระทั่งจบครึ่งแรกอย่างจืดชืด 0-0

              เข้าครึ่งหลังลิเวอร์พูลดันแผงกลางสูงขึ้นมากกว่าในครึ่งแรก กดดันแนวรับสโต๊คได้มากขึ้นจนต้องไปรับลึกอยู่หน้าเขตโทษ แต่บอลสุดท้ายยังไม่สามารถเปิดผ่านแผงหลังสโต๊คเข้าไปได้ เกมยังเหมือนในครึ่งแรก นาที 58 ดัลกลิชส่งคาโรลลงไปแทนดาวนิ่งเพื่อเพิ่มตัวเลือกในเขตโทษที่ก่อนหน้านั้นมีเค้าท์เพียงคนเดียว แต่สโต๊คยังรับมือกันได้ดีไม่มีความผิดพลาดให้เห็น

              ยิ่งเล่นลิเวอร์พูลยิ่งหมดมุขที่จะเจาะแนวรับสโต๊ค กลายเป็นสโต๊คที่ได้ครองบอลบุกกันขึ้นมาบ้าง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจหรือเน้นเกมโต้กลับอะไรมากนัก ขึ้นกันมาแค่ 1-2 คน ที่เหลือยังคงปิดพื้นที่ในแนวรับกันอยู่ตลอด นาที 74 เบลามี่ได้ลงมาแทนเฮนเดอร์สันอีกคน แต่ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถเจาะตรงกลางได้ ไม่ว่าจะด้วยการพาบอลเลี้ยงจี้หรือลูกชิ่ง หาจังหวะยิงไกลได้ยากลำบาก ส่วนริมเส้นทำได้แค่ครอสตั้งแต่ยังไม่สุดเส้นและบอลไม่แม่นพอที่จะถึงกองหน้า พยายามอย่างไรก็เจาะไม่เข้า ก่อนจะจบเกมไปแบบจืดชืด 0-0 แบบหาจังหวะจบสกอร์ได้น้อยมากๆ
------------------------------------------
           
              อันที่จริงเกมนี้แทบไม่มีอะไรมากไปกว่า สโต๊ค - อุด, ลิเวอร์พูล - เจาะไม่เข้า... เกือบไม่มีรายละเอียดอะไรให้พูดถึง

            วันนี้คงต้องพูดถึงแทคติคของดัลกลิชอย่างเดียวเท่านั้น วิธีเล่นแบบนี้ลิเวอร์พูลเคยใช้ได้ผลในช่วงปลายฤดูก่อนในการเล่นกับทีมใหญ่ ด้วยการใช้เซนเตอร์ 3 คน กองหน้าคนเดียว กองกลางช่วยกันวิ่งไล่เพื่อเอาบอลมาไว้กับตัวให้ได้มากที่สุด ซึ่งมันได้ผลกับทีมที่ต้องการเอาชนะ แต่กับสโต๊ควันนี้ไม่ใช่... สโต๊คไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า 1 คะแนน ทำให้พวกเขาไม่เดือดร้อนใดๆ ทั้งสิ้นกับการไม่ได้ครองบอล หรือไม่ได้ลุ้นประตู กลับกลายเป็นฝั่งลิเวอร์พูลเองที่ยิ่งเล่นยิ่งกดดัน ใน 1 ชั่วโมงแรกของเกม ตัวเลือกในเขตโทษมีเพียงเค้าท์คนเดียว ในขณะที่สโต๊คมีเซนเตอร์ถึง 3 คน โอกาสที่แผงกลางจะจ่ายบอลทะลุให้เค้าท์พลิกเล่นได้แทบจะเป็นศูนย์ เมื่อเค้าท์ถ่างออกไปริมเส้นเพื่อต่อบอล คนที่วิ่งเข้ามาเติมในเขตโทษก็มีแค่คนเดียว หรือบางจังหวะไม่มีเลย ทำให้สร้างโอกาสในการทำประตูแทบไม่ได้

              ในแผงกลางนั้น ลิเวอร์พูลอัดกันลงมาแน่นและแน่นอนว่ามันทำให้ทำลายเกมของสโต๊คได้เด็ดขาดแย่งบอลมาครองได้มากกว่า แต่จังหวะที่จะเปลี่ยนเกมรับเป็นรุก หรือจังหวะที่จะรุกเข้าใส่พื้นที่สุดท้าย ลิเวอร์พูลมีแต่ตัวเลือกด้านข้างแต่ไม่มีตัวเลือกด้านหน้า ส่วนใหญ่จึงทำได้แค่เคาะบอลกันไปมา พยายามจะชิ่งหรือจ่ายทะลุแล้วไปติดกองหลัง ตั้งแต่ต้นเกมยันจบเกม

              จริงๆ แล้วแทคติคก็เป็นภาพกว้างที่แสดงให้เห็นคร่าวๆ ว่าตำแหน่งการเล่นเป็นอย่างไร ตอนเล่นจริงถ้าเล่นได้มีประสิทธิภาพเรื่องมันก็จบ อย่างเช่นในแทคติคนี้ เมื่อสโต๊คไม่เปิดเกมสู้ ข้างหน้ามีแค่เคร้าช์ค้ำอยู่คนเดียว ทำให้เซนเตอร์อย่างน้อย 1 คนสลับกันขึ้นมาเติมเกมได้อยู่ตลอด ซึ่งโคอาเตสกับสเคอเทลก็ขึ้นมาตลอดตามนั้นจริงๆ แต่พวกเขาไม่ได้มีจุดเด่นในการพาบอลหรือจ่ายบอลในเกมรุกอย่างมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว ส่วนกองกลางเมื่อไม่ต้องพะวงเกมสวนกลับของคู่ต่อสู้ น่าจะมีจังหวะที่วิ่งทำทางขึ้นไป หรือเข้ารอบอลในเขตโทษมากกว่านี้ แต่หลายๆ จังหวะก็เลือกที่ยืนกันอยู่ข้างนอกเขตจนทำให้ไม่มีช่องจะให้บอลทะลุเข้าไป

              ส่วนเรื่องที่ทำให้สงสัยที่สุดในวันนี้คือการเปลี่ยนตัว แน่นอนว่าการเปลี่ยนคาโรลกับเบลามี่ลงมาเป็นเรื่องปรกติ แต่คนที่เปลี่ยนออกนี่สิ... ทำไมดัลกลิชถึงไม่เลือกที่จะเปลี่ยนเซนเตอร์ออกสักคนแล้วหันกลับไปเล่นหลัง 4 เพราะในเมื่อสโต๊คไม่เน้นโต้และทรัพยากรที่มีอยู่ก็ไม่ได้เอื้อให้โต้ได้อย่างน่ากลัวอยู่แล้ว เพราะมีเพียงเอทเทอร์ริงตันคนเดียวที่ไปกับบอลได้ดี ในขณะที่เคร้าช์ก็เอาชนะสเคอเทลไม่ได้ นั่นหมายถึงแบคสองข้างยังคงเติมเกมรุกได้สะดวกอยู่ กลับไปเลือกเปลี่ยนดาวนิ่ง(หรือแม้กระทั่งเฮนเดอร์สัน) ที่ถึงแม้ว่าจะเล่นได้ไม่ดีนักแต่ก็ไม่ได้แย่ไปกว่าคนที่ยังอยู่ในสนามไปสักเท่าไหร่ อย่างน้อยคุณภาพในการเปิดบอลของดาวนิ่งก็ยังดีกว่าจอห์นสัน,สเคอเทล ซึ่งกลายเป็นคนที่ต้องเติมขึ้นมาเปิดบอลอยู่บ่อยๆ ในช่วงท้ายเกมด้วย

              สุดท้ายก็เลยเจาะไม่เข้า...หนักไปกว่านั้นคือหาโอกาสจบสกอร์แทบไม่ได้...
----------------------------------

นัดนี้เล่นได้ไม่ดีนัก

เรน่า - แทบไม่ต้องเซฟอะไร วันนี้ออกบอลเร็วไปริมเส้นได้ดีหลายจังหวะ

จอห์นสัน -ไม่ต้องเล่นเกมรับเลย เล่นเกมรุกอย่างเดียวแต่เอาชนะแบคของสโต๊คไม่ได้ ไปไม่ถึงสุดเส้น,ตัดเข้ากลางแล้วยิงได้ไม่ดีพอ รวมไปถึงการเปิดบอลที่ไม่ดีนัก

โคอาเตส - เปิดบอลขึ้นหน้าได้ไม่ดีเท่าไหร่ หลายครั้งที่เลือกโยนยาวทั้งๆ ที่มีเพื่อนรอบอลอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้มีงานในเกมรับอะไรมากมาย

คาราเกอร์ - ไม่มีลูกยากหรือโดนกดดันอะไรมากนัก เกือบทำพลาดในจังหวะที่โหม่งคืนหลังช้า แต่นอกนั้นก็เก็บกวาดลูกที่หลุดเข้ามาในพื้นที่อันตราย(ที่ไม่ค่อยมี)ได้ดี

สเคอเทล - เอาชนะเคร้าช์ได้อย่างเด็ดขาด ชิงขึ้นโหม่งได้ก่อนเกือบทุกครั้งและทำให้เคร้าช์โหม่งชงให้เพื่อนแทบไม่ได้เลยตลอดเกม จังหวะเกมรุกก็พยายามขึ้นมาช่วยบ่อยครั้ง แต่ศักยภาพของเจ้าตัวก็ไม่ได้เอื้อให้เล่นเกมรุกสักเท่าไหร่

เอนริเก้ - ขึ้นมาเล่นเกมรุกน้อยกว่าจอห์นสันเล็กน้อย เอาตัวรอดจากการโดนวิ่งไล่บีบและเล่นกับพื้นที่แคบๆ ได้ดี แต่วันนี้สร้างประโยชน์ในเกมรุกแทบไม่ได้เลย

ดาวนิ่ง - เงียบสนิท ไม่มีพื้นที่ให้ลากบอล ช่วงที่อยู่ในสนามก็ไม่มีเป้าให้เปิดบอลเท่าไหร่เพราะข้างในมีเค้าท์คนเดียว ไม่ไ้ด้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

เฮนเดอร์สัน - กลายเป็นตัวเชื่อมเกมธรรมดาๆ ไปเลยในเกมนี้ ครึ่งแรกยัีงพอเห็นว่ามีจังหวะที่ฉีกมาเล่นเกมริมเส้นร่วมกับเค้าท์หรือจอห์นสันบ้างนิดหน่อย ส่วนครึ่งหลังทำได้แค่เคาะบอลไปมาจนกระทั่งโดนเปลี่ยนออก

อดัม - ครึ่งแรกเป็นคนที่พยายามจะพุ่งเข้าไปในเขตโทษและพาบอลเลี้ยงตะลุยตรงกลางเข้าไปเองในหลายจังหวะ ทำได้ดีในระดับนึงแต่ไม่ดีพอจะสร้างโอกาสหรือจบสกอร์ให้ทีมได้ วิ่งบีบพื้นที่, ช่วยเกมรับเยอะและทำให้ครึ่งหลังดูเหมือนหมดแรงจนถอยตัวเองไปคอยจ่ายบอลอยู่แถวกลางสนามมากกว่าในครึ่งแรก

เจอราด - ...วิ่งไปทั่วสนามและพยายามจะทำทุกอย่างไม่ว่าจะหาช่องยิงไกล, ไปเปิดบอลริมเส้น, จ่ายทะลุให้กองหน้า ส่วนใหญ่ไม่ผ่านแผงหลังสโต๊ค และส่วนน้อยที่บอลไปดีเพื่อนร่วมทีมดันเอาไปทำอะไรต่อไม่ได้

เค้าท์ - เล่นแบบเค้าท์ๆ เอาชนะคู่ต่อสู้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางครั้งก็ทำบอลลั่น แต่บางครั้งก็วิ่งสลัดตัวประกบได้ดี ไปช่วยวิ่งตัดบอลมาได้หลายครั้ง ก่อนจะเงยหน้าแล้วพบว่า...ในเขตโทษไม่มีใคร(ก็หน้าเป้าคนเดียวดันลงมาล้วงบอลนี่หว่า)

ตัวสำรอง

คาโรล - แข้งขาอ่อนเหลือเกิน จะช้าหรือหาตำแหน่งไม่ดียังไม่เท่าไหร่ แต่จุดแข็งหนึ่งเดียวที่คาโรลควรมีอยู่ตลอดคือความแข็งแกร่ง และวันนี้ไม่เห็นสิ่งนั้นเลย

เบลามี่ - เจอแบคซ้อน 2 ซ้อน 3 ตัดเข้ากลางเจออีก 2 ของสโต๊คเข้าไปเบลามี่หาโอกาสทำอะไรไม่ได้เลยไม่ว่าจะยิงหรือจ่าย

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : มาร์ติน สเคอเทล... เจอราดยังคงเป็นความหวังหนึ่งเดียวในวันที่เกมรุกติดขัด และวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ แต่สเคอเทลทำได้ดีกว่าที่เคยทำได้ เกมรับเก็บกองหน้าได้หมดจด ขึ้นมาลุ้นโหม่งได้ 2-3 ครั้ง อยู่ว่างๆ ก็ขึ้นมาช่วยต่อบอลตรงกลางอีกต่างหาก

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0 - 1 ลิเวอร์พูล


...คิดถึงมูรินโญ่...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-5-1

-----------------------คาโรล----------------------

เบลามี่--เจอราด--สเปียริ่ง--เฮนเดอร์สัน--ดาวนิ่ง

จอห์นสัน----แอกเกอร์-----สเคอเทล-----เคลลี่

------------------------เรน่า-----------------------

            ลิเวอร์พูลลงเตะเกมคาร์ลิ่งคัพนัดรองชนะเลิศนัดแรก เป็นฝ่ายออกไปเยือนซิตี้ก่อน ดัลกลิชปรับตำแหน่งนักเตะเล็กน้อยด้วยการพัึกเอนริเก้ ส่งเคลลี่ลงตัวจริงทางฝั่งขวาแล้วโยกจอห์นสันไปเล่นแบคซ้าย นอกนั้นยังเป็นชุดเดิมๆ
-------------------------------------------------------

             เริ่มเกมเป็นทางลิเวอร์พูลที่ครองเกมได้ก่อน ใช้บอลสั้นดันแบคสองข้างขึ้นสูงทำเกมรุกอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ทางฝั่งซิตี้เล่นกันแบบเนือยๆ เล่นช้าและไม่ค่อยไล่บอลมากนัก ตอนช่วงต้นเกมกองกลางทั้งสองฝั่งลงไปปิดพื้นที่กันมากกว่าที่จะิวิ่งเพรซซิ่งเร็วทำให้เกมค่อนข้างช้า

             ในช่วง 10 นาทีแรกลิเวอร์พูลมีโอกาสจบสกอร์ 3-4 ครั้งแต่ยังติดเซฟฮาร์ทอยู่ จนกระทั่งนาที 11(กว่าจะได้ยิงจริงนาที 13) จากลูกเตะมุม บอลตกใส่แอกเกอร์กระดกบอลเข้าไปโดนซาวิคสกัดเป็นจุดโทษ เจอราดรับหน้าที่ยิงไม่พลาด 1-0

             ขึ้นนำแล้วลิเวอร์พูลยังเล่นเหมือนเดิมและรูปเกมดูดีกว่าซิตี้ วันนี้เน้นขึ้นเกมทางฝั่งซ้ายที่มีดาวนิ่งกับจอห์นสัน โดยเฉพาะจอห์นสันที่เติมจนสุดเส้นตลอด แต่แล้วนาที 23 สเปียริ่งเจ็บเล่นต่อไม่ไหว อดัมได้ลงแทน โดยอดัมกับเจอราดยืนต่ำกว่าเฮนเดอร์สันเล็กน้อยคอยสกัดและคุมจังหวะเกม

             หลังจากนั้นเกมของลิเวอร์พูลเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ครองบอลได้น้อยลง ในขณะที่ซิตี้เริ่มยกระดับเกมของตัวเองขึ้นมาได้แต่ยังพาบอลไปไม่ถึงเขตโทษ นาที 39 บาโลเตลี่ถูกเปลี่ยนออก(เข้าใจว่าเพราะเจ็บ) เป็นนาสรี่ได้ลงมาแทน แดนกลางของซิตี้เริ่มทำเกมได้น่ากลัวมากขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรมากนักก็หมดครึ่งแรกไปก่อน

             เข้าครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลลงมาเล่นเกมรับเต็มตัวแล้วคอยหาจังหวะโต้ยาวให้คาโรลพักบอล เน้นเล่นจังหวะฉาบฉวยไม่ครองบอลบุก ส่วนซิตี้เปลี่ยนจังหวะของตัวเองได้ ครองบอลได้ต่อเนื่องและกดดันแนวรับลิเวอร์พูลได้ตั้งแต่ต้นเกม ยิ่งเล่นลิเวอร์พูลยิ่งถอยไปรับลึกมากขึ้น ครองบอลไม่ได้ โต้ไม่ขึ้น กลายเป็นซิตี้ได้ครองบอลอยู่เกือบตลอดเวลา

             นาที 60 เอนริเก้ถูกส่งลงมาแทนดาวนิ่ง ลิเวอร์พูลปรับมาเล่น 5-3-2 ดันเบลามี่ไปยืนใกล้กับคาโรลมากขึ้น เอนริเก้ยืนแบคซ้าย ส่วนจอห์นสันเข้าไปเล่นเป็นเซนเตอร์ตัวที่สามทางฝั่งขวา หันมารับมากขึ้นไปอีก ซิตี้หันมาขึ้นเกมทางฝั่งซ้าย(ทางเคลลี่)มากขึ้นแล้วค่อนข้างได้ผล บอลเริ่มเข้าใกล้เขตโทษมากขึ้นและมีโอกาสได้ลุ้นเป็นระยะ แต่บอลส่วนใหญ่ยังไม่เข้ากรอบ ไม่ก็ติดกองหลังไปก่อน

             นาที 72 มันชินี่ถอดเดอยองออกแล้วส่งโคราลอฟลงมาช่วยรุกอีกคน บุกกดดันลิเวอร์พูลอย่างหนักจนแทบโงหัวไม่ขึ้น นาที 80 ดัลกลิชส่งคาราเกอร์ลงมาแทนเบลามี่อีกคน ตั้งหน้าตั้งตาอุดลูกเดียว ไม่สนใจการครองบอลหรือโต้กลับแล้ว สกัดบอลทิ้งให้ไกลจากปากประตูไปเรื่อย 10 นาทีสุดท้ายซิตี้เข้ามาป้วนเปี้ยนแถวเขตโทษอยู่ตลอดได้โอกาสลุ้นประตูบ้างแต่ส่วนใหญ่ยิงไปติดแผงหลังที่ยืนกันในเขตโทษร่วม 5-6 ตลอดเวลา ส่วนบางลูกที่หลุดผ่านแผงหลังเข้าไปได้ก็ไม่เข้ากรอบ หรือไม่มีน้ำหนักพอที่จะเอาชนะเรน่า ทำให้จบเกมลิเวอร์พูลบุกมาเฉือนชนะซิตี้ไปได้ก่อนในนัดแรก 1-0
------------------------------------------

             ดัลกลิชจัดทีมมาเกือบเต็มที่ มีเพียงเคลลี่คนเดียวที่โผล่มาแทนเอนริเก้ได้ยังไงไม่รู้ นอกนั้นก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดเท่าที่ลิเวอร์พูลมีอยู่ตอนนี้แล้ว ที่น่าประทับใจคือช่วงต้นเกมนั้นลิเวอร์พูลบุกใส่ทันทีแล้วก็ทำไ้ด้ดีด้วย นอกจากจะได้ประตูแล้วก่อนหน้านั้นก็มีโอกาสได้ประตูอยู่หลายครั้ง รวมไปถึงการเปลี่ยนแทคติคในช่วงครึ่งหลังที่หันมารับเต็มที่ก็น่าสนใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคาโรลพักบอลไม่ได้หรือปล่าวที่ทำให้ดัลกลิชตัดสินใจปรับมาเล่นหลัง 5 แทนที่จะลุ้นจังหวะโต้กลับ เป็นครั้งแรกที่เห็นดัลกลิชเลือกแทคติค "ไม่เอา" แบบนี้ ปรกติยังไงก็ต้องเหลือช่องไว้โต้บ้าง แต่วันนี้อุดอย่างเดียวจริงๆ ส่วนการเปลี่ยนตัวอดัมกับคาราเกอร์นั้นไม่มีอะไรน่าแปลกใจ ที่ติดใจคือการตัดสินใจเก็บคาโรลเอาไว้มากกว่า มองจากตัวเกมอย่างเดียว คาโรลน่าจะโดนเปลี่ยนออกแล้วส่งเค้าท์ลงมาแทน ไม่ว่าจะยืนเป็นหน้าเป้าหรือสลับให้เบลามี่ขึ้นไป ถ้ามองแบบพยายามเข้าใจก็คงจะเป็นอยากให้โอกาสคาโรล ให้มีความมั่นใจมากขึ้นอะไรทำนองนั้น...แต่แฟนบอลหลายคนคงไม่เข้าใจด้วย (ผมด้วย)

             จุดเปลี่ยนสำคัญของเกมอยู่ที่การที่ลิเวอร์พูลเสียสเปียริ่งไป รวมถึงการที่ซิตี้ส่งนาสรี่ลงมาแทนบาโลเตลี่ มองทางสเปียริ่งก่อน หลังจากเสียเขาไป อดัมได้ลงมาแทนเท่ากับว่าลิเวอร์พูลไม่มีกลางรับแท้ๆ อยู่ในสนามเลยสักคน ทำให้จังหวะเกมแดนกลางเสียสมดุลย์ไปมาก ในเกมรับการเข้าสกัดของอดัมเสียฟาลว์หลายครั้ง ส่วนเฮนเดอร์สันเข้าบอลค่อนข้างน้อย(กว่าสเปียริ่ง) ในขณะที่เจอราดดูเหมือนจะยั้งในจังหวะ 50/50 ทำให้ซิตี้ครองบอลได้มากกว่าที่ควรจะเป็นเพราะสามารถเคาะกลับหลังหรือวนออกไปริมเส้นได้ง่าย ส่วนเกมรุกไม่ต้องพูดถึงเพราะกลายเป็นเจอราดยืนต่ำ เฮนเดอร์สันก็ขึ้นกล้าๆ กลัวๆ ไม่ค่อยวิ่งทำทางข้างหน้า อดัมก็มองยาวไปริมเส้นอย่างเดียวในขณะที่ปีกสองฝั่งลงมาช่วยเกมรับหมดแล้วทำให้วางบอลไปไม่ได้

             ส่วนทางฝั่งซิตี้หลังจากได้นาสรี่ลงมา ทำให้มีคนทำเกมในแดนกลางไม่ต้องให้กุนหรือบาโลเตลี่ถ่างออกมารับบอลทำเกมไกลจากเขตโทษเหมือนในช่วงต้นเกม กลายเป็นว่าเกมรุกดูลื่นไหลมากขึ้นประกอบกับกลาง 3 คนของลิเวอร์พูลแย่งบอลจากนาสรี่แทบไม่ได้ยิ่งไปกันใหญ่ จนกระทั่งกดดันให้ลิเวอร์พูลต้องลงไปรับในช่วงเวลาที่เหลือ

             สิ่งที่ตัดสินเกมนี้...แม้จะดูดิ้นรนกระเสือกกระสนไม่น้อย แต่สุดท้ายแ่น่นอนว่าลิเวอร์พูลเอาตัวรอดมาด้วยเกมรับ ในเมื่อ 1-1 หรือ 2-1 เอาไม่อยู่ ดัลกลิชเลยทั้งปรับแทคติค ทั้งส่งตัวผู้เล่นลงมาช่วย ไม่เน้นสวยงามแต่เอาประสิทธิภาพเข้าว่า ทางริมเส้นแม้เคลลี่จะมีปัญหาอยู่ตลอดเกมแต่พอมีจอห์นสันมาซ้อน ในขณะที่ตรงกลางยังมีทั้งแอกเกอร์กับสเคอเทลอยู่ทำให้บอลที่ครอสเข้ามาไม่อันตรายมากนัก และไม่สามารถไปถึงสุดเส้นได้ ในพื้นที่หน้าเขตโทษ แม้แผงกลางซิตี้จะพอต่อบอลหาจังหวะยิงไกลได้ แต่ข้างหน้าก็จะมีนักเตะลิเวอร์พูลร่วม 5-6 ขวางอยู่ตลอดจนบอลแทบไม่มีมุมให้ลอดไปเลย ส่วนเซโก้ที่ถูกส่งลงไปก็โดนประกบซ้ายขวาจากสเคอเทลและแอกเกอร์ตลอดจนหัวแทบจะไม่โดนบอล..ก็ต้องเรียกว่าเอาชนะกันด้วยจำนวนจริงๆ

             สุดท้ายเลยทำให้นึกถึงคำของมูรินโญ่สมัยยังคุมเชลซีอยู่ "ฝั่งตรงข้ามเล่นเหมือนเอารถบัสมาจอดขวางประตูไว้" วันนี้ลิเวอร์พูลเล่นให้เห็นภาพนั้นจริงๆ
----------------------------------

นัดนี้เล่นได้ไม่ถึงกับแย่ อันที่จริงต้องบอกว่าไม่เลวด้วยที่อุดอยู่

เรน่า - หน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดเกม โดนกดดันอยู่ตลอด แต่เรน่าทำไ้ด้ดีกับการออกมาปิดมุมเร็ว, ตัดบอลกลางอากาศ และมีจังหวะเซฟสวยๆ นิดหน่อย เป็นวันที่เล่นได้ดี

จอห์นสัน - โดนโยกไปเล่นทางซ้ายอีกครั้ังและทำได้พอใช้ จังหวะวิ่งเบียดและเข้าสกัดเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่เด็ดขาดแต่ก็พอจะทำให้คู่ต่อสู้เล่นไม่ถนัดได้บ้าง ช่วงที่ไปยืนซ้อนเคลลี่ในครึ่งหลังกลับทำได้ดีกว่าตอนที่เล่นแบคซ้าย

แอกเกอร์ - เข้าสกัดและขวางลูกยิงได้ดี เอาตัวรอดจากการโดนไล่ดีพอใช้ มีจังหวะสกัดผิดเหลี่ยมให้เห็นบ่อยครั้งในนัดนี้แต่ก็ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายอะไร

สเคอเทล - ครั้งเดียวที่สเคอเทลเล่นได้น่าตบกระโหลกคือท้ายครึ่งแรกที่สกัดบอลราวกับจ่ายบอลคืนให้ซิตี้มันซะอย่างนั้น แต่นอกนั้นก็เล่นได้ดีมาก โดยเฉพาะลูกกลางอากาศและการประกบกองหน้าไม่ให้พลิกยิง

เคลลี่ - เล่นได้ไม่ดีนัก นอกจากจะไม่มีโอกาสเติมเกมรุกแล้ว เกมรับที่เป็นหน้าที่อย่างเดียวในวันนี้ก็มีปัญหาบ่อยครั้ง ปล่อยให้คู่ต่อสู้ครอสได้ง่าย ทั้งยังจ่ายคืนหลังจนทีมเกือบพังอีกต่างหาก อย่างเดียวที่ดูดีอยู่คือไม่ปล่อยให้ใครพาบอลไปถึงสุดเส้นหรือวิ่งตัดหลังเข้าไปในเขตโทษเท่านั้น

ดาวนิ่ง - ช่วงต้นเกมประสานงานกับจอห์นสันเล่นเกมรุกได้ดีระดับนึง หลังจากนั้นก็เริ่มหายไปจนกระทั่งโดนเปลี่ยนตัวออก

สเปียริ่ง - ต้องออกจากเกมตั้งแต่กลางครึ่งแรก ยังไม่ได้ทำอะไรมากนักเพราะตอนที่ยังอยู่ในสนามทีมยังได้ครองบอลเล่นเกมรุกเป็นส่วนใหญ่

เฮนเดอร์สัน - ทำได้แค่วิ่งไล่ปิดพื้่นที่ ไม่มีบอลสวยๆ ที่ให้ไปทางพื้นที่ว่างเลย ที่ดูดีอยู่คือเอาตัวรอดจากจังหวะโดนไล่ได้ดี

เจอราด - ต้นเกมทำเกมรุกได้ดี หาโอกาสยิงได้ 2-3 ครั้งด้วย รวมไปถึงยิงจุดโทษได้เด็ดขาด แต่พอทีมหันไปตั้งรับ ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ดูจะแหยงๆ กับอาการบาดเจ็บอยู่ เข้าบอลไม่เต็มที่และหาโอกาสเล่นจังหวะโต้ได้ไม่มากนัก

เบลามี่ - ...หายสนิทตั้งแต่ต้นเกมยันโดนเปลี่ยนตัวออก แทบไม่ได้บอล และแทบไม่มีส่วนร่วมกับเกมเลย

คาโรล - พักบอลไม่อยู่ ทั้งๆ ที่หลายจังหวะที่ดวลตัวๆ กับซาวิคหรือเลสคอตแล้วอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าแต่กลับเก็บบอลไว้ไม่ได้ จ่ายบอลง่ายๆ ผิดพลาดหลายครั้งด้วย

ตัวสำรอง

อดัม - ไม่น่าเชื่อว่าจบเกมแบบไม่โดนใบเหลือง เสียฟาลว์ง่าย ที่ดีคือกัดไม่ปล่อย ตามไล่จนกว่าคู่ต่อสู้จะปล่อยบอล แต่นอกนั้นก็ไม่มีอะไรโดดเด่น

เอนริเก้ - เกมของซิตี้ไม่ค่อยขึ้นทางเขา ที่พอจะขึ้นไปบ้างเอนริเก้ก็จัดการได้เป็นส่วนใหญ่ เล่นไม่ได้แย่อะไร แต่เคยทำได้ดีกว่านี้

คาราเกอร์ - ลงไปช่วยเล่นเกมรับ และไม่มีอะไรมากไปกว่าปิดพื้นที่หน้าเขตโทษให้มันแน่นเข้าไปอีก

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : โฮเซ่ เรน่า...สเคอเทลกับแอกเกอร์เล่นได้ดีมาก แต่เรน่าเล่นได้ดีกว่านั้น กับการโดนกดดันอยู่ตลอดเกม เรน่าไม่มีจังหวะผิดพลาดให้เห็นเลยสักครั้ง ปิดมุมได้เร็ว ยืนตำแหน่งดี ลูกกลางอากาศที่เคยมีปัญหาให้เห็นเป็นระยะ วันนี้ก็ไม่พลาด

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

ลิเวอร์พูล 5 - 1 โอลแดม


...ขอขอบคุณโอลแดมมา ณ ที่นี้ด้วยครับ...
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-3-3 (4-2-3-1 หรือ 4-3-2-1 แล้วแต่ศรัทธา แต่ไม่ใช่ 4-5-1 แน่)


------มักซี่----------เค้าท์--------เบลามี่--------
--------เจอราด----สเปียริ่ง------เชลวี่ย์--------
ออเรลิโอ----โคอาเตส----คาราเกอร์----เคลลี่
-----------------------เรน่า-----------------------

            ลิเวอร์พูลเตะในเกม FA Cup เปิดบ้านรับโอลแดม ดัลกลิชปรับทีมค่อนข้างมาก เปลี่ยนแทคติคมาเล่นหน้า 3 เค้าท์เป็นตัวเป้าโดยมีมักซี่กับเบลามี่เล่นริมซ้ายและขวา แดนกลาง 3 คน มีเจอราดกับเชลวี่ย์ทำเกมรุก ตัวรับเป็นสเปียริ่ง ในขณะที่แผงหลังมีชื่อออเรลิโอกับเคลลี่กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง พร้อมด้วยคู่เซนเตอร์ตัวจริง(บอลถ้วย)อย่างโคอาเตสกับคาราเกอร์ ส่วนตำแหน่งผู้รักษาประตูเรน่าปล้นมาจากโดนี่แบบงงๆ

-------------------------------------------------------

            เริ่มเกมก็ได้กลิ่นอายฟุตบอลอังกฤษแท้ๆ ลอยออกมาจากจอกันเลยทีเดียว ทั้งสองฝ่ายวิ่งไล่เข้าหาบอลกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่ค่อยครองบอลและเน้นเล่นเร็ว เห็นเพื่อนยืนอยู่ข้างหน้าก็หวดตูมขึ้นไป และเป็นโอลแดมที่ทำได้ดีกว่าเล็กน้อยในการวิ่งไล่บอลจนลิเวอร์พูลตั้งเกมของตัวเองได้ลำบาก และหาอาศัยบอลเร็วบุกเข้าใส่ได้เป็นชุด หาโอกาสลุ้นทำประตูได้ด้วยอีกต่างหาก แต่ยังทำไม่สำเร็จ


            ทางฝั่งลิเวอร์พูลเองก็เล่นกันเร็ว โดยเกมส่วนใหญ่ขึ้นโดยเจอราด ทั้งล้วงบอล ทั้งพาบอลไปเอง เปิดเองอีกต่างหากและเป็นเกมรุกทางฝั่งขวาของเบลามี่ที่ทะลุึขึ้นไปป้วน เปี้ยนใกล้เขตโทษได้เป็นระยะ แต่จังหวะลุ้นประตูยังน้อยอยู่ นาที 28 กลับเป็นโอลแดมที่พลิกขึ้นนำได้ก่อน จากจังหวะยิงไกลนอกเขตโทษ บอลพุ่งแรงและเร็วเสียบเสาแรกเข้าไปให้ทีมเยือนนำ 1-0 แบบช็อคแฟนบอลเจ้าถิ่น


            แต่เพียง 2 นาทีถัดมา ลิเวอร์พูลบุกขึ้นมาได้ถึงเขตโทษ เชลวี่ย์ได้บอลแถวมุมกรอบเขตโทษด้านขวายิงไปโดนเบลามี่บอลเปลี่ยนทางเข้าเสาแรกไปให้ทีมตีเสมอได้อย่างรวดเร็ว 1-1


           โอลแดมยังคงบุกต่ออย่างบ้าคลั่ง เปิดเกมแลกกับลิเวอร์พูลอย่างสนุก แต่รูปเกมเริ่มเทมาทางลิเวอร์พูลมากขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะการออกบอลยาวไปที่ว่างซึ่งบุกกดดันโอลแดมได้อยู่ตลอด และมาได้จุดโทษจากจังหวะโต้กลับในนาที 45 เจอราดรับหน้าที่ยิงไม่พลาดให้ทีมขึ้นนำ 2-1 ก่อนจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ดังกล่้าว


            เข้าครึ่งหลัง โอลแดมก็ยังไม่เปลี่ยนเกมอะไร ดันกันขึ้นมาสูงเปิดเกมรุกเต็มที่แต่เริ่มกดดันแนวรับลิเวอร์พูลได้น้อยลง ส่วนลิเวอร์พูลเองก็มีช่องและมีพื้นที่ให้โต้ได้ตามสบาย แม้จะมีปัญหากับการครองบอลและการขึงเกมรุกอยู่บ้าง แต่เกมของโอลแดมเองก็ไม่ได้มีอะไรมากนักจึงทำให้ลิเวอร์พูลเล่นได้อย่างไม่กดดัน


            ลิเวอร์พูลมาได้เพิ่มอีกในนาที 68 เชลวี่ย์ตัดบอลได้หน้าเขตโทษโอลแดม จ่ายต่อให้เบลามี่หักเข้ากลางแล้วเป็นเชลวี่ย์ที่เข้าไปยิงเองให้ทีมนำห่าง 3-1 หลังจากนั้นนาที 71 ฟลานาแกนก็ได้ลงมาแทนออเรลิโอโดยเล่นแทนในตำแหน่งแบคซ้ายเลย

            โอลแดมยังคงเล่นเอามันต่อไป แต่บอลแทบจะไปไม่ถึงเขตโทษลิเวอร์พูลแล้ว ส่วนลิเวอร์พูลเริ่มปล่อยให้เชลวี่ย์ทำเกมเป็นส่วนใหญ่แล้วถอยเจอราดลงต่ำ เล็กน้อยคอยคุมจังหวะแล้วทำให้การครองบอลดูดีขึ้น นาที 75 ดาวนิ่งได้ลงแทนเบลามี่ ถึงตรงนี้เกมรุกของลิเวอร์พูลเริ่มเน้นเจาะตรงกลางมากขึ้น

            นาที 87 คาโรลได้ลงแทนเค้าท์และอีกสองนาทีถัดมา เจ้าตัวก็ได้จังหวะเอี้ยวตัวยิงนอกเขตโทษเข้าไปได้อย่างสวยงาม ส่งให้ลิเวอร์พูลนำขาด 4-1 เท่านั้นยังไม่พอ นาทีสุดท้ายของการทดเวลา เจอราดได้โอกาสยิงไกลแถวมุมเขตโทษ บอลติดเซฟแต่กระดอนข้ามมาเสาสองเข้าทางดาวนิ่งฮาล์ฟวอลเล่ย์เข้าไปได้เป็น 5-1 และเป็นประตูแรกของเจ้าตัวด้วย ทำให้จบเกมลิเวอร์พูลชนะไปท่วมท้น 5-1
------------------------------------------

            ดัลกลิชปรับทีมมากเหลือเกินในนัดนี้ แน่นอนว่านักเตะหลายคนอย่างโคอาเตส, คาราเกอร์, มักซี่, เค้าท์ มักจะได้ลงในบอลถ้วยอยู่แล้ว แต่นัดนี้ยังมีออเรลิโอ, เชลวี่ย์, เคลลี่โผล่มาจอยอีก ในขณะที่นักเตะสำคัญอย่างเจอราดก็พึ่งจะได้เป็นตัวจริงนัดแรกหลังหายเจ็บ กลับมา แค่เปลี่ยนนักเตะยังไม่พอ ดัลกลิชยังปรับแทคติคอีกด้วยโดยใช้ผู้เล่นในแดนหน้าถึง 3 คน โดยตัวริมเส้นอย่างมักซี่และเบลามี่ลงมาช่วยเกมรับแค่ครึ่งสนาม ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกองกลางกองหลังไป ดูออกจะประมาทโอลแดมไม่น้อย รูปเกมในช่วงต้นเกมก็ชี้ชวนให้เข้าใจอย่างนั้น เมื่อกลางที่มีน้อยกว่าแถมไม่ค่อยสัดทัดเกมรับหยุดโอลแดมไม่อยู่ รวมไปถึงแผงหลังที่นัดกันออกทะเล หลงตำแหน่งและเข้าประกบช้า,ประกบห่าง จนทำให้เสียประตูแรกไปก่อนในที่สุด


            อย่างไรก็ตาม ยิ่งเล่นไปก็ยิ่งเข้าใจว่าทำไมดัลกลิชถึงกล้าประมาท โอลแดมไม่มีอะไรมาสู้จริงๆ และนี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พวกเขาแพ้เละเทะด้วย คือนอกจากลูกยิงผีจับยัดลูกนั้นแล้ว พวกเขาขึ้นเกมแบบมั่วซั่ว สักแต่ว่าเปิดบอลไปให้เพื่อนเร็วๆ แล้วดันกันขึ้นไปสูงๆ คิกแอนด์โฮฟแบบต้นตำรับกันเลยทีเดียว(ถึงจะโยนโด่งไม่มากนักก็ตาม) ไม่มีการครองบอล ไม่มีการชะลดเกมในจังหวะที่ควรชลอ แผงหลังก็ดันกันขึ้นไปสุ่มสี่สุ่มห้าจนเปิดโอกาสให้ลิเวอร์พูลได้ซ้อมเกมโต้ กลับกันทั้งเกม นอกจากเกมรุกแล้ว เกมรับก็เข้าขั้นมหันตภัย ลูกแรกกับลูกที่สามเป็นการเสียประตูที่รับรองว่าเราจะไม่ได้เห็นจากเกมในระ ดับพรีเมียร์ลีคบ่อยนักแน่ๆ ส่วนลูกที่สองกับสี่ก็เป็นการเสียประตูที่เพราะดันกันขึ้นไปสูงแบบไม่ดูตามาตาเรือจนโดยโต้กลับไส้แตกด้วย


             ...ก็คงต้องยกเครติดให้ดัลกลิชไปที่กล้าใส่เต็มๆ ไม่คิดอะไรมาก ไม่ต้องเอาเกมสวยด้วยการขึงพืดครึ่งสนาม แค่บุกโต้มันเข้าไปเป็นพอ...เกินพอด้วยซ้ำเกือบครึ่งโหลแหน่ะ...


            แม้จะชนะด้วยสกอร์ห่างถึง 5-1 แต่วันนี้เกมของลิเวอร์พูลยังผิดพลาดค่อนข้างมากโดยเฉพาะเกมรับและการครอง เกม แดนกลางแม้จะมีน้อยแต่ก็ควรจะทำได้ดีกว่านี้ ส่วนแนวรับแม้ว่าจะต้องมาเจอบอลที่ทะลักเข้ามาบ่อยๆ แต่ด้วยคุณภาพตัวผู้เ่ล่นของโอลแดมแล้วต้องถอดหายใจเฮือกใหญ่ๆ เหมือนกันเพราะไม่น่าเชื่อว่าแนวรุกระดับนี้จะสามารถสร้างปัญหาให้แผงหลังลิ เวอร์พูลได้ขนาดนั้น(โดยเฉพาะช่วงต้นเกม) ดูแล้วคงต้องลุ้นให้แนวรับตัวหลัก 4 คนห้ามเจ็บห้ามป่วยห้ามตายกันล่ะ



----------------------------------

นัดนี้เล่นได้ดีบ้างไม่ดีบ้าง


เรน่า - หน้าตาดูไม่มีความมั่นใจยังไงไม่รู้ แต่งานส่วนมากก็แค่ออกมารับบอลโยนที่เลยมา ลูกที่เสียไปคงโทษเขาไม่ได้ เพราะคนที่ปัดลูกแบบนั้นได้คงต้องตัวเท่าปีเตอร์เชคแล้วเร็วเท่าการ์ซียาส


ออเรลิโอ - 15 นาทีแรกเล่นเอาเครียด แต่ก็กลับขึ้นฝั่งได้ทันเพราะหลังจากนั้นก็ลดข้อผิดพลาดน้อยลงจนแทบไม่มี


โคอาเตส - ดูจะมีปัญหากับเกมเร็วและการเข้าปะทะ หลายครั้งที่เข้าประกบคู่ต่อสู้ช้าและเข้าบอลช้าเกินไป


คาราเกอร์ - ฟอร์มรูดลงไปยิ่งกว่าช่วงต้นฤดูกาล คงต้องนั่งสำรองต่ออีกนาน


เคลลี่ - ขยันเติมเกมดีและทำเกมรุกได้พอใช้ มีไอเดียในการทำเกมรุก ปัญหาคือขึ้นแล้วลงไม่ค่อยทันและเข้าสกัดผิดพลาดผิดเหลี่ยมให้เห็นอยู่เหมือนกัน


เชลวี่ย์ - เร่งเกมตลอดเวลา ไม่ค่อยมีจังหวะผ่อน เล่นเกมรุกได้ดุดันดีทั้งการพาขึ้นไปเอง,จ่ายทะลุและเข้าไปเติมแถวสอง มีผลงานในเกมรุกที่ไม่ด้อยไปกว่าเจอราดเลย แต่ดูจะไม่ระวังในการปิดพื้นที่ในเกมรับสักเท่าไหร่


สเปียริ่ง - อ่านเกมได้ไม่ดีเลย ยืนผิดตำแหน่งบ่อยมากทั้งในจังหวะเกมรุกที่ต้องรองบอลที่เพื่อนขึ้นต่อไม่ ได้ และเกมรับที่จะช่วยชะลอเกมคู่ต่อสู้ สภาพร่างกาย,ความขยันและการเข้าปะทะนั้นดูดีแล้วแต่คงต้องจับกรอกเปปทีนอีก เยอะๆ เลยถ้าคิดจะใช้งานระยะยาว


เจอราด - ครึ่งแรกแย่งซีนเด็กๆ หมด ทำเกมด้วยตัวเองมากเกินไป ลงไปล้วงบอลถึงหน้าเขตโทษและทำเกมเองจนถึงจังหวะสุดท้าย ถึงจะทำได้ดีแต่กลายเป็นว่าลิเวอร์พูลไม่ได้ใช้ประโยชน์จากนักเตะคนอื่นๆ เท่าที่ควร (ครึ่งแรกเชลวี่ย์แทบไม่ได้ทำเกม และทั้งเกมมักซี่กับสเปียริ่งเกือบหายไปเลย) ส่วนครึ่งหลังที่ถอยต่ำลงนิดหน่อยแล้วปล่อยให้เชลวี่ย์ทำเกมเป็นหลัก ดูจะทำให้ทีมมีสมดุลย์ดีกว่าในครึ่งแรก


มักซี่ - ไม่มีโอกาสได้ทำเกมมากนักเพราะบอลส่วนใหญ่ไปขึ้นทางเบลามี่หมด แต่ยังหุบเข้ามาหาจังหวะยิงได้ดีเช่นเคย เพียงแต่ไม่เป็นประตูทั้งๆ ที่ควรยิงได้อย่างน้อย 1 ลูก ตอนนาที 92 ที่กล้องจับไปแทบช็อค เพราะลืมไปแล้วว่ามักซี่ยังอยู่ในสนาม นี่สรุปครึี่งหลังเล่นกันแค่ 10 คนใช่มั้ย?


เค้าท์ - ในฐานะกองหน้า...ไม่ไหวแล้วจริงๆ หลายครั้งที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าคนประกบแต่กลับครองบอลไม่ได้ซะอย่างนั้น แค่ข้อดีที่ยังมีอยู่คือหลังจากให้บอลไปแล้วเค้าท์จะรีบวิ่งทำทางเข้าไปในเขตโทษทันที รวมไปถึงจังหวะที่เพื่อนจะเปิดบอลเข้าในกรอบ เค้าท์จะวิ่งส่ายหาที่่ว่างตลอด ช่วยดึงตัวประกบและเปิดทางให้เพื่อนได้ดีโดยเฉพาะเบลามี่, เจอราด, เชลวี่ย์ เล่นง่ายขึ้นเยอะ


เบลามี่ - ในวัย 30 อัพแบบนี้ กลายเป็นว่าเบลามี่ใช้ความเร็วความคล่องตัวกดดันฝ่ายตรงข้ามได้ดีกว่ารุ่น น้องในทีมซะอีก การวิ่งทำทางและการเปิดบอลเข้ากลางนัดนี้ถือว่าสุดยอด มีส่วนร่วมกับเกมรุกและการทำประตูของทีมอยู่ตลอด


ตัวสำรอง

ฟลานาแกน - ลงมาในจังหวะที่ทีมตั้งสติได้แล้วเลยโชคดีไป ไม่มีข้อผิดพลาดอะไร

ดาวนิ่ง - พอลงมาเพื่อนไม่ค่อยจ่ายบอลให้ซะงั้น หันไปเจาะตรงกลางแทนเลยได้บอลน้อยไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็ยิงได้แล้วและยิงได้ดีด้วย


คาโรล - ยิงได้หล่อมาก แต่โหม่งได้...มาก (หาดูไฮไลท์ในนาที 94 ที่ได้โหม่งจ่อๆ ขึ้นคนเดียวประกรอบ) เอาเป็นว่าเลิกให้บอลโ่ด่งเกินหัวเข่าคาโรลกันดูดีมั้ย...อาจจะแฮททริคทุก นัดก็ได้นะ


แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : เคร็ก เบลามี่...จะว่าไปแล้ว รู้สึกว่านัดไหนที่ได้ลงตัวจริง ผมจะเลือกเขาเป็น MOM เกือบทุกนัดเลยนะ

 Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3 - 0 ลิเวอร์พูล



...รูรั่วแค่หัวเข็ม ทำเขื่อนแตกได้...

--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-5-1

----------------------คาโรล----------------------
ดาวนิ่ง---อดัม---สเปียริ่ง--เฮนเดอร์สัน--เค้าท์
เอนริเก้---แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน
-----------------------เรน่า-----------------------

          ลิเวอร์พูลเปิดเกมแรกของปีด้วยการออกไปเยือนซิตี้ ดัลกลิชปรับนักเตะคนเดียวโดยส่งเค้าท์ลงเป็นตัวจริงทางฝั่งขวาแล้วโยกดาว นิ่งไปเล่นทางซ้าย นอกนั้นยังเป็นทีมชุดเดิม

-------------------------------------------------------

          ซิติ้เริ่มเกมแบบระมัดระวัง เน้นครองบอลไม่เร่งจังหวะ แต่เมื่อเสียบอลแล้วจะเข้าไล่เร็วตั้งแต่แดนหน้า ต้นเกมลิเวอร์พูลมีจังหวะลุ้นจากดาวนิ่งที่ได้บอลยาวหลุดเดี่ยวเข้าไปในเขต โทษแต่ยิงติดเซฟ หลังจากนั้นลิเวอร์พูลก็ตั้งเกมของตัวเองได้ลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังต้องมาเสียประตูเร็ว แค่นาที 10 ที่ซิตี้เพรซซิ่งแย่งบอลมาได้ แล้วเป็นกุนที่ยิงไกลจากนอกกรอบบอลมุดลอดเรน่าเข้าไปใ้ห้เจ้าบ้านขึ้นนำ 1-0


          หลังจากเสียประตูลิเวอร์พูลดูจะมีอาการอยู่ราวๆ 5 นาที แต่หลังจากนั้นก็รวบรวมสมาธิกลับมาครองบอลได้บ้าง ทำเกมรุกกดดันได้เป็นระยะ แต่ยังไม่ดีพอจะหาโอกาสจบสกอร์แบบได้ลุ้น เกมค่อนข้างสูสีและเล่นกันเร็วโดยเป็นฝั่งซิตี้ที่กดดันได้มากกว่าเล็กน้อย จนกระทั่งนาที 33 ซิตี้มาได้เพิ่มจากลูกเตะมุม ตูเร่ขึ้นถึงบอลก่อนจอห์นสันโหม่งเช็ดคานเข้าไปได้เป็น 2-0


           เมื่อสกอร์เปลี่ยน เกมทั้งสองฝ่ายดูช้าลงไป ลิเวอร์พูลเริ่มหันมาเน้นขึ้นทางซ้ายมากขึ้นแต่ก็ทำได้แค่ครอสบอลเข้าไป ตั้งแต่ยังไม่ถึงเส้นหลัง ส่วนซิติ้บุกน้อยลงแต่บุกขึ้นมาแต่ละครั้งทะลุมาถึงหน้าเขตโทษเกือบตลอด จนกระทั่งจบครึ่งแรกที่ 2-0


          เข้าครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลเร่งเกมตั้งแต่เริ่ม พยายามออกบอลกันเร็วขึ้นส่วนจังหวะเข้าทำเน้นบอลโด่งเป็นหลัก แต่ทางด้านซิตี้ก็ยังรับมือได้ดีทั้งการปิดพื้นที่แดนกลางไม่ให้ลิเวอร์พู ลขึ้นบอลได้ง่าย รวมไปถึงการสกัดบอลโด่งก็ยังรับมือคาโรลได้ดีอยู่ นาที 57 เจอราดกับเบลามี่ได้ลงแทนอดัมกับเค้าท์


          ผ่าน 1 ชั่วโมงของเกมไป ซิตี้เริ่มหันมาเน้นรับต่ำมากขึ้น ทำให้ลิเวอร์พูลพาบอลเลยครึ่งสนามและครองบอลกันได้มากขึ้น แต่แทบจะไม่สามารถพาบอลไปถึงพื้นที่สุดท้ายได้เลย อย่างไรก็ตามลิเวอร์พูลดูจะมีลุ้นขึ้นเล็กน้อยเมื่อนาที 73 แบรี่ไปขวางแอกเกอร์จังหวะพาบอลขึ้นมาโดนใบเหลืองที่สอง ทำให้ซิตี้เหลือ 10 คน


          แต่แล้วจากจังหวะต่อเนื่อง ลิเวอร์พูลเล่นลูกฟรีคิกกันผิดพลาด ซิตี้ตัดบอลได้แล้วสวนเร็วขึ้นมา ตูเร่ลากบอลเข้ามาถึงเส้นเขตโทษ แล้วเป็นสเคอเทลที่เข้าผิดจังหวะเสียจุดโทษ ทำให้ซิตี้ยิ่งนำห่างออกไปอีกเป็น 3-0 ดัลกลิชทิ้งไพ่ใบสุดท้ายส่งมักซี่ลงแทนสเปียริ่งทันที แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ลิเวอร์พูลไม่สามารถเจาะแนวรับของซิตี้ได้ กลับเป็นฝั่งซิตี้ที่ใช้บอลโต้เร็วกลับมากดดันลิเวอร์พูลได้เป็นระยะ จนกระทั่งจบเกม ซิตี้เอาชนะไปได้ 3-0

------------------------------------------

          ดัลกลิชตัดสินใจส่งเค้าท์ลงมาแทนเบลามี่ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะต้องการการเพรซซิ่งและการปิดพื้นที่แดนกลางให้เด็ดขาด มากกว่าที่เปิดเกมกดดันทางริมเส้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ลิเวอร์พูลเคยใช้ได้ผลในการเจอกับทีมใหญ่มาก่อน แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้ผล ในเกมรับ นอกจากเค้าท์จะเล่นได้ดรอปลงไปแล้ว อดัมกับเฮนเดอร์สันที่ไล่อยู่ข้างหน้าก็ชะลอเกมของซิตี้ไม่ได้เลย บอลจะทะลุเข้ามาถึงหน้าเขตโทษอยู่ตลอด รวมไปถึงสเปียริ่งเองก็ทำได้แค่ับังทางเป็นส่วนใหญ่ ไม่สามารถสกัดหรือแย่งบอลมาได้สักเท่าไหร่ ส่วนในเกมรุกกับกลายเป็นว่าซิตี้ไล่เพรซซิ่งได้เร็วกว่าและช่วยกันไ่ล่ได้ดี ทุกคนจนกระทั่งลิเวอร์พูลขึ้นบอลกันยากลำบากตลอดเกม และถูกบีบให้ต้องไปเล่นริมเส้นอยู่ตลอดเพราะตรงกลางเจาะเข้าไปแทบไม่ได้เลย

           แทคติคแผงกลาง 5 คน แต่คุมแดนกลางไม่อยู่ทั้งเกมรุกเกมรับก็เลยเอาตัวรอดกลับออกไปไม่ได้

          อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เกมนี้ตกอยู่ในมือของซิตี้ตลอดเกม มาจากความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ของทางฝั่งลิเวอร์พูลเองที่เล่นกันได้ไม่ละเอียดในบางจังหวะ โดยเฉพาะลูกแรกกับลูกที่สามที่ไม่ควรพลาดง่ายขนาดนั้น ทำให้ทีมต้องเล่นด้วยความกดดันตลอดเกม รวมไปถึงจังหวะลุ้นเดี่ยวที่ถ้าเลือกช็อตเล่นให้ดีกว่านั้น อาจทำให้ทั้งเกมเปลี่ยนไปเลยก็ได้


          มองทางฝั่งซิตี้ วันนี้พวกเขาชนะได้อย่างเด็ดขาดจริงๆ ช่วยกันวิ่งไล่ได้ดีทั้งเกม ซิตี้ทำได้ดีในเกมรับ ตูเร่กับแบรี่ปิดตรงกลางได้สนิทจนลิเวอร์พูลเจาะตรงกลางไม่เข้าไม่ว่าจะเป็น อดัม เฮนเดอร์สัน สเปียริ่ง เจอราด ส่วนทางริมเส้น ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวา ปีกจะลงไปช่วยแบคตลอด แทบจะไม่เห็นมีจังหวะที่แบคซิตี้ต้องดวลเดี่ยวกับนักเตะลิเวอร์พูลเลย และสุดท้ายคือคู่เซ็นเตอร์ที่ประกบคาโรลได้ดี ถึงแม้ว่าจะดูมีปัญหาในช่วงๆ ต้นเกม แต่ก็รับมือได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งคาโรลทำอะไรไม่ได้ไปในที่สุด


          ส่วนเกมรุก แม้จะหาโอกาสยิงได้น้่อยกว่านัดที่ผ่านๆ มา เกมรุกที่เคยวูวาบกดดันคู่ต่อสู้หนักหน่วงวันนี้ค่อนข้างแผ่ว ไม่มีจังหวะการเล่นเกมรุกที่ตื่นตาตื่นใจมากนั แต่ก็อาศัยรูรั่วเล็กๆ ค่อยๆ เจาะลิเวอร์พูลเข้าไปได้ทีละลูก...ละลูก สุดท้ายกลายเป็นสกอร์ไหลทะลักไปถึง 3 ลูก....ได้มากกว่าวันที่เปิดเกมรุกบ้าคลั่งซะอีก

          ...แพ้จริงๆ ครับ งานนี้...

----------------------------------

นัดนี้เล่นได้ไม่ถึงกับแย่ (แต่บังเอิญคู่ต่อสู้เล่นดีมาก)


เรน่า - อ่านทางบอลพลาดตอนเสียประตูแรก ดูจากเท้าแล้วเข้าใจว่าเรน่าอ่านทางบอลว่ากุนจะปั่นไปเสาไกล พอบอลลอดแอกเกอร์มาก็เลยล้มผิดจังหวะ หลังจากนั้นแม้หน้าตาจะดูหลอนๆ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดเพิ่มเติม จังหวะเสียประตูที่สองก็อุตส่าห์เซฟให้ ลูกนึงแล้ว มาโดนอีกลูกที่บอลมาเร็วและเช็ดคานขนาดนั้นก็คงปัดไม่ทันจริงๆ ....ลูกที่สามไม่ต้องพูดถึง


เอนริเก้ - ไม่ค่อยได้เล่นเกมรับ แถมกลายเป็นคนขึ้นเกมรุกตัวหลักมันไปซะอย่างนั้น ลากบอลไปเองอย่างหวาดเสียวว่าจะโดนตัดแต่ก็พอเอาตัวรอดได้ จังหวะสุดท้่ายโยนพอได้ลุ้น แต่ก็ได้แค่ลุ้น


แอกเกอร์ - ลูกแรกก็เข้าบอลค่อนข้างช้า น่าจะวิ่งไปปิดมุมได้ดีกว่านี้ โดยรวมแล้วยังหยุดไม่ให้กองหน้าได้พลิกยิงได้อยู่ แต่ตัดบอลไม่ได้และแรงปะทะยังดูด้อยกว่าเซโก้ในหลายจังหวะ อย่างไรก็ตาม จังหวะที่เรียกใบเหลืองที่สองจากแบรี่ได้นั่นทำได้สุดยอดจริง ลากผ่านซิตี้ไปได้ตั้งสามคนเรียกฟาลว์ได้อีกต่างหาก


สเคอเทล - มีปัญหาตลอดเกมทั้งลูกกลางอากาศ การเบียดปะทะ และการเข้าสกัด ทำได้แค่ประคองตัวไม่ให้คู่ต่อสู้ได้ยิงในเขตโทษเท่านั้นแต่หยุดกการทำเกม ของกองหน้าไม่ได้ พลาดในจังหวะทำเสียจุดโทษอีกต่างหาก ซึ่งจริงๆ โดยรวมแล้วอยากจะให้เครดิตเซโก้ที่ทำได้ดี มากกว่าที่จะบอกว่าสเคอเทลฟอร์มหลุด


จอห์นสัน - เป็นวันที่ไม่ค่อยได้เล่นเกมรับเช่นกัน แต่เกมรุกแม้จะพยายามหลายครั้งก็ฝ่ากลีชี่ไม่ไ้ด้


ดาวนิ่ง - ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกเล่นได้หวือหวา มีความเร็วและกระชากบอลไปได้ดี แต่หลังจากที่ซิตี้เริ่มหันมาเล่นเกมรับมากขึ้นก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก


อดัม - เล่นดี..ไม่พอ โดยเฉพาะในวันที่ต้องเจอกับตูเร่และแบรี่ที่เล่นได้ดีทั้งคู่ อดัมคิดช้า ทำช้าเกินไปสำหรับคู่ต่อสู้ระดับนี้


เฮนเดอร์สัน - คุมจังหวะเกมได้ดีกว่าอดัม ช่วยเกมรับได้พอๆ กับสเปียริ่ง แต่การออกบอลเพื่อนไม่ได้เปรียบเลย ช่วยอะไรได้ไม่มากนัก


สเปียริ่ง - แย่งบอลได้น้อยคือปัญหาหลักของสเปียริ่งวัีนนี้ ทำให้ภาระตกไปอยู่กับคู่เซนเตอร์เยอะมากกว่าที่ควรจะเป็น ส่วนปัญหารองคือการเก็บบอลจังหวะสองที่ทำได้ไม่ค่อยจะดีเช่นกัน


เค้าท์ - เป็นไพ่หลักในการออกสตาร์ทเกมในวันนี้ แต่เค้าท์ทำไม่ได้อย่างที่เคยทำ, อย่างที่ดัลกลิชและแฟนบอลและเจ้าตัวหวัง ดูเหมือนว่าการได้ลงบ้างไม่ได้ลงบ้างแทนที่จะทำให้เค้าท์ฟิตและมีความมุ่ง มั่นกับเกม กลับกลายเป็นเข้ารกเข้าพงแทน


คาโรล - เป็นวันที่เล่นได้ดีระดับนึงเลย โดยเฉพาะช่วงครึ่งชั่วโมงแรกที่เอาชนะในจังหวะที่ขึ้นดวลตัวๆ กับเซนเตอร์ พักบอลได้บ้าง โหม่งชงได้บ้าง แต่หลังจากที่ซิตี้ลงไปรับ แล้วโดนประกบหน้าประกบหลังประกบซ้ายประกบขวา...ตายสนิท (โปรดดูเทปย้อนหลังในช่วง 30 นาทีสุดท้ายของเกมจะได้อรรถรสมาก)


ตัวสำรอง

เจอราด - เคลื่อนที่มากกว่าอดัม อดัมเคลื่อนที่เป็นแนวตรงจากเขตโทษถึงเขตโทษเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่เจอราดขยับออกซ้ายขวาด้วย มีบอลยาวให้ไปที่ว่างมุมธงเป็นระยะ แต่สุดท้ายก็ยังฝ่าเกมรับซิตี้เข้าไปไม่ได้


เบลามี่ - เล่นได้หวือหวาอยู่ประมาณ 5 นาที หลังจากนั้นก็โดนล็อคตาย หายสนิทตามคาโรลไปอีกคน

มักซี่ - ได้อยู่ในสนามราว 15 นาที ได้แตะบอลประมาณ 4-5 ครั้ง ได้ยิงในจังหวะที่โดนเร่ง 1 ครั้ง...นั่นคือทั้งหมดที่ได้ทำแล้ว

ป.ล. แบรี่โดนไล่ออกง่ายไปหน่อยนะ กรรมการโคตรใจร้ายเลย

 Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.