วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เชลซี 0 - 2 ลิเวอร์พูล


กำแพงสีแดง
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลยังคงเล่น 4-5-1

---------------------คาโรล-----------------------
มักซี่---สเปียริ่ง---เบลามี่---ลูคัส--เฮนเดอร์สัน
เอนริเก้----โคอาเตส-----คาราเกอร์-----เคลลี่
-----------------------เรน่า-----------------------

       ตอนจบของหนังไตรภาค นัดนี้เป็นบอลถ้วอยคาร์ลิ่ง คัพ ซึ่งลิเวอร์พูลต้องกลับไปเล่นที่สแตมฟอร์ด บริดจ์อีกครั้ง หลังจากที่ 9 วันก่อนก็พึ่งเตะที่นี่ ปรับนักเตะหลายตำแหน่งจากนัดที่แล้ว โดยในแดนหน้า ซัวเรส ได้พักเป็นคาโรลที่ได้กลับมาเป็นตัวจริง ส่วนแผงกลางนักเตะตัวจริงชุดบอลถ้วยอย่างมักซี่และเบลามี่ได้ลงสนาม ส่วนในแดนหลังเปลี่ยนถึงสามคน คู่เซนเตอร์เป็นโคอาเตสกับคาราเกอร์ และเคลลี่ได้ลงในตำแหน่งแบคขวา ทางฝั่งเชลซีเล่น 4-3-3 วางตอเรสเป็นหน้าเป้า และมีนักเตะดาวรุ่งอย่างแมคอีชลันกับเบลฟรานลงเป็นตัวจริง

-------------------------------------------------------

       เริ่มเกมมาทั้งสองฝั่งก็วิ่งใส่กันทันที เกมเร็วและสู้กันบนพื้นเป็นส่วนใหญ่ ลิเวอร์ในจังหวะเข้าทำเน้นให้แบคซ้าย - ขวาเติมขึ้นมาโยนไปให้คาโรล ส่วนเชลซีใช้บอลสั้นค่อยๆ เจาะเข้าไปจากตรงกลาง และเป็นเชลซีที่ครองบอลเปิดเกมรุกเข้าใส่ ส่วนลิเวอร์พูลเล่นรัดกุม แนวรับถ้าโดนไล่จะสาดบอลยาวทันที


       ลิเวอร์พูลมีโอกาสลุ้นประตูก่อน นาที 21 จากจังหวะคาโรลเบียดโหม่งกับอเล็กซ์แล้วอเล็กซ์ไปทำแฮนด์บอล เสียจุดโทษ คาโรลรับหน้าที่ยิงเองแต่ยิงได้ไม่ดีพอ ไปติดเซฟของเทิร์นบูล หลังจากนั้นก็เป็นเชลซีที่ได้ครองบอลมากกว่า แต่ยังเจาะแนวรับลิเวอร์พูลเข้าไปไม่ได้ ส่วนลิเวอร์พูลโจมตีโดยไปที่การเล่นของเบลามี่กับเอนริเก้ทางฝั่งซ้ายเป็นหลัก

       เวลาที่เหลืออยู่้ทั้งสองฝ่ายยังทำอะไรกันแทบไม่ได้ ก่อนจะจบครึ่งแรกที่สกอร์ 0-0

       เข้าครึ่งหลัง เชลซีเริ่มดันแผงหลังสูงขึ้น ส่วนลิเวอร์พูลสลับตำแหน่งเอาเฮนเดอร์สันเข้ากลางแล้วโยกเบลามี่ไปขึ้นทางขวาแทน มีจังหวะเล่นโต้กลับมากกว่าในครึ่งแรก นาที 55 เชลซีได้ลูกฟรีคิกแล้วเป็นมาลูด้าเข้าชาร์จถึงบอลแต่บอลไปชนคาน ตกลงมาเข้าทางหลุยส์ก็ยังโหม่งไปชนตัวโคอาเตสหลุดเสาไป ถึงตรงนี้เกมเริ่มเปิดแลกกันแล้ว

       หลังจากเกมเปิดไ้ด้ไม่นาน เป็นลิเวอร์พูลที่ทำได้ก่อน นาที 58 จากจังหวะโต้กลับที่หลังเชลซียืนลอยสูง เฮนเดอร์สันจ่ายทะลุช่องให้เบลามี่ลากเข้าเปิดถวายพานให้ขาเก่าเจ้าประจำ อย่างมักซี่วิ่งเข้ามาแปโล่งๆ ให้ทีมขึ้นนำ 1-0

       เชลซีเสียประตูแล้วก็พยายามเร่งจะเอาประตูคืน แต่ยังหาจบสกอร์แทบไม่ได้ กลายเป็นลิเวอร์พูลที่ได้ซ้ำดาบสอง นาที 63 ลิเวอร์พูลได้ฟรีคิก เบลามี่เปิดบอลไปเสาสองแล้วเป็นเคลลี่ที่สลัดตัวประกบมาได้โหม่งเข้าให้ทีม นำห่าง 2-0

       เชลซีส่งอเนลก้ากับมาต้าลงมาแทนมาลูด้ากับลูกากู แต่ทั้งคู่ก็ยังช่วยทำเกมไม่ได้มากนัก นาที 70 ลูคัสเจ็บจากจังหวะที่โดนรามิเลสเสียบเล่นต่อไม่ไหว อดัมได้ลงมาแทน หลังจากนั้นเชลซีก็โหมรุกเต็มที่ แต่ยังหาช่องเจาะกันไม่เจอ นาที 79 เค้าท์ลงมาแทนเบลามี่ ช่วง 10 นาทีสุดท้าย กองหลังทั้งแผงของเชลซียืนกันลอยกันอยู่แถวครึ่งสนามเท่านั้น พยายามกดดันลิเวอร์พูลเต็มที่ สามารถขึงเกมให้อยู่ครึ่งสนามได้แล้ว ลิเวอร์พูลไม่สามารถโต้กลับขึ้นไปได้เลย แต่เชลซีก็ทำได้แค่ลุ้นจากการโยนบอลเข้าไปจากริมเส้นซึ่งก็ไม่ผ่านกองหลังลิ เวอร์พูล นาที 89 สเคอเทลลงมาแทนมักซี่ เพื่อเน้นเกมรุกและเกมกลางอากาศมากขึ้นไปอีก ก่อนที่จบเกมไปด้วยชัยชนะของทีมเยือน 2-0

------------------------------------------

       นัดนี้ดัลกลิชยังคงใช้แทคติคคล้ายเดิมจากที่ใช้มาช่วงอ 2 นัดล่าสุด โดยพักผู้เล่นหลายคน ในแดนหน้าที่ไม่มีซัวเรสนั้น หันมาทำเกมรุกด้วยการเลี้ยงจี้ขึ้นไปทางริมเส้นของเบลามี่ ซึ่งได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง เบลามี่ที่นัดนี้ยืนต่ำฝังตัวอยู่ในแผงกองกลางทำให้มีโอกาสได้เลี้ยงบอลจี้ ขึ้นไปมากกว่าการขึ้นไปยืนค้ำในแดนหน้าแบบซัวเรส ส่วนในแนวรับที่เปลี่ยนถึงสามคนแต่ประสิทธิภาพที่ออกมาก็ยังไม่ได้ด้อยลงไป เท่าใดนัก

       สาเหตุสำคัญที่ทำให้ทีมคว้าชัยมาได้ในนัดนี้ ยังอยู่ที่เกมรับ ในส่วนกองหลังนั้นคงไม่มีอะไรมากไปกว่าตัวสำรองที่ทำหน้าที่ทดแทนตัวจริงได้ แบบไม่ขี้เหร่ แต่ที่โดดเด่นมากคือแผงกลางโดยเฉพาะริมเส้นทั้งสองฝั่งไม่่ว่าจะเป็นเฮ นเดอร์สัน มักซี่ หรือเบลามี่ที่เล่นเกมรับกันได้เป็นอย่างดี ทำให้แผงกลางของเชลซีไม่สามารถทำเกมได้ ซึ่งส่งผลทำให้กองหน้าตัวอันตรายอย่างตอเรสต้องระเห็ดไปรอบอลอยู่นอกกรอบบ่อยครั้งด้วย

       ทางฝั่งเชลซีเอง ต้องบอกว่าตัวรุกอย่างมาลูด้าและแลมพาร์ดฟอร์มแผ่วอย่างน่าใจหาย การที่ทั้งคู่เล่นไม่ออก ผนวกกับนักเตะที่เสริมเข้ามาอย่างลูมิอูกับลูคาคูยังโชว์ฟอร์มไม่ออก ทำเอาเกมรุกของเชลซีเข้ารกเข้าพงสุดกู่ จังหวะที่ได้ลุ้นส่วนใหญ่ในเกมมาจากการโยนบอลเข้าไปซึ่งจุดนี้แม้ตอเรสจะ เล่นลูกกลางอากาศใช้ได้ แต่กลายเป็นว่าไม่ได้เปรียบคู่เซ็นเตอร์ลิเวอร์พูล ในขณะที่แผงกลางที่เคยขึ้นมาช่วยยิงประตูได้ นัดนี้อย่าว่าแต่ยิงเข้ากรอบ โอกาสจะง้างยิงจากนอกเขตยังหาแทบไม่ได้

       ...แล้วต้องมาเจอกับกำแพงสีแดงก็เลยเอวังด้วยประการฉะนี้...
----------------------------------

นัดนี้เล่นกันได้ดีเป็นส่วนใหญ่

เรน่า - ยังคงไม่ได้เซฟอะไรมากนักอีกนัดหนึ่ง ทำได้ดีกับการคว้าบอลโหม่งที่ไม่แรงมากนัก กับจังหวะที่ออกมาเร็วปิดมุมไม่ให้อเนลก้ายิงได้

เอนริเก้ - เติมขึ้นลงได้ตลอดเกม โยนบอลเข้าไปยังดีบ้างไม่ดีบ้าง ส่วนเกมรับยังไว้ใจได้เช่นเคย

โคอาเตส - นัดนี้เล่นได้ดี แม้ช่วงต้นเกมจะมีจังหวะการเข้าบอลที่หวาดเสียวอยู่บ้าง แต่นอกจากนั้นก็เข้าสกัดได้ดีทั้งบนพื้นและกลางอากาศ

คาราเกอร์ - ยืนยิ้มอยู่ริมจุดโทษ ไม่ได้ทำอะไรนอกจากรอซ้อนบอลที่ทะลักเข้ามาบ้าง เป็นนัดที่เล่นได้สบายและไม่มีความผิดพลาดให้เห็น

เคลลี่ - เกมรับเหนียวแน่น วันนี้มีทีเด็ดจากการขึ้นไปโหม่งลูกเซตพีซเป็นประตูด้วย

มักซี่ - หาตำแหน่งจบสกอร์ได้ดีเหมือนเดิม การช่วยเล่นเกมรับอยู่ตลอดทำให้เอนริเก้วิ่งเติมขึ้นไปได้อย่างสบายใจ

สเปีย ริ่ง - แม้จะมีความพยายามในการวิ่งไล่บอลอยู่ตลอด แต่ยังอ่านเกมได้ไม่ดีนัก มีหลายครั้งที่วิ่งไปแล้วไม่เจอบอล ทำผลงานแค่พอใช้ได้เท่านั้น

ลูคัส - เหมือนนัดก่อน

เฮนเดอร์สัน - มีพัฒนาการในทางที่แฟนบอลลิเวอร์พูลอาจจะไม่ได้หวังจากตัวเขาเท่าไหร่นัก นั่นคือเกมรับ ช่วงที่ยืนริมเส้นลงมาช่วยเคลลี่ได้ดีอยู่บ่อยครั้ง ช่วงที่ยืนตรงกลางก็ลดภาระของลูคัส+สเปียริ่งได้มาก วันนี้มีลูกจ่ายทะลุดีๆ ที่นำมาซึ่งประตูที่ 2 ด้วย

เบลามี่ - ครึ่งแรกพอเสียบอลแล้วไม่ค่อยไล่ ทำได้ดีระดับนึงกับการวิ่งตีคู่ไปกับเอนริเก้ ส่วนครึ่งหลังที่อยู่ทางขวา นอกจากจะเล่นจังหวะโต้กลับได้ดีที่ทำให้ทีมนำ 2-0 แล้ว ยังวิ่งไล่และลงมาช่วยรับถึงสุดเส้นหลังด้วย

คาโรล - 1 ชั่วโมงแรกของเกมทำได้ดีพอใช้กับการเก็บบอลและโหม่งชง แต่หลังจากทีมนำ 2-0  คาโรลเก็บบอลแทบไม่ได้เลย เกมนี้ยังคงหาตำแหน่งจบสกอร์ได้ไม่ดีนัก โดยรวมทำได้ดีขึ้นแต่ยังไม่น่าประทับใจ

ตัวสำรอง

เค้าท์ - ไม่ได้ทำอะไรนอกจากช่วยวิ่งไล่บอลแทนเบลามี่ทำเริ่มล้าแล้ว

สเคอเทล - ลงมาช่วยหยุดการบอมบ์ของเชลซีอีกคนหนึ่ง แต่ก็แทบไม่ได้ทำอะไร

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : เคร็ก เบลามี่ ... เนื่องจากลูคัสเล่นดีซ้ำซากมาสามนัดแล้วเลยเบื่อ ส่วนมักซี่ก็เล่นเหมือนเดิมทุกครั้งที่ลงสนาม ลงสามนัดยิงสามนัด เลยเบื่อเช่นกัน เลยขอยกให้ตำแหน่งนี้ให้กับเคร็กเบลามี่ที่เป็นศูนย์กลางเกมรุกของทีมในวันนี้ก็แล้วกัน

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลิเวอร์พูล 1 - 1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้



เกือบแพ้...เกือบชนะ...จบเสมอ
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลปรับมาเล่น 4-5-1

---------------------ซัวเรส-----------------------
ดาวนิ่ง----อดัม----เฮนเดอร์สัน----ลูคัส---เค้าท์
เอนริเก้---แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน
-----------------------เรน่า-----------------------

ภาคต่อของซีรี่ย์โหด ลิเวอร์พูลเปิดบ้านรับทีมจ่าฝูง แมนเชสเตอร์ซิตี้ที่พึ่งไปสะดุดแพ้นาโปลีมาในเกมยุโรป นัดนี้ดัลกลิชใช้ซัวเรสเป็นหน้าเป้าคนเดียว อัดแผงกลางมา 5 คน โดยมีเฮนเดอร์สันและดาวนิ่งที่ได้กลับมาเป็นตัวจริง ส่วนแผงหลังยังใช้ชุดเดิมที่ทำผลงานได้ดีมาในหลายนัดหลัง ส่วนแมนซิตี้ใช้หน้าเป้าตัวเดียวเช่นกันคือ กุน แต่ส่งแผงกลางในฝันของใครหลายคนประกอบด้วย ตูเร่-แบรี่-มิลเเนอร์-ซิลบา-นาสรี่ ลงเป็นตัวจริง

-------------------------------------------------------

เริ่มเกมมาเป็นซิตี้ที่ใส่เกียร์ 5 วิ่งไล่บอลตั้งแต่แดนหน้าแล้วใช้บอลสั้นบนพื้นต่อเกมกันขึ้นไปกดดัน ส่วนลิเวอร์พูลใช้แผงกลาง 5 คนช่วยกันเล่นเกมรับแล้วเน้นใช้จังหวะฉาบฉวยในการเข้าทำ ไม่ครองบอลสู้ ช่วงต้นเกมเป็นซิตี้ที่ครองบอลได้มากกว่า แต่ยังผ่านบอลเข้าไปไม่ถึงในเขตโทษ

ครึ่งชั่วโมงผ่านไปที่ ซิตี้ได้บอลบุกอย่างต่อเนื่องแต่ยังหาโอกาสจบสกอร์แทบไม่ได้ ส่วนลิเวอร์พูลได้ลุ้นิดหน่อยจากจังหวะฉวยโอกาสแต่ยังไ่ม่มีโอกาสจบสกอร์แบบเป็นชิ้นเป็นอันเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ในเกมโอเพ่นพเลย์ซิตี้จะทำไม่ได้แต่มาได้จากลูกเซตเพลย์ นาที 31 ซิตี้ได้ลูกเตะมุม เป็นคอมพานีที่วิ่งโฉบมาเสาแรกโหม่งเสียบเสาสองเข้าไปให้ซิตี้ขึ้นนำ 1-0

หลังจากได้ประตูขึ้นนำยังไม่ทันจะหายเครียด นาทีถัดมา อดัมได้โอกาสยิงไกล เป็นเลสคอตที่ยื่นเท้าสกัดโดนไม่เต็มบอลแฉลบเปลี่ยนทางเข้าประตูไปให้ลิเวอร์พูลตามตีเสมออย่างรวดเร็ว 1-1

เมื่อเกมกลับมาเสมอ กลับเป็นฝั่งลิเวอร์พูลที่ทำกันได้ดีขึ้น สามารถครองบอลได้มากขึ้นทำให้เกมเริ่มกลับมาสูสี แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำอะไรก็จบครึ่งแรกไปเสียก่อน

เข้าครึ่งหลังลิเวอร์พูลเริ่มเน้นครองบอลมากขึ้น รูปเกมยังคล้ายช่วงปลายครึ่งแรกที่ลิเวอร์พูลเริ่มเก็บบอลได้และเกมค่อนข้างสูสีอย่างไรก็ตาม คุณภาพการจ่ายบอลของซิตี้ที่แม่นยำมากในครึ่งแรกเริ่มลดถอยลง มีจังหวะที่จ่ายบอลเสียให้เห็นมากขึ้น ทำให้เกมค่อนข้างเทไปทางลิเวอร์พูลทีละน้อย

มันชินี่เริ่ม ขยับก่อนโดยการส่งบาโลเตลี่ลงมาแทนนาสรี่ที่เล่นไม่ออกในนาที 65 โดยให้ยืนหน้าคู่กุนปรับมาเล่น 4-4-2 ทำให้กดดันลิเวอร์พูลในแถวเขตโทษได้น่ากลัวขึ้น แต่เปิดพื้นที่แดนกลางให้ลิเวอร์พูลได้มีโอกาสเล่นมากขึ้นเช่นกัน เกมเริ่มเปิดแลกกันมากขึ้นกว่าช่วงครึ่งแรก

นาที 71 แฟนบอลลิเวอร์พูลหัวใจเกือบวายตายเมื่อสเคอเทลไปลื่น บอลเข้าทางบาโลเตลี่และทางข้างหน้าโล่งว่าง แต่ก่อนที่บาโลเตลี่จะทันทำอะไรก็ดันลื่นล้มไปเองซะอีกคน ถัดจากนั้น 5 นาที บาโลเตลี่ยังมาโดนใบเหลืองแบบโง่ๆ จากการวิ่งไปดึงเสื้อจอห์นสันจนล้มคว่ำ

เมื่อเกมเปิดลิเวอร์พูลก็มีโอกาสลุ้นทำประตูมากขึ้นแต่ยังไม่จะแจ้งนัก นาที 82 มันชินี่ส่งเซโก้ลงมาแทนกุนหวังจะปรับแทคติคเกมรุก แต่ต้องมาฝันสลายเมื่อนาทีถัดมา บาโลเตลี่ไปศอกใส่สเคอเทลในจังหวะที่จะเบียดโหม่ง ทำให้โดนใบเหลืองแดงไล่ออกไป ดัลกลิชไปเสียเวลาคิดมาก ส่งคาโรลลงไปแทนเค้าท์ทันที หวังจะอาศัยจังหวะเพลี่ยงพล้ำของซิตี้ซ้ำให้ตาย

เวลาที่เหลือลิเวอร์พูลพยายามโหมเกมรุก และได้ลุ้นเป็นระยะ ส่วนซิตี้ได้ลุ้นจากจังหวะที่เซโก้่กระชากหลุดขึ้นไปจ่ายซิลบาเกือบได้ยิง แต่ทำไม่สำเร็จ นาทีสุดท้ายของเกม โจ ฮาร์ท โชว์เซฟลูกโหม่งของคาโรลต่อด้วยลูกซ้ำมุมแคบของซัวเรสได้อย่างเหลือเชื่อ ทำให้จบเกมซิตี้รอดกลับออกไปได้ด้วยผลเสมอ 1-1
------------------------------------------

ดัลกลิชจัดทีมแบบระมัดระวังเต็มที่ ส่งกลางมาถึง 5 คน และเป็นกลางชุดที่เล่นเกมรับได้ดีทุกคน แต่นอกเหนือไปจากแทคติคแล้ว วันนี้ต้องให้เครดิตกับนักเตะเป็นอย่างมาก เพราะช่วยกันเล่นเกมรับได้ดี อีกทั้งหลังจากสกัดบอลได้แ้ล้วยังไม่สาดบอลทิ้งมั่วซั่วแต่เลือกที่จะเก็บบอลไว้อีกด้วย นอกจากนั้น ในช่วงท้ายเกมที่ซิตี้เหลือ 10 ดัลกลิชคงจะได้ใจแฟนบอลไปอีกไม่น้อย ที่ส่งคาโรลลงมาทันทีที่บาโลเตลี่ถูกไล่ออก ไม่เสียเวลาคิดนาน แสดงให้เห็นถึงความกล้าและความพร้อมที่จะบุกเอาชนะเมื่อโอกาสมาถึง แล้วรูปเกมหลังจากที่คาโรลลงมาแล้วมันก็เป็นไปในทางนั้นด้วย


อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนที่สำคัญของเกมนี้คงจะอยู่ที่การไล่ตีเสมอได้เร็ว ซิตี้นั้นนอกจากจะมีเกมรุกที่ดีแล้ว เกมโต้กลับก็มีประสิทธิภาพเอามากๆ ถ้าลิเวอร์พูลไม่สามารถตีเสมอได้ในจังหวะนั้น จะทำให้กลางซิตี้ไม่ต้องห่วงเกมรุกแล้วหันมาสนใจเกมรับได้มากขึ้น รวมไปถึงแบคที่ไม่ต้องเสี่ยงเติมขึ้นไปสูงๆ บ่อยนัก อาจทำให้เกมไหลไปเข้าทางซิตี้ แล้วจบลงด้วยการที่ลิเวอร์พูลต้องบุกเพื่อเอาประตูคืนแล้วโดนซิตี้โต้กลับจนไส้ไหลแบบที่หลายๆ ทีมโดนมาก็เป็นได้ ก็ต้องเรียกว่าเป็นโชคดีที่ลูกนั้นแฉลบเข้าไป

นอกจากนั้น ก็คงหนีไม่พ้นความบ้องตื้นของบาโลเตลี่ น่างสงสารมันชินี่ที่อุตส่าห์ส่งเซโก้ลงไปแล้ว ด้วยความเร็ว, ความแข็งแกร่งและการเล่นลูกกลางอากาศของทั้งเซโก้และบาโลเตลี่ อาจจะทำให้เกมรุกของซิตี้กลับมาวูบวาบได้อีกครั้ง แต่บาโลเตลี่ก็ทำฟาลว์แบบไม่จำเป็นทั้ง 2 ครั้ง ที่ต้องเป็นใบเหลืองแบบเถียงไม่ได้ทั้ง 2 ครั้งแล้วก็โดนไล่ออกไป ทำให้ท้ายเกมแทนที่จะเป็นซิตี้ที่มีตัวเลือกในม้านั่งสำรองมากกว่าได้ลุ้นกดดันเอาประตูชัย กลับต้องมาตั้งรับแล้วเกือบจะถึงขั้นแพ้เอาด้วยซ้ำ

...คบเด็กสร้างบ้านก็คงต้องทำใจหน่อยนะ มันชินี่...
----------------------------------

วันนี้เล่นกันได้ดีทุกคน

เรน่า - แม้จะไม่ต้องออกแรงเซฟจะๆ แต่ออกมาตัดบอลเร็วนอกเขตโทษได้ดีถึง 3-4 ครั้ง ไม่อย่างนั้นอาจโดนซิตี้ล่อเป้า แพ้เละเทะไปแล้วก็เป็นได้


เอนริเก้ - เกือบทำทีมเจ๊งในนาที 17 ที่ส่งบอลคืนหลังสั้นมากจนเกือบโดนซิตี้ตัดไปได้ แต่หลังจากนั้นก็เล่นได้ดีตลอด โดยเฉพาะเกมรับที่ซิตี้เจาะก็ไม่เข้า โยนก็ไม่ได้


แอกเกอร์ - ดักสกัดได้ดี เล่นลูกกลางอากาศได้เด็ดขาด แม้จะเสี่ยงเก็บบอลไว้กับตัวอย่างหวาดเสียวหลายครั้ง แต่ก็ไม่พลาด


สเคอเทล - เป็นฟอร์มที่ดีที่สุดอีกนัดนึงของสเคอเทล แม้จะมีหัวทิ่มหัวตำไปบ้าง แต่การประกบและชิงจังหวะเข้าสกัดก่อนบอลถึงกองหน้าทำได้ดีมาก นัดนี้สามารถตัดกุนออกไปจากเกมได้เลย


จอห์นสัน - เกมรับยังคงน่าห่วงอยู่บ้าง เมื่อปล่อยให้ซิตี้ได้โยนบ่อยมากๆ ยังดีว่าไม่มีจังหวะโดนเผาแบบวิ่งตัดหลัง แต่ในส่วนเกมรุกทำได้ดีในระดับน่าพอใจ เติมได้เร็วและประสานงานกับกองกลางกองหน้าได้ดี


ดาวนิ่ง - ครึ่งแรกเงียบมาก หนักไปทางวิ่งไล่ แต่พอเข้าครึ่งหลังที่เกมเปิดมากขึ้น พาบอลวิ่งจี้เข้าใส่กองหลังซิตี้ได้น่าพอใจ เสียดายที่จังหวะยิง 2-3 ครั้งยังไม่คม ไม่สามารถคุมบอลให้เข้ากรอบได้


อดัม - เป็นคนยิงจนนำมาซึ่งประตูตีเสมอ และยิงอีกครั้งเกือบทำให้ทีมนำแต่ติดเซฟ ถ่ายบอลออกด้านกว้างได้ดี แม้เกมรับจะเข้าบอลน่าหวาดเสียวไปบ้าง แต่ก็ถือว่าทำได้ดี


ลูคัส - องค์ลง ซิตี้ไม่มีโอกาสทำอะไรหน้าเขตโทษเลย ไม่ว่าจะยิงไกลหรือจ่ายทะลุเข้าเขตโทษ นอกจากจะสกัดได้แม่นยำเด็ดขาดแล้ว การเปิดบอลในวันนี้ยังไม่ค่อยพลาดให้เห็นด้วย


เฮนเดอร์สัน - ยังคงเล่นแบบเน้นชัวร์ไว้ก่อน ไม่ชอบเสี่ยง ไม่ว่าจะเกมรุกหรือเกมรับ ข้อดีคือทำให้บอลแดนกลางไหลลื่น แต่ข้อเสียคือจังหวะทีเด็ดทีขาดไม่ว่าจะจ่ายทะลุ, ครอสเร็ว หรือยิงประตูยังทำได้ไม่ดีนัก


เค้าท์ - มีส่วนร่วมกับเกมเยอะมากตั้งแต่ต้นเกม ไม่ว่าจะเกมรุกหรือเกมรับ เสียดายที่วันนี้อยู่ห่างจากเขตโทษมากไปหน่อยทำให้ไม่มีโอกาสมีส่วนร่วมกับจังหวะจบสกอร์เลย


ซัวเรส - น่วมและเหนื่อย ต้องโดดเดี่ยวอยู่ภายใต้การประกบติดของทั้งเลสคอตและคอมพานี ทำได้ดีเท่าที่จะทำได้แล้ว ที่ดูน่าเสียดายอยู่บ้างคือจังหวะยิงที่หาได้ 2-3 ครั้งอย่างยากลำบากก็ทำไม่ได้


ตัวสำรอง


คาโรล - มีเวลาในสนามไม่มาก เพื่อนก็โยนไปไหนไม่รู้ซะเยอะ แต่จังหวะที่บอลโยนมาดีก็แสดงให้เห็นแล้วว่ายังทำได้ดีอยู่ น่าเสียดายที่ลูกโหม่งท้ายเกมไม่เป็นประตู


แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : ลูคัส เลว่า กับฟอร์มที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นจากผู้ชายคนนี้

----------------------------------------------------------------
ป.ล. รอฟังคำว่า "ฟลุ๊ค" และ "ไม่มีปัญญาชนะ 10 คน" ได้เลย ให้ยิ้มแล้วตอบกลับไปด้วยว่า ลิเวอร์พูลเป็นทีมแรกที่เล่นกับซิตี้แล้วมีโอกาสยิงเข้ากรอบมากกว่า

Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เชลซี 1 - 2 ลิเวอร์พูล

อย่าโลภมาก...ลาภจะหาย

--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-4-2


-------------ซัวเรส-------เบลามี่----------------
มักซี่-----------อดัม---------ลูคัส---------เค้าท์
เอนริเก้---แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน
----------------------เรน่า-----------------------

       หลังจากมีเกมทีมชาติมาขั้น พรีเมียร์ลีคกลับมาเตะอีกครั้ง โดยนัดนี้ลิเ้วอร์พูลเริ่มนัดแรกของซี่รี่ย์สุดโหด เชลซี-ซิตี้-เชลซี แถมนัดนี้ยังต้องออกไปเยือนเชลซีด้วย มีการปรับตัวผู้เล่นนิดหน่อย โดยเบลามี่ได้ลงแทนคาโรลในแดนหน้า, แดนกลาง มักซี่กับเค้าท์ได้ลงก่อนดาวนิ่งและเฮนเดอร์สัน ส่วนแผงหลังยังใช้ผู้เล่นชุดเดิม ส่วนทางด้านเชลซี เลือกใช้ดรอกบาก่อนตอเรส และแดนกลางส่งกลางเชิงรับมาถึงสองคนคือ รามิเลสและมิเกล

-------------------------------------------------------

       เริ่มเกมมาเชลซีวิ่งไล่บอลถึงตัวตลอดเวลาและเป็นฝ่ายแย่งบอลไป ครองได้แทบจะฝ่ายเดียว แต่จังหวะเข้าทำยังทำกันช้า ทำให้ไม่สามารถสร้างโอกาสได้มากนัก ลิเวอร์พูลต้องรอกว่า 10 นาทีถึงจะเริ่มครองบอลบุกตอบโต้ได้บ้าง โดยเ้น้นขึ้นเกมทางฝั่งขวาที่มีเค้าท์กับจอห์นสันอยู่ ทำให้รูปเกมกลับมาสูสี สู้กันที่กลางสนามเป็นส่วนใหญ่

       ทั้งคู่ยังเล่นกันอย่างระมัดระวังและไม่มีจังหวะเข้าทำกันสักเท่าไหร่ แต่ในนาที 34 เชลซีขึ้นบอลพลาดในแดนตัวเอง มิเกลโดนอดัมปั้มบอลได้ บอลทะลักไปเข้าทางเบลามี่ ทำชิ่งกับซัวเรสก่อนที่จังหวะสุดท้ายจะผ่านบอลไปให้มักซี่ได้ยิงผ่านตัวเชค เข้าไปให้ลิเวอร์พูลนำ 1-0

       เวลาที่เหลือเชลซีพยายามจะ เร่งแต่เร่งไม่ขึ้น เพราะทั้งดรอกบา มาลูดา มาต้าเล่นไม่ออก ทั้งจังหวะขึ้นเกมรุกยังทำกันได้ช้า ทำให้จบครึ่งแรกลิเวอร์พูลยังรักษาสกอร์นำ 1-0 เอาไว้ได้

       เข้าครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลเริ่มเล่นช้าลงและพยายามเน้นความแน่นอนให้มากขึ้น เปลี่ยนเบลามี่ไปเล่นทางซ้ายแล้วเอามักซี่มายืนตรงกลาง ทิ้งซัวเรสไว้ข้างหน้าคนเดียว ส่วนทางเชลซีเปลี่ยนเอามิเกลออก ส่งสเตอริดจ์ลงมา โหมบุกตั้งแต่เริ่มเกมและกดดันถึงหน้าเขตโทษลิเวอร์พูลได้ตลอด โดยเฉพาะจังหวะการเข้าทำที่รวดเร็วมากขึ้นกว่าในครึ่งแรก ทำให้ลิเวอร์พูลได้แต่ถอยไปรับกันลึกแถวหน้าเขตโทษเท่านั้น

       ไม่นานเชลซีก็ทำสำเร็จ นาที 55 มาลูด้ามาบอลมาทางริมเส้น นักเตะลิเวอร์พูลวิ่งถอยหลังกันหมดไม่มีใครเข้าบอล ทำให้มาลูด้าได้ยิง บอลไม่เข้ากรอบแต่ไปเข้าทางสเตอริดจ์ที่วิ่งเข้ามาทางเสาสองแปโล่งๆ เข้าไปให้เชลซีตามตีเสมอเป็น 1-1

       หลังจากนั้นเชลซีก็ยังโหมบุกอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ลิเวอร์พูลเริ่มรวนกันอย่างเห็นได้ชัด เปิดโอกาสให้เชลซีได้ลุ้นจบสกอร์เป็นระยะ นาที 66 เฮนเดอร์สันได้ลงแทนเบลามี่ที่หายไปจากเกม ทำให้เกมตรงกลางดูดีขึ้นเล็กน้อยในเกมรับ แต่ก็ยังโดนบุกหนักอยู่ดี นาที 77 ดาวนิ่งได้ลงแทนมักซี่ที่หายไปจากเกมเช่นกัน และรูปเกมก็ยังคงเหมือนเดิม ลิเวอร์พูลยังโดนพับสนามบุกอยู่ต่อเนื่อง แถมยังโต้กลับได้ไม่ดี ส่วนเชลซีเองแม้จะได้บุกใส่อยู่ตลอดแต่หาโอกาสจบได้ไม่มากพอ รวมไปถึงจบสกอร์กันได้ไม่ดีพอด้วย


       แต่แล้วโบอาสก็ตัดสินใจเสี่ยงมากขึ้น นาที 84 ตอเรสกับไมราเลสได้ลงมาแทนดรอกบาและรามิเลส หวังจะทุบลิเวอร์พูลให้ตายคาสนาม กลับกลายเป็นว่า 3 นาทีถัดมา อดัมได้โอกาสวางบอลยาวให้จอห์นสันที่แอบวิ่งเติมขึ้นไป ก่อนที่จอห์นสันจะลากบอลเข้าไปในเขตโทษและยิงผ่านทั้งเชคและเทอรี่เข้าไปได้ ให้ลิเวอร์พูลแซงนำได้อย่างเหลือเชื่อ(เมื่อดูจากรูปเกม) 2-1

       ท้ายเกม นาที 89 คาโรลได้ลงแทนซัวเรส ก่อนที่จะเกมจะจบไปด้วยสกอร์ 2-1
------------------------------------------

       ดัลกลิชปรับตัวผู้เล่น 3 ตำแหน่งซึ่งเป็น 3 คนที่ฟอร์มไม่ค่อยดีในระยะหลัง ทั้งคาโรล, ดาวนิ่ง, เฮนเดอร์สัน แต่รูปเกมก็ไม่ได้ต่างออกไปจากก่อนหน้านี้มากนัก แต่วันนี้สิ่งที่ลิเวอร์พูลทำไ้ด้ดีคือทีมเวิร์ค ในครึ่งแรก เวลานักเตะเชลซีได้บอล จะมีนักเตะลิเวอร์พูลกรูกันเข้าไปรุมแย่งบอลอยู่ตลอด ทำให้เชลซีไม่สามารถต่อบอลกันได้สะดวก ทำให้เกมรุกของเชลซีช้าและถึงกับเสียประตูในจังหวะที่มิเกลโดนอดัมกับเบลามี่รุมกินโต๊ะ ในครึ่งหลัง แม้จะโดนบุกกดดันหนักอย่างต่อเนื่อง แต่แผงกองกลางวิ่งลงมาช่วยกองหลังไล่อยู่ตลอด ทำให้เชลซีแม้จะได้บอลเยอะ พาบอลไปป้วนเปี้ยนแถวเขตโทษได้เยอะ แต่ก็ทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก

       อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ตัดสินเกมนี้คือแทคติคของทางฝั่งเชลซีเอง ผู้เล่นตัวจริงของเชลซี ใช้กลางรับถึงสองคน ในขณะที่เกมรุกหวังพึ่งนักเตะที่อยู่ในช่วงขาลงอย่างดรอกบากับมาลูด้าเป็น หลัก ทำให้ครึ่งแรกเกมของเชลซีดูไม่จืดเลย เล่นแบบไม่มีความเร็วและไม่มีความคิดสร้างสรรค์ พอมาถึงครึ่งหลังที่ส่งสเตอริดจ์ลงมา รวมไปถึงการดันแผงหลังอย่าง หลุยส์, โคล, อิวาโนวิช ทำให้เกมรุกกดดันได้อย่างหนัก แสดงให้เห็นแล้วว่าถ้าเชลซีตัดสินใจเปิดหน้าแลกกันตั้งแต่ต้น ด้วยการส่งผู้เล่นที่เล่นเกมรุกได้ดีกว่าอย่างตอเรส, สเตอร์ริดจ หรือแม้กระทั่งไมราเลส แล้วเล่นเกมเร็วบุกหนักแบบที่ทำในต้นครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลอาจพังไปตั้งแต่ครึ่งแรกแล้วก็ได้

       ที่เด็ดที่สุดคงหนีไม่พ้นการเปลี่ยนตอเรสกับไมราเลสลงมา ทั้งยังดันกันขึ้นมาสูงจนนักเตะทุกคนแทบจะยืนอยู่ในฝั่งลิเวอร์พูล หวังจะทำประตูชัยให้ได้ จนเป็นที่มาของประตู 2-1 ของลิเวอร์พูล ทั้งๆ ที่ถ้ามองย้อนไปกับเกมที่เชลซีโดนอาร์เซนอลอัดยับมาก็เป็นกรณีคล้ายๆ กันคือเชลซีตีเสมอได้แล้ว แต่กลับเสี่ยงที่จะเปิดเกมรุกจนแบบไม่ระวังจนกระทั่งอาร์เซนอลได้โต้กลับจน เชลซีต้องเป็นฝ่ายเจ็บเสียเองมาแล้ว แต่โบอาสก็คงยังไม่ระวังตัวอีก

       ...ก็ต้องบอกว่าเจ็บแล้วไม่จำเองนี่หว่า!
----------------------------------

วันนี้เล่นกันเกือบดี

เรน่า - ตัดบอลและเซฟจังหวะสำคัญได้หลายครั้ง อยู่ในฟอร์มที่ดีมาก


เอนริเก้ - เติมเกมรุกน้อยกว่าที่ผ่านมา จังหวะที่ขึ้นไปบ้างก็ทำอะไรไม่ได้ แต่เกมรับยังเหนียวแน่นปิดเกมเชลซีได้ตลอด


แอกเกอร์ - เข้าสกัดและเล่นลูกกลางอากาศได้ดี เป็นอีกคนที่ฟอร์มกำลังเข้าฝัก


สเคอเทล - ฟอร์มยังดีอยู่ต่อเนื่อง มีจังหวะพลาดให้เห็นอยู่บ้าง แต่ถ้าเทียบกับโจทย์ยากอย่างเชลซี รวมไปถึงรูปเกมในครึ่งหลังแล้ว ต้องถือว่าทำได้น่าพอใจ


จอห์นสัน - เกมรับทำได้ดีระดับนึง แต่ยังจัดการกับการครอสบอลของเชลซีได้ไม่ดีนัก มีหลายครั้งที่ปล่อยให้ครอสบอลได้ง่ายเกินไป ส่วนเกมรุก ในครึ่งแรกทำได้ดีกับการเติมขึ้นไปทำเกม ส่วนครึ่งหลังที่แทบไม่ได้ขึ้นไปเลย พอแอบขึ้นไปก็ยิงประตูชัยได้มันซะงั้น


มักซี่ - เป็นนักเตะที่สม่ำเสมอมากกับการโผล่มายิงแล้วหายไปจากเกม นัดนี้ก็ไม่มีอะไรผิดฟอร์ม


อดัม - เป็นนัดที่เล่นได้ดีอีกนัด มีจังหวะเข้าสกัดที่ดีหลายหน และเปิดบอลยาวในจังหวะประตูที่สองได้อย่างสุดยอด แต่ดูจะมีปัญหากับการขึ้นแล้วลงไม่ทัน ปล่อยให้กลางเชลซีพาบอลไปได้ในจังหวะโต้กลับอยู่บ่อยเหมือนกัน


ลูคัส - เข้าบอลได้แม่นยำและขยันกว่า 2-3 นัดที่ผ่านมา เสียฟาลว์น้อยด้วย ปิดพื้นที่หน้าเขตโทษได้ดีมาก


เค้าท์ : ครึ่งแรกยังดูเป็นเค้าท์คนเดิมอยู่ แต่พอเข้าครึ่งหลังดูเหมือนหมดแรง วิ่งไล่ได้ไม่มากเท่าที่เคยทำได้ มีส่วนร่วมกับเกมรุกไม่มากนัก


เบลามี่ - เล่นได้ไม่ดี ไม่ค่อยไล่บอล มีส่วนร่วมกับเกมน้อยตั้งแต่ครึ่งแรก เข้าครึ่งหลังยิ่งหายเงียบไปเลย


ซัวเรส - ฟอร์มหลุดหนักกว่านัดที่เล่นกับสวอนซี หลายจังหวะที่ควรไปไม่กล้าไป และให้บอลพลาดบ่อย ส่วนหนึ่งต้องบอกว่าลิเวอร์พูลทิ้งให้ซัวเรสอยู่คนเดียวกว่า 50 นาทีด้วย โดนประกบ 2 ตัวอยู่เกือบตลอดเกม


เฮนเดอร์สัน - ลงมาเล่นตรงกลางแทนมักซี่ ทำให้แดนกลางดูดีขึ้นกว่า่ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย


ดาวนิ่ง - เกือบลืมว่าได้ลงสนาม อาจเป็นเพราะรูปเกมที่โดนบุกพับอยู่ฝ่ายเดียวด้วย แทบไม่ได้บอลเลย

คาโรล - มีเวลาในสนามแค่ 4 นาที ลงมาบังบอลเรียกฟาลว์ แต่กรรมการไม่เป่าให้สักจังหวะ

แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : เฟอร์นานโด ตอเรส ... ลงมา 3 นาทีลิเวอร์พูลยิงได้เลย สุดยอดจริงๆ

----------------------------------------------------------------
Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลิเวอร์พูล 0 - 0 สวอนซี

เจ็บ
--------------------------------------------------------

ลิเวอร์พูลเล่น 4-4-2 ทีมเดิม


--------------ซัวเรส-------คาโรล----------------
ดาวนิ่ง--------อดัม------ลูคัส------เฮนเดอร์สัน
เอนริเก้---แอกเกอร์----สเคอเทล----จอห์นสัน
----------------------เรน่า-----------------------

       ลิเวอร์พูลกลับมาเล่นในบ้านด้วยตัวผู้เล่นชุดเดิมจากนัดก่อน เจอกับสวอนซีที่เล่นเกมเยือน 5 นัดทำได้แค่คะแนนเดียว

-------------------------------------------------------

       เริ่มเกมมาลิเวอร์พูลไล่บอลสูงตั้งแต่แดนหน้าทันที เน้นขึ้นเกมทางด้านซ้าย ส่วนสวอนซีเล่นบอลสั้นกับพื้นเป็นหลัก ส่งบอลกันแม่นมากและรักษาตำแหน่งในเกมรับได้ดี เกมรุกของลิเวอร์พูลขึ้นบอลค่อนข้างช้าและกดดันได้ไม่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลยังได้โอกาสลุ้นในนาที 7 คาโรลได้ชาร์จจ่อๆ แต่บอลชนคานออกไป

       ลิเวอร์พูลแม้จะครองบอลได้มากขึ้น เรื่อยๆ แต่สวอนซีก็ลงไปช่วยกันรับลึก ปิดพื้นที่อันตรายได้ดี ทำให้ลิเวอร์พูลหาจังหวะจบสกอร์ได้น้อย ผ่านครึ่งชั่วโมงแรกของเกมไปแล้ว ลิเวอร์พูลก็เริ่มแผ่วลงไป ไล่เพรซซิ่งกันน้อยลง ในขณะที่บอลสั้นของสวอนซียังทำงานอยู่และประคองตัวจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ 0-0 แบบไม่ยากเย็นนัก

       เข้าครึ่งหลัง เค้าท์ได้ลงมาแทนเฮนเดอร์สัน และเล่นทางฝั่งขวา ลิเวอร์พูลดูเหมือนจะพยายามเร่งเกมให้เร็วขึ้น แต่ก็ยังฝ่ากองหลังสวอนซีไปไม่ได้ ในขณะที่สวอนซีเองยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ บอลเท้าสู่เท้ายังแม่นยำและครองบอลได้นานขึ้น มากขึ้น

       ผ่าน 1 ชั่วโมงไปแล้ว เค้าท์กับดาวนิ่งสลับฝั่งกันเล่น แต่เกมของลิเวอร์พูลยังไม่ดีขึ้น กลับกลายเป็นฝั่งสวอนซีที่เริ่มป้วนเปี้ยนเข้ามาใกล้เขตโทษได้มากกว่าครึ่ง แรก มีโอกาสจบสกอร์หลายครั้งแต่เรน่ายังเซฟไว้ได้หมด

       นาที 75 เบลามี่ได้ลงแทนคาโรลที่ครึ่งหลังหายไปจากเกม หลังจากนั้นเกมรุกของลิเวอร์พูลทำได้เร็วมากขึ้น กดดันสวอนซีให้ต้องถอยไปตั้งรับกันมากขึ้น ในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ลิเวอร์พูลกดดันสวอนซีได้ต่อเนื่องและได้ลุ้นทำประตูทั้งจากลูกครอส, ลูกฟรีคิก, ลูกเตะมุม และลูกยิงไกล แต่ก็ยังติดเซฟบ้างหลุดกรอบบ้าง ยังไม่ได้ประตู

       นาที 88 ลิเวอร์พูลยังต้องเฮเก้อ เมื่อเค้าท์โหม่งจ่อๆ เข้าประตูไปแต่เป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อน นาที 89 ซัวเรสได้ยิงก็ติดเซฟ นาที 90 เกลนได้วอลเล่ย์เต็มข้อก็ยังติดเซฟ ในที่สุดก็ทำอะไรสวอนซีไม่ได้ จบเกมไปด้วยสกอร์ 0-0
------------------------------------------

       ลิเวอร์พูลกลายเป็นหงส์แก้แหไปซะแล้ว เมื่อแก้ปัญหาอย่างหนึ่งได้แต่กลับต้องมาเจอปัญหาอีกอย่างแทน พอเกมนอกบ้านเริ่มจะกระเตื้องขึ้น เกมในบ้านที่เคยดีมาก่อน กลับกลายเป็นเสมอ 3 เกมติด เกมรับที่ดูจะเริ่มดีขึ้นมา เกมรุกกลับเริ่มมีปัญหา จังหวะัเข้าทำที่เคยทำได้มากมายในช่วงต้นฤดูกาล ดูจะเริ่มลดน้อยถอยลงไป

       จังหวะเปลี่ยนรับเป็นรุกและการ ขึ้นเกมรุก นัดนี้ทำได้ช้ามาก กว่าบอลจะขึ้นไปเลยครึ่งสนาม สวอนซีก็ลงไปรับกันแ่น่นหมดแล้ว บอลขึ้นตรงไปข้างหน้าไม่ได้ ต้องเคาะไปเคาะมากันอยู่หลายจังหวะ นอกจากนั้น นักเตะหลายคนก็พากันฟอร์มหลุดด้วย นอกจากเฮนเดอร์สันที่หลุดไปหลายนัดแล้ว ยังตามมาด้วยดาวนิ่งที่ยังไม่กลับมา และที่สำคัญคือซัวเรสดันมาหลุดตามไปด้วยเลยยิ่งเข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่

       อันที่จริงตอนนี้นักเตะในทีมก็ต้องถือว่าลงตัวแล้ว ทีมผู้เล่นตัวจริงชุดนี้ต้องเป็นตัวหลักต่อไปอย่างน้อยในฤดูกาลนี้อย่างแน่ นอน ดูแล้วทีมไม่น่าจะต้องการการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเรื่องแทคติคหรือตัวผู้เล่น แต่ต้องการความสม่ำเสมอมากกว่านี้ และต้องเล่นเพื่อผลการแข่งขันให้มีประสิทธิภาพได้มากกว่านี้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่เล่นเหมือน 10 นาทีสุดท้ายของเกมนี้ให้ได้สัก 20 นาที หรือครึ่งชั่วโมง รับรองว่าคู่ต่อสู้จะรับดีขนาดไหนต้องโดนสักลูกนั่นแหล่ะ

       ส่วนทางสวอนซี ต้องชมกันดังๆ สำหรับบอลบนพื้นที่สวยงามและมีประสิทธิภาพมาก เกมรับก็เล่นกันได้อย่างมีวินัย แผงหลังยืนตรงไลน์เป๊ะอย่างกับเอาไม้บรรทัดขีด ดูแล้วก็งงว่าเกมเยือน 5 นัดก่อนมันแพ้ไปซะ 4 และเสมออีก 1 ไปได้ยังไง
----------------------------------

วันนี้เล่นกันไม่ค่อยดี

เรน่า - พลาดออกบอลช้า 1 ครั้งเกือบทำทีมเจ๊ง แต่มีจังหวะเซฟสวยๆ หลายครั้งมาทดแทนได้


เอนริเก้ - มีเพียงช่วงต้นเกมที่เกือบโดนดายเออร์เผา แต่หลังจากนั้นก็จัดการปีกสวอนซีได้ดีตลอด เติมเกมรุกทั้งเกมแต่จังหวะสุดท้ายไม่ว่าเปิดหรือยิงทำได้ไม่ดีเท่าไหร่


แอกเกอร์ - ประกบกองหน้าและชิงจังหวะเล่นก่อนได้ดี


สเคอเทล - เหมือนแอกเกอร์แต่เล่นได้ดีกว่า

*คู่เซนเตอร์พลาดครั้งนึงในนาที 84 ที่ประกบกองหน้าสวอนซีพลาดทั้งคู่ ปล่อยให้โหม่งชงได้ง่ายๆ ดีว่าสวอนซีเองก็ยิงไม่เข้ากรอบ*

จอห์นสัน - เกมรับเหนียวแน่น เกมรุกก็ทำได้ดีพอใช้ ฟอร์มดีขึ้นเรื่อยๆ


ดาวนิ่ง - เล่นหลุดฟอร์มไปมาก ครอสบอลพลาดเยอะ เลี้ยงก็ไม่ผ่าน ประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมก็ไม่ค่อยดี (copy มาจากนัดก่อน)


อดัม - ออกไปได้ดีพอใช้ และเป็นกลางคนเดียวที่เร่งจังหวะออกบอลได้(บ้าง) เสียดายที่ยืนต่ำไป น่าจะช่วยเติมแถวสองได้มากกว่านี้


ลูคัส - สวอนซีไม่เน้นเกมรุกเท่าไหร่ งานของลูคัสก็น้อยลงไปด้วย ตัดเกมกลางสนามได้ดีทีเดียว แต่จังหวะทำเกมรุกออกบอลช้ามาก


เฮนเดอร์สัน : ผีมักซี่เข้าสิง


คาโรล - ต้นเกมเล่นได้ดี นอกจากจังหวะยิงชนคานแล้วก็มีส่วนร่วมกับทีมตลอด แต่ยิ่งเล่นยิ่งหาย พอเข้าครึ่งหลังนี่ยังดับสนิทก่อนจะถูกเปลี่ยนออกในที่สุด


ซัวเรส - ฟอร์มหลุด ส่วนนึงต้องชมกองหลังสวอนซีด้วยที่ทั้งประกบและเข้าซ้อนได้ดีตลอด แต่ถึงอย่างนั้นซัวเรสก็ยังเรียกฟาลว์และหาจังหวะยิงได้อยู่บ้าง ไม่ถึงกับหายไปกับพื้นหญ้าซะทีเดียว

เค้าท์ - ทำเกมไม่ได้ เอาลูกขยันเข้าช่วยตัดเกมและวิ่งทำทางได้บ้าง ดูดีกว่าเฮนเดอร์สันเล็กน้อยเท่านั้น

เบลามี่ - ลงมาทำให้เกมของลิเวอร์พูลเร็วขึ้นบ้าง แต่ได้บอลน้อย ไม่มีโอกาสทำอะไรมากนัก


แมน ออฟ เดอะ แมทช์ : โฮเซ่ เรน่า ... ไม่ได้เรน่าช่วยไว้ 3-4 หน นัดนี้ถึงขั้นพังกันเลยทีเดียว

----------------------------------------------------------------
Everyone has their own opinion, feel free to leave your comments.